ภพชาติที่หนึ่ง : เทพธิดาผู้แสนเกียจคร้าน
ภพชาติที่หนึ่ง เทพธิดาผู้แสนเกียจคร้าน
“อาซวง...”
เสียงเล็กที่ร้องเรียกมาพร้อมกับแรงสะกิดบนไหล่บาง ปลุกให้ผู้ที่กำลังจมอยู่ในห้วงนิทราอันแสนสุขกดหัวคิ้วเข้าหากันน้อยๆ ริมฝีปากอวบอิ่มสีเปลือกลี่จือ[1] ขยับพลางครางออกมาอย่างขัดใจ “อื้อ...”
“ท่านอาซวง ท่านอาซวง”
ครานี้มิใช่แค่การสะกิด ทว่ายังพ่วงมาด้วยการเขย่าไหล่พลางส่งเสียงร้อนรนเป็นพิเศษ
หลิวฟางซวงซึ่งยังเหลือเค้าความงัวเงียสะบัดมือออกหนหนึ่ง เด็กชายร่างเล็กวัยเจ็ดขวบที่มาปลุกก็ถูกคลื่นพลังไร้รูปผลักจนหล่นตุ้บลงไปกองบนพื้นหญ้า
“อย่ามากวนใจข้า ข้าขอนอนหลับอีกสักงีบ” นางกล่าวจบก็พลิกตัวนอนตะแคง หันหนีไปอีกทางอย่างไม่ใส่ใจ
เตียงไม้ขนาดใหญ่ปูรองด้วยขนแกะนุ่มสบายคล้ายก้อนเมฆาบนสรวงสวรรค์เสียสี่ส่วน แสงแดดรำไรสาดผ่านร่มไม้อุ่นนวลกำลังพอดี สายลมยามชุนเทียน[2] เย็นสบายพัดพาเอากลิ่นมวลบุปผาที่กำลังเบ่งบาน ส่งความฟุ้งหอมละมุนละไมเกลี่ยผ่านหมู่แมลงที่โอบล้อม
อา... หากนอนจำศีลสักประเดี๋ยวก็คงครบห้าร้อยปี
ร่างอรชรคิดพลางซุกใบหน้าลงกับหมอนนิ่มมากขึ้น หากพอเคลิ้มใกล้ผล็อยกลับ ก็ถูกเสียงเดิมกวนใจขึ้นมาอีกหน
“ท่านอาซวง! อาจูกับอาหลงทะเลาะกันอีกแล้ว!”
หลิวฟางซวงมินำพาต่อน้ำเสียงร้อนรนของเด็กชายที่แว่วอยู่ข้างหู ดวงตายังคงปิดสนิทขณะที่โบกมือไปมาในอากาศอย่างเกียจคร้าน “เขาอยากจะตีกันก็ปล่อยให้เขาตีกันไป”
ว่าแล้วก็เตรียมนอนต่อ...
“ท่านอาซวง! อาจูกลายร่างเปลี่ยนเป็นงูแล้วขอรับ!”
“ก็ปล่อยให้เปลี่ยนไป”
“อะ...อาหลงปะ...แปลงเป็นมังกรแล้ว!”
“ก็ดีแล้วนี่” นางพึมพำเสียงเนือย
“เขาจะพ่นไฟแล้ว จะพ่นไฟแล้ว!” คนพูดพยายามตะเกียกตะกายปีนขึ้นเตียงมาปลุกนางอีกครั้งด้วยความตื่นตระหนก ทว่าผู้ถูกปลุกกลับอ้าปากหาวพร้อมกับร่ายเวทมนตร์เพิ่มความสูงของเตียงให้มากขึ้นอีกครึ่งผิง[3]
ความสูงที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วส่งผลให้ร่างเล็กๆ หล่นตุบลงบนพื้นซ้ำรอยเดิม ความเจ็บที่ระบมมากกว่าเดิมทำเอาน้ำตาไหลอาบแก้มอย่างน่าสงสาร
มู่หรงอู่ลุกขึ้นยืนก่อนจะลูบก้นที่เจ็บป้อยๆ ครั้นแหงนหน้ามองขาเตียงที่พุ่งสูงขึ้นไปอย่างน่าอัศจรรย์ก็อ้าปากค้าง ในสุดแดนพงไพรแห่งนี้มีเพียงเด็กน้อยสามคนกับท่านอาหญิงซึ่งได้รับหน้าที่จากท่านผู้เฒ่าให้มาดูแลพวกเขาต่อ ดังนั้นหลังจากนี้พวกเขาจึงมีท่านอาหญิงเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียว
ตัวเขาหรือก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ถ้าหากท่านอาหญิงไม่ยอมไปห้ามปรามหงหยางจูกับอี้เฟิงหลงแล้วไซร้ มีหวังผืนป่าแห่งนี้...
เด็กชายจินตนาการภาพในหัวแล้วลอบกลืนน้ำลาย ทันใดนั้นเองเสียงแหวกผ่านอากาศก็ดังกึกก้องขึ้น มู่หรงอู่หันขวับไปมองยังทิศทางดังกล่าวก่อนจะกรีดร้องเสียงหลง
“ว้ากๆๆ!”
โครม!
ต้นไม้ที่หักโค่นล้มระเนระนาดปลุกให้หญิงสาวขี้เซาเปิดเปลือกตาขึ้นมาครึ่งหนึ่ง เห็นหางแหลมยาวที่เต็มไปด้วยเกล็ดขาวโบกสะบัดแหวกผ่านอากาศก็ยกมือปิดปากหาว
อา... หงหยางจูตัวใหญ่ขึ้นอีกแล้ว
หลิวฟางซวงหยัดกายจากท่านอนขึ้นมานั่ง เตรียมร่ายมนตร์ให้เตียงหดเล็กลงเหมือนเดิม ทว่ากลับหยุดมือเมื่ออุณหภูมิรอบกายร้อนระอุขึ้นอย่างกะทันหัน
“นี่มัน...”
ฟู่!
ฉับพลันเปลวเพลิงจากมังกรดำร่างใหญ่ที่พ่นออกมาจากปากเผาผืนป่าพังพินาศไปแถบหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนของมู่หรงอู่ที่วิ่งหนีวิถีของไฟที่แผดเผาได้ทันอย่างหวุดหวิด
“อ้ากๆๆ! ท่านอาซวงช่วยข้าด้วย!”
เทพธิดาสาวยกมือเสยเรือนผมดำขลับดั่งเส้นไหมล้ำค่าให้พ้นจากใบหน้าเรียวรูปไข่ทรงมน ดวงตาที่ลืมขึ้นอย่างเต็มที่เผยให้เห็นนัยน์ตาสีอำพันแวววาว งดงามประดุจหยาดน้ำค้างทองคำสะท้อนแสงตะวัน
หญิงงามผู้มีอายุยืนยาวกว่าหมื่นปีเพ่งสมาธิไปที่ปลายนิ้วมือขวาทั้งห้า ยามที่สะบัดออกไปก็เกิดเป็นสายลมวูบใหญ่ พัดเอาเปลวไฟที่ลุกไหม้ให้ดับมอดลงทั้งหมดในคราวเดียว
นางมองภาพเบื้องหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดปากที่หาวหวอดอีกครั้ง
หลับอีกสักหน่อย... ประเดี๋ยวค่อยตื่นมาเก็บกวาด
[1] ลี่จือ (**) หมายถึง ลิ้นจี่
[2] ชุนเทียน (**) หมายถึง ฤดูใบไม้ผลิ
[3] 1 ผิง มีค่าเท่ากับ 3.3 เมตร