“นั่น!”
มู่หรงอู่ซึ่งปรับสายตาให้คุ้นชินกับแสงได้เป็นคนแรกชี้นิ้วไปทางซ้ายมือ
คนทั้งสามสะดุ้งพร้อมกัน ก่อนหน้านี้ยังเป็นรอยไหม้จากเปลวเพลิงของอี้เฟิงหลงไปแถบหนึ่งอยู่แท้ๆ เหตุไฉนมันถึงได้กลับมามีสภาพเป็นผืนป่าเขียวชอุ่มราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
เป็นไปได้อย่างไร!
เป็นครั้งแรกที่พวกเขาคิดตรงกัน ซึ่งมันก็ดำเนินอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งต่างคนต่างก็รับรู้ถึงความผิดปกติบางอย่างกับร่างกายของตนเอง
อี้เฟิงหลงก้มมองมือที่ใหญ่ขึ้นของตนเอง ยอดไม้สูงที่ดูเตี้ยลง และเรือนผมดำเหลือบเขียวที่งอกยาวจดกลางหลัง
“นี่มัน...” เสียงแหบเหมือนกับคนที่เพิ่งแตกหนุ่มส่งผลให้คำพูดที่เหลือดูเหมือนจะจุกอยู่ในลำคอ ดวงตาสีมรกตเบิกกว้างขึ้นด้วยความตื่นตระหนกปนยินดี
ทว่ามันก็แค่พริบตาเดียวเท่านั้นก่อนที่ทุกอย่างจะกลับคืนสู่ปกติ
ร่างเล็กๆ ของเด็กชายวัยหกขวบเผยสีหน้าผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด และเมื่อผู้มีสายเลือดของเทพมังกรหันหน้าไปมองอีกสองคนที่เหลือ พวกเขาก็มีสีหน้าไม่ต่างกันเท่าไร
แม้จะเป็นแค่ระยะเวลาสั้นๆ ทว่าการได้กลับสู่ร่างจริงที่ไม่ได้สัมผัสมาเป็นระยะเวลายาวนานก็ทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะตามมา กว่าจะตั้งสติได้อีกคราก็พบว่าพี่เลี้ยงของพวกเขาหยุดร่ายรำ หลับตาเดินละเมอมุ่งหน้ากลับไปยังทิศทางเดิมที่จากมาประหนึ่งว่ามีแผนที่อยู่ในหัว
หลิวฟางซวงกลับเข้าถ้ำอีกครั้งด้วยสีหน้าแช่มชื่น ด้วยความสูงที่แตกต่างทำให้เด็กชายทั้งสามกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามกลับมา หากยังไม่ทันได้ตามเข้าไปในถ้ำ เสียงเล็กๆ จากเจ้าของเรือนผมสีขาวก็ดังขึ้นเสียก่อน
“เดี๋ยวก่อน เจ้ามังกร”
อี้เฟิงหลงหันมามองนิ่งๆ “มีอันใด”
“ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย”
อี้เฟิงหลงแปลกใจอยู่บ้าง น้อยครั้งนักที่เจ้าลูกครึ่งปีศาจงูอยากจะรู้บางสิ่งจากเขา
มู่หรงอู่เห็นพวกเขามีเรื่องอยากคุยกันก็ไม่คิดจะอยู่ฟังต่อ สิ่งที่เขาเป็นห่วงตอนนี้คือท่านอากลับถึงห้องนอนอย่างปลอดภัยหรือไม่
“ข้าจะไปดูท่านอาซวง”
เด็กชายมนุษย์กล่าวก่อนจะวิ่งเหยาะๆ กลับเข้าถ้ำ ปล่อยให้พวกเขาพูดคุยกันตามลำพัง
“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าสิ่งที่ท่านอาทำมันคืออะไร” หงหยางจงเปิดประเด็นทันทีเพื่อมิให้เป็นการเสียเวลา อากาศนอกถ้ำหนาวจะตาย หากไม่ติดที่ว่าสิ่งที่พวกเขาพูดไม่ควรให้ท่านอาหรือเด็กมนุษย์ปากสว่างผู้นั้นได้ยิน เขาก็คงไม่เลือกที่จะคุยกันที่นี่
สิ่งที่เขาเห็นที่บึงเมื่อครู่ สิ่งที่ท่านอาทำ... น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านผู้เฒ่าพาพวกเขามาอยู่กับนาง พลังที่สามารถช่วยพวกเขาได้
แต่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของเทพเซียนที่เขาแทบไม่มีความรู้อะไรติดตัว ดังนั้นแม้ใจจริงไม่อยากเอ่ยปากถามเจ้ามังกรจอมหยิ่ง เขาก็ต้องรู้ให้ได้ว่ามันคืออะไรกันแน่
“ข้า... ไม่มั่นใจ” คนถูกถามตอบกลับหน้าทื่อๆ
“ไม่มั่นใจ?” คนฟังทวนเสียงสูงคล้ายไม่เชื่อ “แล้วมันคืออะไรล่ะ”
เจ้ามังกรหน้าเหม็น คิดจะปิดบังอย่างนั้นรึ ฝันไปเถิด!
กลิ่นอายคุกคามที่เจ้าตัวไม่คิดที่จะกดเอาไว้กับตัว ส่งผลให้สัตว์ป่าในละแวกใกล้เคียงต่างพากันแตกตื่นตกใจ ภายในบริเวณชายป่าดูวุ่นวายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ต่อให้เจ้าโมโหมากแค่ไหน ข้าก็ยังไม่บอกเจ้าอยู่ดี” อี้เฟิงหลงกล่าวเสียงเย็น มินำพาต่อการแสดงออกของผู้มีสายเลือดปีศาจ “ข้าเองก็มีข้อสงสัยที่ต้องได้รับการยืนยันจากท่านผู้เฒ่า เพราะฉะนั้นเราควรสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ อย่าเพิ่งบอกท่านอาให้รู้ตัว ทำแบบนี้คงดีที่สุดแล้ว”
“ฮึ!” คู่สนทนาพ่นลมหายใจออกมาเสียงดัง แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขากำลังไม่พอใจ
แต่ไม่พอใจแล้วทำอย่างไรได้ วันนี้เขาไม่มีอารมณ์จะสู้สักเท่าไร ก่อนหน้านี้ที่ร่างกายของเขาเปลี่ยนเป็นร่างชายหนุ่มขึ้นมาอย่างฉับพลันยังสร้างความรู้สึกแปลกๆ ให้แก่ร่างกายไม่หาย
“เจ้ามังกร อย่าลืมนะว่าเราอยู่บนเรือลำเดียวกัน” เสียงของหงหยางจูแหบนิดๆ คล้ายจะเป็นหวัด “หากเจ้ารู้เรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับคำสาปที่เราโดน ข้าหวังว่าเจ้าจะรีบบอกข้า... กับเจ้าเด็กมนุษย์นั่นทันที”
“อือ”
คำตอบรับสั้นๆ ส่งผลให้หงหยางจูเชิดหน้าเล็กน้อย จากนั้นร่างเล็กก็เดินเซกลับเข้าไปในถ้ำซึ่งมีอุณหภูมิที่ต่างจากภายนอกลิบลับ
บุตรชายเทพมังกรยังคงอยู่ด้านนอก เขาหรี่ตามองดวงจันทร์บนผืนฟ้า แววตาฉายแววครุ่นคิดออกมาพักหนึ่งก่อนที่เจ้าตัวจะตัดสินใจกลับเข้าไปพักผ่อน
ความจริงไม่จำเป็นต้องรอปรึกษากับท่านผู้เฒ่า หากบิดาของเขาแวะมาเยี่ยมเยือนเมื่อใด ปริศนาทั้งหลายคงจะได้รับการแถลงไขอย่างแน่นอน
อี้เฟิงหลงคิดเช่นนั้น ก่อนที่นัยน์ตาสีประหลาดจะเริ่มหม่นหมอง
นานเท่าไรแล้วนะ... ที่เขาไม่ได้พบหน้าผู้เป็นบิดา
ใบหน้างามพริ้มหนุนเข้ากับหมอนนุ่มด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่หลิวฟางซวงรู้สึกว่าตัวเองได้นอนอย่างเต็มอิ่ม โดยไม่มีเสียงเล็กๆ ของกลุ่มเด็กในความดูแลมารบกวน
ในที่สุดนางก็เปิดเปลือกตาพร้อมกับยืดแขนขาเพื่อขับไล่ความเมื่อยล้า เมื่อรู้สึกว่าตัวเองควรจะลุกขึ้นได้แล้ว สายตาก็ประเข้ากับร่างของคนผู้หนึ่งที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องพอดี
“ท่านอาซวง!” น้ำเสียงตกใจของเด็กชายส่งผลให้นางหันไปขานรับอย่างเกียจคร้าน
“หือ?”
“ท่านรู้ไหมว่าท่านหลับไปกี่วันแล้ว” มู่หรงอู่เดินเข้ามาใกล้ กวาดตามองนางตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าอย่างสำรวจ
หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง นี่คิดจะเล่นทายปัญหากับนางหรืออย่างไร
หลิวฟางซวงคิดพลางโบกมือส่งให้มู่หรงอู่ “ข้าขี้เกียจทาย เจ้าเฉลยมาเถิด”
“ห้าวัน” เด็กชายวัยเจ็ดขวบพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ท่านอาซวงหลับไปนานกว่าห้าวันเชียวนะขอรับ!”
คนหนึ่งตื่นตัวแทบตาย ทว่าคนฟังกลับมีสีหน้าเฉื่อยชาสิ้นดี
“อ้อ...” นางลากเสียงยาวพลางยกหวีขึ้นมาสางผมต่อ “ก็แค่ห้าวันเท่านั้น”
ก่อนหน้านี้ตอนที่ยังทำงานรับใช้อยู่ที่ตำหนักเจ้าแม่ซิหวังมู่ นางเคยนอนหลับยาวไปหกเดือนเต็มด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นแค่ห้าวันจะไปเทียบเคียงได้อย่างไร
นางกล่าวจบก็เดินนำร่างเล็กออกไปยังโถงรวมทางด้านนอก สีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อนของหญิงสาว ประกอบกับสีหน้าอึ้งๆ ของมู่หรงอู่ ส่งผลให้ผู้ที่เพิ่งกลับมาจากแปลงผักเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“อาหลง!” เด็กมนุษย์เรียกชื่อผู้มาใหม่ ร่างเล็กๆ กระโดดลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งตรงมาหาเขา
“เจ้าพอรู้วิชาการแพทย์มาบ้างใช่ไหม เจ้าตรวจอาการของท่านอาหน่อย ไม่แน่ว่าคืนนั้น... อุ๊บ!” คำพูดที่เหลือเป็นอันต้องสะดุดลงเมื่ออีกฝ่ายยัดหัวไช้เท้าชิ้นเล็กเข้ามาในปากคนพูด
“นางปลอดภัยดี” บุตรชายเทพมังกรหรี่ตาเป็นเชิงเตือนมิให้อีกฝ่ายพูดถึงเรื่องการละเมอเมื่อหลายคืนก่อน ซึ่งดูเหมือนว่าหลิวฟางซวงจะไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
นางใช้พลังไปเท่านั้น แต่นอนพักแค่ห้าวัน ถือว่าฟื้นตัวค่อนข้างเร็วกว่าที่คิด
“อี้เฟิงหลง” หลิวฟางซวงเรียกเสร็จก็ยกมือปิดปากที่หาวหวอด เมื่อเห็นอีกฝ่ายชักสีหน้าเนือยๆ กลับมาก็อมยิ้มอย่างขบขัน “ฟันงอกแล้วหรือยัง”
“ท่าน!” คนฟังถลึงตาดุใส่ ทั้งที่ตัวเองตัวเล็กกระจ้อยร่อย “วันนี้ไม่ต้องกินข้าว”
หญิงสาวมินำพาต่อสีหน้าของบุตรชายเทพมังกร สองมือก้มมองมือตัวเองเศร้าๆ “ข้าเย็บผ้าจนเมื่อยไปหมดเลย”
มู่หรงอู่เพิ่งได้สติรีบเดินเข้ามาหาเทพธิดาคนงามด้วยความเป็นห่วง “ท่านอาซวงเย็บชุดให้อาจูกับอาหลงสินะขอรับ”
“อือ” นางพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะเหลือบดวงตาสีอำพันไปทางคนที่ขู่จะไม่ทำอาหารให้ตนเมื่อครู่ “ข้าตื่นขึ้นมาก็รีบเย็บชุดให้พวกเขา ยามนี้หิวโหย...”
ไม่ต้องรอให้หลิวฟางซวงโอดครวญไปมากกว่านี้ เมื่อร่างในชุดสีดำเดินผ่านหน้านางพร้อมกับวางถ้วยบรรจุของบางสิ่งลงบนโต๊ะ
“เอาเหอเถาไปกิน แล้วนั่งรอก่อน”
อี้เฟิงหลงพูดเสร็จก็หันไปจัดการกับของในครัวต่อ ปล่อยให้มู่หรงอู่กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะขมวดคิ้ว
มือของท่านอาไม่เห็นจะเป็นแผลอันใดเลย
เด็กชายมนุษย์เกาศีรษะอย่างงงงวย ขณะที่หลิวฟางซวงหยิบเหอเถาใส่เข้าปาก เคี้ยวอยู่พักหนึ่งตาก็เริ่มปรือ ก่อนจะสังเกตได้ว่ามีเด็กภายใต้การดูแลหายไปหนึ่งคน
“หงหยางจูไปไหนเสียเล่า”
“เขาไปอาบน้ำขอรับ” มู่หรงอู่ดันตัวเองขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ข้างคนเป็นพี่เลี้ยง “ปกติอาจูไม่ชอบอาบน้ำ วันนี้อากาศข้างนอกค่อนข้างอุ่น จึงได้ยอมไป”
“อุ่น?”
หลิวฟางซวงถามย้ำอีกครา รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ แต่ก็ดึงตัวเองออกจากความกังวลดังกล่าวเมื่อเสียงหัวเราะแผ่วเบาดังมาจากบริเวณหน้าถ้ำ
“ท่านอาซวงคิดถึงข้าหรือ” หงหยางจูยิ้มกว้าง การอาบน้ำช่วยให้เขารู้สึกปลอดโปร่งไม่น้อย
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะอ้าปากตอบ เสียงเรียบๆ ติดจะรำคาญก็ดังแทรกเข้ามาเสียก่อน
“ซกมก”