“มิเช่นนั้นข้าจะบอกพวกเขาว่าท่านนอนกรน”
หลิวฟางซวงขมวดคิ้วทันควัน สีหน้าบ่งบอกว่าไม่เชื่อ “ข้าไม่ได้นอนกรนเสียหน่อย”
เจ้าเด็กผู้นี้คิดจะแกล้งหลอกอำนางหรืออย่างไร
“ท่านไม่เชื่อก็ตามใจ” เด็กน้อยเจ้าเล่ห์ยักไหล่ คลี่ยิ้มกว้างจนเผยเขี้ยวยาวแหลมตามสายเลือด “แต่ข้าก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าพวกเขาอีกสองคนจะเชื่อหรือไม่”
ผู้ฟังหัวเราะในลำคอ โน้มใบหน้าลงมาบีบปลายจมูกอีกฝ่ายเบาๆ “เช่นนั้นข้าก็จะฟ้องผู้เฒ่าว่าเจ้าเลื้อยเข้ามาในห้องนอนของข้าตามใจชอบ”
คราวนี้ดูเหมือนว่านางจะจี้ได้ถูกจุด ใบหน้าที่แต่เดิมขาวซีดอยู่แล้วยิ่งซีดลงไปอีก หลิวฟางซวงผายมือออกไปเบื้องหน้า ยักคิ้วส่งให้เขาน้อยๆ ทีหนึ่ง “ตกลงว่าต่างฝ่ายต่างปิดเป็นความลับ?”
“ก็...ได้” หงหยางจูกล่าวเสียงอ่อยก่อนจะตบมือเล็กลงบนมือนางเบาๆ
หญิงสาวยกยิ้มอย่างพอใจเมื่อข้อตกลงผ่านพ้นไปด้วยดี เมื่อยืนขึ้นเต็มความสูงก็หันไปมองเด็กชายผมดำอีกคนที่นั่งกอดเข่าร้องไห้กระซิกๆ อยู่ที่มุมห้องอย่างน่าสงสาร “หงหยางจู เมื่อครู่นี้เจ้ารังแกมู่หรงอู่” นางเบนสายตากลับมายังคนต้นเหตุที่ยืนหน้านิ่งทำไม่รู้ไม่ชี้ “ดังนั้นเจ้าก็ต้องปลอบใจเขาอย่างลูกผู้ชาย เดินจูงมือเขาไปที่สวนผักก็แล้วกัน”
“หา!”
คราวนี้มิใช่แค่หงหยางจูเท่านั้นที่ตกใจ มู่หรงอู่เองก็ดีดกายลุกขึ้นมาพร้อมกับร้องถามเสียงหลง “ท่านอาซวง! แล้วท่านล่ะ!”
หลิวฟางซวงโบกมือไปมาในอากาศ “ข้าขี้เกียจ... ขอรอพวกเจ้าอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน”
“แต่... แต่ว่า...” เด็กชายพยายามหาเหตุผลเพื่อให้นางไปด้วยกัน นัยน์ตาหวานหยดย้อยดั่งน้ำผึ้งเดือนห้าฉ่ำวาวออดอ้อนสุดฤทธิ์
หงหยางจูมองท่าทางของอีกฝ่ายแล้วก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาในลำคอ มือขาวซีดคว้าหมับเข้าที่ชายเสื้อของมู่หรงอู่
“เป็นลูกผู้ชายเสียเปล่า ต้องกล้าหาญหน่อย” กล่าวจบก็ออกแรงดึงลากเด็กชายที่อายุมากกว่า
แม้มู่หรงอู่จะพยายามขืนตัวเต็มที่ แต่ก็มิอาจต่อสู้กับพละกำลังของสายเลือดปีศาจที่วนเวียนอยู่ในตัวของหงหยางจู ครั้นลากไปจนจะพ้นออกจากถ้ำ ก็มีเสียงร้องครวญครางเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากรูปกระจับสีระเรื่อ
“ท่านอา...” มู่หรงอู่ผู้น่าสงสารลากเสียงยาว มองตามนางตาละห้อย จนกระทั่งร่างงดงามหายลับไปจากสายตา
ครั้นหงหยางจูลากอีกฝ่ายมาพอสมควรแล้วก็ปล่อยมือจากคนที่ลากจูง เด็กน้อยที่ตัวเล็กกว่าล้มก้นจ้ำเบ้าเพราะตั้งตัวไม่ทัน แต่คนแกล้งหาได้ใส่ใจจะขอโทษไม่ เขายกมือขึ้นเท้าสะเอวข้างหนึ่งพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ ด้วยม่านตาเรียวบางประดุจเส้นเข็ม
จุดที่พวกเขายืนอยู่เป็นผืนป่าโปร่งระหว่างทางไปยังแปลงผักของท่านผู้เฒ่า กลิ่นอายที่เปิดประสาทสัมผัสบ่งบอกได้ว่าไม่มีอันตรายใดๆ ในละแวกใกล้เคียง ท่านผู้เฒ่าเคยกำชับไว้ว่าพวกเขาต้องปกป้องดูแลมู่หรงอู่ที่โตกว่าเพราะว่าเขายังไม่สามารถเรียนรู้ที่จะปกป้องตนเองได้
ที่เขารับปากก็เพราะท่านผู้เฒ่าใช้มันเป็นเงื่อนไขให้หลิวฟางซวงมาดูแลพวกเขาแทนที่จะเป็นแม่ทัพสวรรค์ตกงานผู้น่ารำคาญก่อนหน้านี้ ทว่าสิ่งที่เขายังสงสัยก็คือ... เหตุใดท่านผู้เฒ่าจึงให้เด็กมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่เผลอกินของวิเศษเข้าไป มีสิทธิ์ได้รับการเลี้ยงดูร่วมกับเขาและเจ้ามังกรตัวนั้น
“อาจู” มู่หรงอู่หันมามองเขาอย่างหวาดๆ ตกใจที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็ยอมปล่อยตัวเขาให้เป็นอิสระ
“เลิกสำออยใส่ท่านอาซวงได้แล้ว นางมิชอบคนอ่อนแองอแง”
คำพูดของเจ้างูน้อยดูท่าจะจี้ใจดำ ครานี้ดวงตาสีดำสนิทของผู้ฟังที่สั่นไหวอย่างขลาดกลัวกลับแข็งกร้าวขึ้นมาฉับพลัน “ข้าไม่ได้อ่อนแอ!”
“หากไม่ใช่เพราะว่าเจ้าอ่อนแอ มีหรือที่พวกเราจะโดนคำสาปให้กลับมาอยู่ในร่างเด็กเช่นนี้”
“มัน...มันไม่ใช่เพราะข้าเสียหน่อย” เขาย่นคิ้ว “เจ้าเองต่างหากที่ฉวยโอกาสใช้ร่างเด็กไปนอนกับท่านอาซวง”
“ใครบอก เป็นเพราะจำเป็นต่างหาก” หงหยางจูยกมือกอดอกพลางทำสีหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราว “เจ้าคิดจะสนิทสนมกับท่านอาเพื่อให้นางช่วยเจ้าถอนคำสาปให้แต่เพียงผู้เดียวใช่ไหม อย่าคิดนะว่าข้าไม่รู้ทันเจ้า”
“ไม่ใช่สักหน่อย ข้าทำเพื่อพวกเราทั้งสามคนต่างหาก”
“แล้วถ้าพลังของท่านอาช่วยได้เพียงแค่คนเดียวเล่า?”
คราวนี้เด็กน้อยหุบปากเงียบ หงหยางจูเหยียดยิ้มเผยเขี้ยวยาวโดดเด่น “เอาเป็นว่าจนกว่าท่านผู้เฒ่าจะสามารถหาวิธีถอนคำสาปได้ เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเกาะแกะท่านอา เพราะเจ้าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เรื่องเป็นเช่นนี้”
“อาจู...” ร่างเล็กผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เสียงสั่นเครือเมื่อโดนรังแก หยาดน้ำตาคลอเบ้าอย่างน่าสงสาร “อย่าคิดนะว่าเพราะเจ้ามีสายเลือดปีศาจงูขาวอยู่ครึ่งหนึ่งถึงรังแกข้าได้ ถ้าหากท่านผู้เฒ่ากลับมาแล้วสอนข้าเมื่อไร... รับรองว่าข้าเองก็ต้องเก่งกาจไม่น้อยไปกว่าเจ้า!”
“ฮึ! ชาติหน้าเถิด” เด็กชายสะบัดผมสีขาวยาวเหยียดของตน ก่อนจะชะงักเล็กน้อยเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “อ้อ... ข้าลืมไปว่าสำหรับเจ้าไม่มีคำว่าชาติหน้า”
ดวงตาสีน้ำหมึกของผู้ฟังเปล่งประกายเรืองรองออกมาครู่หนึ่ง ขณะที่ร่างเล็กซึ่งมักจะขลาดกลัวอยู่เป็นนิจแผ่กลิ่นอายบางอย่างที่ชวนกดดันออกมา “มันชักจะมากเกินไปแล้วนะ!”
“ข้าทำให้เจ้าโกรธแล้วหรอกหรือ” หงหยางจูเริ่มมีเกล็ดสีขาวเหลือบผุดขึ้นมาบนผิวกายตามสัญชาตญาณป้องกันตัว ทว่าบรรยากาศชวนขนหัวลุกระหว่างคนทั้งสองก็จางหายไปทันทีเมื่อเงาดำร่างหนึ่งทาบทับลงมา
“ว่าอย่างไรเจ้าลูกเทพมังกรผู้ยิ่งใหญ่ แอบฟังพวกเราคุยกันเยี่ยงนี้ไม่ใช่สิ่งที่เทพพึงกระทำเลยนี่” เสียงเย็นเยียบเอ่ยทักผู้มาใหม่อย่างยียวน เกล็ดตามผิวกายผลุบหายราวกับไม่เคยเกิดขึ้น เช่นเดียวกับมู่หรงอู่ที่กะพริบตาปริบๆ ราวกับเพิ่งคืนสติ
ความจริงแล้ว เหนือความเป็นเด็กของพวกเขามีบางสิ่งซุกซ่อนอยู่ ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดีที่ท่านอาหญิงเป็นสตรีที่ค่อนข้างขี้เกียจ ไม่ชอบสอดรู้สอดเห็นจนทำให้พวกเขาต้องอึดอัด
ในทางตรงกันข้าม... ความไม่แยแสของนางรังแต่จะกระตุ้นให้พวกเขาอยากเข้าใกล้นางมากยิ่งขึ้น ราวกับภายใต้ฉากหน้าที่แสนขี้เกียจนั้นย่อมมีความเป็นมาบางอย่างที่ไม่ธรรมดา
“งูโอหังที่ดีแต่รังแกคนอ่อนแอเยี่ยงเจ้าเก็บปากไว้กินข้าวไม่ดีกว่ารึ” อี้เฟิงหลงตอบกลับเสียงขุ่น เขามิได้ตั้งใจแอบฟังทั้งสองคุยกัน แต่บังเอิญต้องเดินกลับมาทางนี้ก็เท่านั้น
“ขออภัยด้วยขอรับท่านอี้เฟิงหลงผู้มีเชื้อสายมังกร... บนโลกมนุษย์นี้ ท่านผู้เฒ่าบอกว่าพวกเราทั้งหมดล้วนเท่าเทียมกัน!” เจ้างูขู่ฟ่อ “คำสั่งของเจ้าทำอะไรข้าไม่ได้ และข้าก็ไม่คิดจะฟังเจ้าด้วย!”
ผู้ฟังพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ฟันหน้าที่หลอสร้างความหงุดหงิดให้เขาจนแทบไม่มีอารมณ์จะเสวนากับผู้ใด เกลียดยิ่งนักที่ต้องอยู่ในร่างเด็ก “ที่พวกเจ้าทะเลาะกันก็เพราะเรื่องของหลิวฟางซวง?”
“อาหลง เจ้าก็รู้นี่ว่าท่านอาซวงมีพลังบางอย่างที่จะช่วยให้พวกเราคืนร่างเดิมได้” คราวนี้เสียงของเด็กชายผู้มีสายเลือดมนุษย์อยู่เต็มตัวเรียกความสนใจจากเขา “ข้าอยากทำให้นางรักและเอ็นดูพวกเรา นางจะได้ไม่ทิ้งพวกเราไป”
มู่หรงอู่กล่าวด้วยความสัตย์จริง พวกเขาไม่รู้เลยว่าต้องรออีกนานเพียงใดกว่าจะมีผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนอย่างหลิวฟางซวงผ่านเข้ามาอีก ทั้งนางยังงดงามดูมีเมตตา ต่อให้เหลาะแหละดูขี้เกียจไปบ้าง แต่ก็หาใช่เรื่องเสียหายแม้แต่น้อย
อี้เฟิงหลงจ้องมองแววตาเปล่งประกายของอีกฝ่าย
“ไม่ผิด”
เขากล่าวเสียงเรียบพลางชูมือที่ถือตะกร้าสองอันขึ้นมาในระดับสายตา ข้างหนึ่งบรรจุผักสีสดน่ากิน ส่วนอีกตะกร้ามีผลไม้หลากหลายที่ผ่านการเลือกสรรมาแล้วอย่างดี
“อาหลง เจ้าถึงกับลงทุนเก็บพวกมันมาเองทั้งหมดเชียวรึ” มู่หรงอู่กะพริบตาปริบๆ อย่างไม่อยากเชื่อสายตา ที่ผ่านมาอี้เฟิงหลงวางตัวเป็นคุณชาย ผู้ใดจะนึกเล่าว่าเขาจะสามารถทำไร่ทำสวนได้อีกด้วย
ฝ่ายหงหยางจูส่งเสียงหัวเราะในลำคอ เพิ่งรู้ว่าสายเลือดมังกรพิถีพิถันเรื่องการเลือกกินก็คราวนี้
อี้เฟิงหลงไม่สนใจกับคำถามหรือการแสดงออกของคู่กัด ระหว่างเก็บพวกมัน เขาพยายามไตร่ตรองดูอย่างหนัก แต่กลับไม่สามารถหาคำตอบ สุดท้ายจึงต้องบากหน้ามาขอคำปรึกษาจากพวกเขา
“มู่หรงอู่ หงหยางจู” เสียงเล็กเอ่ยเรียกพวกเขาอย่างสุขุม สีหน้าจริงจังดึงดูดให้เด็กน้อยทั้งสองจ้องมองมาอย่างสนใจ และเมื่อได้ฟังคำถาม จึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วอี้เฟิงหลงกำลังกลัดกลุ้มอยู่กับปัญหาโลกแตกที่ยังไม่มีผู้ใดในหมู่พวกเขาที่ล่วงรู้
“เจ้าคิดว่าท่านอาชอบกินอะไร”