อุณหภูมิภายในถ้ำลดต่ำลงเรื่อยๆ จนกระทั่งล่วงเข้าสู่ต้นยามจื่อ[1]
เจ้าของร่างผู้มีกลิ่นอายหอมกรุ่นนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงนุ่ม จู่ๆ ผ้านวมสีฟ้าน้ำทะเลซึ่งห่มร่างหลิวฟางซวงอยู่นั้นกลับบังเกิดความเคลื่อนไหวผิดปกติ
ความสากเย็นที่ลากผ่านขึ้นมาจากข้อเท้าส่งผลให้หลิวฟางซวงที่กำลังหลับสนิทกระถดตัวหนีอย่างรำคาญ หากความแปลกปลอมดังกล่าวยังคงตามติดคนขี้เซาไม่เลิกรา เมื่อนางกระถดตัวไปทางซ้าย มันก็ตามมาถูไถทางซ้าย พอนางหนีไปทางขวา มันก็ตามมารังควาน ก่อนจะกอดรัดเข้าที่เอวคอดกิ่วอย่างดื้อรั้น
คราวนี้ดวงตาสีอำพันลืมขึ้นมาในความมืดมิด ก่อนที่มือเรียวขาวจะกระชากสิ่งเรียวยาวลื่นมือที่บังอาจเข้ามารบกวนเวลานอนของนางขึ้นมาดูอย่างเต็มตา
“หง...หยางจู?”
ภาพของงูขาวร่างเล็กในสภาพห้อยหัวทำเอานางกะพริบตาปริบๆ “เจ้านอนละเมอหรือ”
ก่อนหน้านี้มู่หรงอู่ก็บ่นว่าไม่อยากอยู่คนเดียว พอตกดึกก็เป็นทีของหงหยางจูเสียนี่
“เปล่า” อีกฝ่ายอ้าปากแลบลิ้นสองแฉกสีชมพูสด ดวงตาสีน้ำเงินจ้องมองนางด้วยแววตาใสซื่อไร้เดียงสา “ข้าขอนอนด้วยคนสิ”
ผู้ที่จู่ๆ ก็ถูกขอนอนร่วมเตียงด้วยเอียงคอด้วยความมึนงง สีหน้าของนางยังหลงเค้าความงัวเงียเหมือนยังไม่ตื่นเต็มที่ แม้จะถูกปลุกแต่ก็พยายามไม่พานหงุดหงิดใส่เด็กน้อย “เจ้าจะมานอนกับข้าทำไม”
“ข้าหนาว” ว่าแล้วก็สั่นตัวให้ดูอย่างน่าสงสาร
หญิงสาวถอนหายใจพลางวางอีกฝ่ายลงบนผ้านวม “ถ้าหนาวแล้วไยจึงไม่ใช้ผ้านวมในห้องนอนของเจ้าเล่า”
“มันไม่พอ” เจ้างูตัวเล็กพยายามอธิบาย “ผู้เฒ่าเคยบอกว่างูเป็นสัตว์เลือดเย็น”
หญิงสาวหรี่ตาขณะที่ยกมือขึ้นมาทัดเรือนผมดำขลับที่ยาวไปจนถึงข้อเท้าไปไว้อีกฝั่งหนึ่ง เผยให้เห็นลำคอขาวที่เด็กชายผู้มีสายเลือดปีศาจอยู่ครึ่งหนึ่งมองตามตาละห้อย
เขาสัมผัสได้ว่าตรงนั้นอุ่นที่สุด...
“แล้วตงเทียน[2] ที่ผ่านมา เจ้าอยู่มาได้อย่างไร”
“ผู้เฒ่าให้ข้านอนด้วย” เจ้าตัวตอบเสร็จก็เริ่มเลื้อยเข้ามาใกล้หลิวฟางซวงอย่างกระหายความอบอุ่น “ข้าขอนอนกับท่านได้ไหม”
คำถามของหงหยางจูช่างตรงข้ามกับการกระทำโดยสิ้นเชิง แม้เขาจะพูดเหมือนขออนุญาต หากร่างมันวาวที่ห่อหุ้มไปด้วยเกล็ดขาวยวงสีงาช้างกลับเลื้อยเข้ามานอนขดอยู่ใกล้ๆ ลำคอเจ้าของเตียงอย่างถือวิสสาสะ
นางกระถดคอหนีเพราะรู้สึกจั๊กจี้ “แล้วมังกรอย่างอี้เฟิงหลงจะหนาวด้วยอีกคนหรือไม่” แม้จะไม่ค่อยอยากถือสาเด็ก ทว่าถ้าต้องนอนร่วมเตียงกับงูตัวหนึ่งและมังกรอีกตัวหนึ่งก็คงให้ความรู้สึกพิลึกอยู่ไม่ใช่น้อย
หงหยางจูพ่นลมหายใจ “เจ้านั่นพ่นไฟได้ ดูแล้วไม่น่าจะหนาว”
“หากเจ้าไปนอนกับเขาก็น่าจะอุ่นกว่านอนกับข้านะ” นางกล่าวทีเล่นทีจริง รู้ดีว่าคนทั้งสองเพิ่งจะตีกันมาแต่ก็อดที่จะแกล้งไม่ได้
อีกฝ่ายเชิดคอขึ้น หากมีแม่เบี้ยคงแผ่ไปแล้ว “ไม่เอาด้วยหรอก” กล่าวจบก็ทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างเหยาะแหยะราวกับร่างไร้กระดูก ความอบอุ่นจากร่างของหญิงสาวช่วยให้ความหนาวยะเยือกเริ่มทุเลา ดวงตาคู่งามคล้ายอัญมณีปิดลงครึ่งหนึ่ง สบายตัวใกล้จะเคลิ้มหลับเต็มที
“แล้วมู่หรงอู่เล่า”
“ข้าไม่ชอบนอนร่วมเตียงกับบุรุษ”
หลิวฟางซวงเลิกคิ้วสูงอย่างไม่อยากเชื่อ เด็กผู้นี้อายุเพียงแค่หกขวบกลับพูดจาแก่แดดแก่ลม สายเลือดปีศาจที่ไหลเวียนในร่างนี่ดูเบามิได้เลยจริงๆ
แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถิด... ยามนี้นางเองก็ง่วง อยากนอนต่อจะแย่อยู่แล้ว
“เจ้าเปลี่ยนร่างคืนเป็นมนุษย์ได้หรือไม่” ร่างงูของเด็กชายเล็กถึงเพียงนี้ นางเกรงว่าถ้านอนหลับไปแล้วอาจเผลอทับเขาได้โดยไม่รู้ตัว จากความหวังดีอาจกลายเป็นทำให้ผู้ที่หวังมาพึ่งพิงไออุ่นแบนเข้าให้ได้
“ข้าเปลี่ยนร่างเดิมก็ได้ แต่ท่านต้องให้ข้ากอดท่านนะ”
“นั่นมัน...”
“แล้วก็...” เสียงเล็กลากยาวอย่างยานคางราวกับเพิ่งนึกขึ้นมาได้ “ยามนี้ข้ามิได้สวมเสื้อผ้า”
คราวนี้เทพธิดาผู้รับบทมาเป็นพี่เลี้ยงถึงกับพลิกตัวหนีไปอีกทางพร้อมกับปิดเปลือกตาลง “เช่นนั้นก็อยู่ในร่างนี้ต่อไปนั่นแหละดีแล้ว”
แสงแดดยามเช้าอ่อนละมุนกำลังดี ภายในห้องนอนแม้จะยังมืดสลัวแต่อุณหภูมิก็เริ่มอุ่นขึ้น
กลิ่นหอมของเหลียนฮวาเรียกให้เด็กชายที่กำลังปอกเปลือกส้มอยู่บนตั่งตัวยาวหันหน้าไปมอง ครั้นเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้มาใหม่เป็นใคร ก็ตกใจจนเผลอทำผมส้มที่ปอกไปครึ่งลูกหล่นตุ้บลงบนพื้น
“ไยท่านอาจึงตื่นเช้า...” มู่หรงอู่ขยี้ตาแล้วขยี้ตาอีกเพราะเกรงว่าสิ่งที่เขาเห็นจะเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น
เทพธิดาสาวผู้ไม่เคยตื่นขึ้นมารับขวัญเสียงไก่โห่วันนี้เดินออกจากห้องนอนด้วยสีหน้ากึ่งหลับกึ่งตื่น นางยกมือเรียวขาวขึ้นมาปิดปากที่หาวหวอดพลางบ่นเสียงอ่อน “โดนงูรัดคอ”
นางอุตส่าห์กลัวว่าตนจะเผลอนอนทับเจ้างูน้อย แต่ผลสุดท้ายกลับกลายเป็นหงหยางจูที่รัดคอนางเสียแน่นจนนางถึงกับนอนต่อไม่ได้ มิหนำซ้ำเด็กชายผู้มีสายเลือดปีศาจผู้นั้นยังคืนร่างเป็นมนุษย์แล้วนอนหลับอุตุ ยึดเตียงที่แสนรักของนางไปอย่างน่าไม่อาย
“...งู” เสียงเล็กพึมพำก่อนที่เจ้าตัวจะกระโดดลงมาจากตั่งไม้ตัวยาว “เมื่อคืนอาจูไปนอนกับท่านอาซวงรึ!”
หลิวฟางซวงผ่อนลมหายใจอย่างหนักหน่วงพร้อมกับพยักหน้ารับ เดิมทีนางไม่ชอบนอนกับผู้อื่นตั้งแต่พำนักอยู่บนสรวงสวรรค์ ถ้าหากไม่เห็นสีหน้าที่กำลังจมอยู่ในห้วงนิทราอย่างเป็นสุขของหงหยางจูแล้วละก็... ป่านนี้นางคงใช้พลังผลักอีกฝ่ายตกเตียงไปแล้ว
“เหตุใด...” มู่หรงอู่เบะปากทำท่าคล้ายจะร้องไห้ “อาจูขี้โกง ข้าเองก็อยากนอนกับท่านอาด้วย!”
ครานี้ผู้ฟังตื่นขึ้นอย่างเต็มตา เริ่มรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า
ไม่นะ... ขืนมานอนด้วยอีกคน มีหวังการนอนอันแสนสุขของนางต้องถูกทำลายลงไปมากกว่านี้แน่
“ไยจึงอยากมานอนกับข้าเล่า”
“ก็ข้า...” เด็กชายวัยหกขวบที่ยืนอยู่เบื้องหน้านางเริ่มบิดตัวไปมา สีหน้าท่าทางเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็วจนน่าขัน แลดูน่าเอ็นดูตามประสาเด็กมนุษย์ “ข้าอยากนอนกอด... ทะ...ท่านอาซวง”
เสียงของมู่หรงอู่งึมงำในลำคอจนนางได้ยินไม่ถนัด ครั้นตั้งใจเงี่ยหูฟังให้ดี ก็ถูกขัดจังหวะขึ้นมาด้วยเสียงของใครบางคน
“ข้าหิวข้าว”
หลิวฟางซวงเลิกคิ้ว ดวงตาสีอำพันเบนไปยังเจ้าของเสียงแหบเล็กที่ยืนนิ่งอยู่ที่หน้าห้องนอนซึ่งอยู่ใกล้สุด รอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นที่มุมปากเมื่อประสานสายตาเข้ากับเด็กชายในชุดสีดำสนิท ขับผิวสีขาวและดวงตาสีมรกต
อี้เฟิงหลงมองดูรอยยิ้มงดงามของเทพธิดาอย่างหวาดระแวง รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างประหลาด “ยิ้มทำไม”
“ก็เจ้ามิได้เป็นใบ้แล้ว ข้าย่อมต้องดีใจเป็นธรรมดา”
“หึ!” บุตรชายเทพมังกรเชิดคอสูงก่อนจะสะบัดหน้าเดินออกจากถ้ำไป
ท่านผู้เฒ่าพาพวกเขามาอยู่ในสุดแดนพงไพรก็จริงอยู่ ทว่าหากเดินเลยถ้ำแห่งนี้ไปทางทิศทักษิณเพียงครึ่งลี้[3] ก็จะพบกับแปลงผักและสวนผลไม้มากมายที่ผู้เฒ่าจางกั๋วเหล่าปลูกไว้ให้พวกเขาได้เก็บเกี่ยวเอามากินได้
“ท่านอาซวง...” เด็กน้อยร้องครางเมื่อถูกหญิงสาวละความสนใจไปชั่วขณะหนึ่ง
พอเจ้าของดวงหน้างามรู้สึกตัวก็หันหน้ากลับมา “มู่หรงอู่ เจ้าหิวแล้วหรือยัง”
คำถามของหลิวฟางซวงเรียกให้มู่หรงอู่เบนสายตาไปมองผลส้มที่ตกอยู่ที่พื้นอย่างแสนเสียดาย
“ข้า...”
โครกๆๆ...
นางได้ยินเข้าก็หัวเราะเสียงใส ดูท่าท้องของเด็กน้อยจะตอบคำถามแทนเจ้าตัวเสียแล้ว
“หิวแล้วขอรับ” ร่างเล็กกล่าวเสียงอ่อนก่อนจะเดินเข้ามาหานาง ใจคิดอยากเอื้อมมือขึ้นไปจับมือของหญิงสาว ทว่าสุดท้ายก็เลือกที่จะจับชายแขนเสื้อยาวสีครามของนางแทน
หญิงสาวมองสีหน้าขัดเขินไม่ประสีประสาของเด็กน้อยก็เอียงคอมอง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งคล้ายพยายามทำความเข้าใจ
ผู้ที่ถือกำเนิดจากน้ำค้างเช่นนางไม่เคยผ่านการเป็นมนุษย์มาก่อน ด้วยเหตุนี้จึงไม่ค่อยเข้าใจอารมณ์ที่แตกต่างของมนุษย์มากนัก แต่ถ้าจะเปรียบเทียบกันระหว่างเด็กชายทั้งสาม มู่หรงอู่ก็ดูจะเป็นเด็กที่เลี้ยงง่ายที่สุดแล้ว
“ข้าเองก็หิวแล้วเช่นกัน”
หลิวฟางซวงย่นคิ้วทันทีเมื่อเสียงเล็กที่ดูร่าเริงจนเกินเหตุดังออกมาจากห้องนอนของตน เด็กชายข้างกายถึงกับตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ ดวงตาคู่งามของเทพธิดาเข้มขึ้นกว่าเดิม
นางหันไปยังผู้ที่เพิ่งตื่น “อย่างเจ้าน่ะไม่ต้องกิน!”
“ไม่ได้นะ” เด็กชายเรือนผมสีขาวที่ห่อด้วยผ้าห่มสีน้ำเงินกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาจากห้อง ดวงตาสีน้ำเงินเบิกโพลงอย่างแตกตื่น “ท่านอาพูดจริงรึ!”
“จริงสิ” นางพยักหน้ายืนยัน สีหน้าจริงจังยิ่ง
“แต่... แต่ว่า...” หงหยางจูกลอกตาไปมาเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนที่เขาจะเดินมาเบียดร่างของมู่หรงอู่ให้กระเด็นไปอีกทางแล้วป้องปากกระซิบให้ได้ยินกันเพียงสองคน
[1] ยามจื่อ คือเวลาระหว่าง 23.00 น. – 00.59 น. ในปัจจุบัน
[2] ตงเทียน (**) หมายถึง ฤดูหนาว
[3] 1 ลี้ มีค่าเท่ากับ 500 เมตรในปัจจุบัน