วันเดียวกัน
ท้องฟ้ามืดสนิท บ้านอัครราชทั้งหลังเต็มไปด้วยความเงียบเชียบ หลังจากแม่บ้านเก่าแก่ตรวจตราดูความเรียบร้อยเสร็จแล้วก็กลับไปยังห้องพักซึ่งแยกออกไปจากตัวบ้านต่างหาก แม้คุณประภพจะไม่จำเป็นต้องเข้าบริษัทในฐานะผู้ก่อตั้ง ตะวันฉาย ดีไซน์ แต่ก็ยังออกสังคมทุกวัน ด้าน ภาสกร ลูกชายคนโต เมื่อสองปีก่อนได้ผันตัวจากสถาปนิกไปเปิดธุรกิจส่วนตัว อย่างเช่นวันนี้ ภาสกรต้องเดินทางไปดูงานต่างประเทศกะทันหัน บ้านหลังใหญ่โตจึงไร้ปฏิสัมพันธ์ของคนในครอบครัว เพราะลูกชายอีกคนกว่าจะกลับเข้าบ้านก็มืดค่ำ
ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งยังโซฟาภายในห้องโถงใหญ่ นิ้วเรียวยาวจัดการปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนเอนแผ่นหลังพิงโซฟา ดวงตาคมกล้าปิดลงสนิทจมดิ่งไปกับความมืดมิด ภายนอกคนอื่นอาจมองว่าสถาปนิกหนุ่มอย่างอาทิตย์ อัครราช เพียบพร้อมไปด้วยทุกอย่าง สามารถใช้ชีวิตสนุกได้ดั่งใจต้องการ หากแต่ไม่มีใครรู้ว่าภายในหัวใจกลับเต็มไปด้วยความเงียบเหงาและเก็บซ่อนความรู้สึกมืดบอดจนยากที่ใครจะเข้าถึง
“อ้าว คุณทิตทำไมมานั่งอยู่มืดๆแบบนี้ล่ะคะฟืนไฟก็ไม่เปิด” นอกจากจันทร์แรมหรือป้าจันทร์ จะเป็นคนดูแลความเรียบร้อยทุกอย่างในบ้าน ยังเลี้ยงดูอาทิตย์มาตั้งแต่เด็ก หญิงวัยกลางคนจึงเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นห่วงเมื่อเห็นชายหนุ่มนั่งอยู่มืด ๆ คนเดียว
“ช่วยไปเอาเหล้ามาให้ผมหน่อยสิครับ” เสียงทุ้มเอ่ยขณะดวงตายังคงปิดลง แผ่นหลังกว้างเอนไปกับโซฟาคล้ายคนหมดเรี่ยวแรง
“ดึกแล้วยังจะดื่มอีกเหรอคะ” ป้าจันทร์เห็นอาทิตย์มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก สมัยเด็กหลังเลิกเรียนอาทิตย์มักจะเข้าไปช่วยป้าจันทร์ทำนั่นทำนี่ในครัว ทั้งสองคนจึงสนิทสนมกันไม่ต่างจากเครือญาติ เมื่อก่อนอาทิตย์เป็นเด็กร่าเริง คอยสร้างรอยยิ้มและความสดใสให้กับบ้านอัครราชไม่ต่างจากชื่อของเขา แต่หลังจากคุณตะวันฉายเสียชีวิต ป้าจันทร์ก็ไม่เคยเห็นรอยยิ้มและความสดใสจากอาทิตย์ดวงนั้นอีกเลย
“ผมดื่มไม่เยอะหรอกครับแค่พอให้นอนหลับ” ป้าจันทร์ยืนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งก่อนจะเดินไปหยิบสิ่งที่ชายหนุ่มร้อง แม้ว่าป้าจันทร์จะไม่เห็นด้วยแต่ก็พูดอะไรไม่ได้ นอกจากภาวนาให้อาทิตย์ได้เจอผู้หญิงสักคนที่จะคอยมาอยู่เคียงข้าง เปลี่ยนอาทิตย์มืดมิดดวงนี้กลับมาส่องแสงสว่างอีกครา
“วันก่อนป้าแอบได้ยินว่าคุณท่านจะหาผู้หญิงให้มาแต่งงานกับคุณกร คุณทิตรู้เรื่องนี้ไหม” หญิงวัยกลางคนเอ่ยด้วยความเป็นกันเอง
ป้าจันทร์สนิทกับอาทิตย์มากกว่าคนพี่อย่างภาสกร เพราะที่ได้เข้ามาทำงานในบ้านอัครราชก็เพราะคุณตะวันฉายจ้างให้มาเป็นพี่เลี้ยงของอาทิตย์ ส่วนภาสกรจะเป็นพี่เลี้ยงอีกคน ซึ่งตอนนี้ลาออกไปทำงานที่อื่นแล้ว
“เหรอครับ” ชายหนุ่มตอบโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ สายตาคมจดจ่ออยู่กับแก้วเหล้าก่อนที่เสียงแค่นหัวเราะในลำคอจะดังขึ้น ทว่าจู่ ๆ เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาก็หันไปพูดอย่างคนอารมณ์ดี
“อย่างพี่กรไม่เหมาะกับผู้หญิงคนนั้นหรอกครับ” แม้จะปรากฏรอยยิ้มบนมุมปากหยักหนา หากแต่สายตากลับฉายความเยียบเย็น ต่างจากอาทิตย์คนที่อยู่ต่อหน้าคนอื่นราวกับไม่ใช่คนเดียวกัน
ย้อนไปเมื่อสามปีก่อนตอนที่ภาสกรยังทำงานเป็นสถาปนิกในบริษัทตะวันฉาย ดีไซน์ ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจของครอบครัวอัครราช จำได้ว่าวันนั้นภาสกรไปดูความเรียบร้อยของงานงานหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงที่มุกรินเพิ่งจะเข้าทำงานที่บริษัทออกแบบของปริญญ์ได้ไม่นาน วันนั้นมุกรินได้รับมอบหมายให้ไปคุยรายละเอียดงานกับผู้ว่าจ้าง ภาสกรจึงได้เจอกับมุกรินที่นั่นเป็นครั้งแรก
เป็นความบังเอิญที่วันนั้นภาสกรลืมเอกสารสำคัญติดไปด้วย อาทิตย์เลยอาสาเอาเอกสารที่ว่าไปให้พี่ชาย
ภาสกรต้องไปคุยงานกับลูกค้าที่เขารับผิดชอบออกแบบร้าน จึงมีโอกาสได้เจอกับมัณฑนากรซึ่งลูกค้านัดมาคุยรายละเอียดงานพร้อมกัน ท่าทางที่ดูทุ่มเทให้กับการทำงาน ความตั้งใจที่ต้องการให้ทุกอย่างออกมาสมบูรณ์แบบ หรือแม้แต่สายตาที่กำลังประเมินพื้นที่ใช้สอยให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ทั้งหมดเหล่านี้ทำให้ภาสกรรู้สึกชื่นชมในตัวมุกริน ความจริงก่อนหน้าเขามีโอกาสได้คุยกับลูกค้าเกี่ยวกับมัณฑนากรผู้รับหน้าที่ตกแต่งภายในไปบ้างแล้ว เลยรู้ว่ามุกรินเพิ่งจะเรียนจบได้ไม่กี่เดือน แต่ความละเอียดอ่อนและความใส่ใจทุกกระเบียดนิ้วซึ่งมีความคล้ายกันกับตัวเองภาสกรเลยเกิดความประทับใจจนอยากทำความรู้จัก
เพล้ง!!
ระหว่างที่ภาสกรกำลังชื่นชมมัณฑนากรสาวเงียบ ๆ ลูกชายของลูกค้าเกิดทำแก้วแตก เด็กชายในวัยเพียงไม่กี่ขวบร้องไห้เพราะตกใจและกลัวว่าตัวเองจะถูกดุ มุกรินเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปหาเด็กชายทันที หลังจากดูจนแน่ใจแล้วว่าเศษแก้วไม่ได้บาดส่วนไหนของเด็กเธอก็นั่งยอง ๆ พร้อมกับลูบผมเด็กน้อยด้วยสายตาอ่อนโยน และความอ่อนโยนนี้เองที่กระทบภายในจิตใจลึก ๆ ของภาสกรเข้า
“ไม่ร้องนะคะคนเก่งเดี๋ยวพี่ช่วยเก็บเศษแก้วให้เอง”
“แต่กัชทำแก้วแตกแม่ต้องดุกัชและตีกัชแน่เลยครับ” เด็กชายร้องไห้สะอึกสะอื้น เมื่อได้ยินแบบนี้มุกรินก็ถามออกไปว่า
“แล้วน้องกัชได้ตั้งใจทำแก้วหล่นไหมครับ” เด็กชายส่ายหน้าพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “กัชไม่ได้ตั้งใจครับกัชเดินสะดุดของเล่นครับ”
“ถ้างั้นคุณแม่ก็คงไม่ดุน้องกัชหรอกครับ ก็น้องกัชไม่ได้ตั้งใจนี่”
“จริงเหรอครับ” เด็กชายถามพี่สาวแปลกหน้าด้วยแววตาใสซื่อ
“จริงสิครับ ไม่มีแม่คนไหนจะดุหรือตีลูกที่ไม่ได้ตั้งใจทำให้ข้าวของเสียหายหรอกครับ เชื่อพี่สิ ตอนเด็กๆคุณแม่พี่ก็ไม่ดุตอนที่พี่ไม่ได้ตั้งใจทำแก้วแตกเหมือนกัน”
“งั้นกัชจะไปบอกคุณแม่ว่ากัชสะดุดของเล่นแล้วล้มเลยทำแก้วแตก” เด็กน้อยปาดน้ำตาลวก ๆ หลังได้ฟังพี่สาวใจดีปลอบโยน
“ดีมากครับ แล้วต่อไปน้องกัชก็ต้องเก็บของเล่นทุกครั้งที่เล่นเสร็จด้วย รู้ไหมครับ”
“ครับ” เด็กชายพยักหน้าหงึกหงัก และในตอนนั้นแม่ของเด็กซึ่ง เป็นลูกค้ากลับเข้ามาหลังจากออกไปคุยโทรศัพท์ด้านนอก มุกรินอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ฟัง โดยที่แม่ของเด็กไม่ได้ดุลูกแต่อย่างใด
ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่อยู่ในสายตาของภาสกร ทีแรกเขาตั้งใจจะเข้าไปหาเด็กคนนั้นแต่พอเห็นมุกรินเข้าไปก่อน เขาจึงยืนดูอยู่เงียบ ๆ
ตอนภาสกรอายุได้ห้าขวบเขามีเหตุการณ์ฝังใจหนึ่ง เขาเคยทำแก้วที่คุณตะวันฉายหวงแหนหล่นแตก ภาสกรพยายามจะอธิบายกับแม่ว่าไม่ได้ตั้งใจแต่ผู้เป็นแม่กลับไม่ยอมฟัง หนำซ้ำยังต่อว่าว่าเขาอยู่ยกใหญ่
แม้จะไม่ได้ตบตีแต่การที่แม่คนหนึ่งไม่ยอมรับฟังเหตุผลเอาแต่เกรี้ยวกราด ทำให้ภาสกรเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ บวกกับตอนนั้นไม่มีใครเข้ามาปลอบโยน ไม่มีคนเข้าอกเข้าใจเขาเหมือนกับที่มุกรินทำกับเด็กคนนั้น ความอ่อนโยนของเธอจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ภาสกรเกิดความประทับใจจนยากจะลบภาพของเธอออกไปได้
จังหวะที่มุกรินกำลังหมุนตัวเพื่อกลับไปทำงานต่อเธอก็มองเห็นภาสกรยืนอยู่ พอภาสกรถูกจับได้ว่าตัวเองกำลังยืนมองคนอื่นอย่างเสียมารยาทเขาจึงถือโอกาสเข้าไปทำความรู้จัก
“เอ่อ…โทษทีนะครับผมไม่ได้ตั้งใจจะแอบมอง ไม่ใช่สิ ผมไม่ได้ตั้งใจจะยืนดูคุณ” ยิ่งพูดภาสกรยิ่งรู้สึกได้ว่าเขากำลังแสดงอาการประหม่าจนพูดผิด ๆ ถูก ๆ ซึ่งต่างจากเวลาปกติ
“ไม่เป็นไรค่ะฉันไม่ได้จะว่าอะไรคุณสักหน่อย” ตอนแรกมุกรินเพียงรู้สึกตกใจเพราะสถาปนิกที่ดูแลงานนี้เป็นอีกคนหนึ่ง หากแต่อากัปกิริยาที่ภาสกรแสดงออกมันทำให้เธอลืมความตกใจไปเสียสนิท
“นั่นสินะครับ” ภาสกรยกมือขึ้นเกาท้ายทอยอย่างคนเสียอาการ
“งั้นฉันขอตัวนะคะ”
“เดี๋ยวก่อนครับ” เมื่อมุกรินหันกลับมาภาสกรก็ตัดสินใจถามเรื่องที่กำลังสงสัยอยู่
“คุณเป็นคนตกแต่งบ้านให้คุณเจตรินใช่ไหมครับ บ้านแฝดแถวรามอินทราน่ะครับ เขาเป็นเพื่อนผมเองครับ คือ...ผมเห็นการตกแต่งของคุณแล้ว ผมชอบมากเลยครับ” ตอนนั้นภาสกรไม่ทันได้ถามเพื่อนว่าได้มัณฑนากรฝีมือดีมาจากไหน จนเมื่อไม่กี่วันก่อนเขาเพิ่งรู้ว่าลูกค้าคนนี้ใช้บริการจากมัณฑนากรคนเดียวกัน
“ อ๋อ ใช่ค่ะ ถ้างั้นคุณก็คือสถาปนิกที่ออกแบบบ้านให้คุณเจตใช่ไหมคะ” ดวงหน้างดงามฉายความตื่นเต้นออกมาอย่างไม่ปิดบัง เพราะงานนั้นเป็นงานแรกของเธอ พอมีคนชื่นชมฝีมือการทำงานมัณฑนากรแกะกล่องใหม่จึงเก็บอาการดีใจเอาไว้ไม่อยู่
“ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก ผมภาสกรครับ”
“มุกรินค่ะ” มุกรินยื่นมือออกไปทำความรู้จักกับอีกฝ่าย แม้จะรู้อยู่แล้วว่าสถาปนิกหนุ่มมาดดีตรงหน้าคือลูกชายคนโตของคุณประภพ แต่ในเมื่อเป็นเหตุการณ์สุดวิสัยเธอก็ยากจะหลีกเลี่ยง
“ดิฉันขอตัวก่อนนะคะพอดีนัดคุณวิภาดูแบบไว้ตอนสิบโมง” เธอพูดพลางมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือเล็กเพื่อจะบอกอีกฝ่ายว่าเหลืออีกไม่มากแล้ว ร่างบางหมุนตัวออกไปทันที ทว่ายังเดินไม่ถึงไหนอีกฝ่ายก็เดินมาดักตรงหน้า
“ผมขอรบกวนเวลาคุณแป๊ปเดียวครับ” พอเห็นมุกรินแสดงสีหน้าเหมือนกำลังถามว่า เขามีเรื่องอะไรจะคุยกับเธอ ภาสกรก็พูดด้วยท่างทางสุภาพ
“เอ่อ คือ…ตอนนี้บริษัทของผมกำลังมองหามัณฑนากรฝีมืออย่างคุณมุกรินอยู่ ถ้าสนใจยังไงติดต่อผมมาได้นะครับ” ภาสกรรู้สึกสนใจในตัวมัณฑนากรสาว แต่ไม่สันทัดเรื่องการเข้าหาผู้หญิงเลยไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นทำความรู้จักกับอีกฝ่ายยังไง สุดท้ายจึงใช้เรื่องงานมาเป็นข้ออ้าง
“ขอบคุณมากนะคะ แต่ดิฉันเพิ่งเรียนจบแล้วก็เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่ถึงเดือนคงยังต้องหาประสบการณ์อีกเยอะ ขอตัวก่อนนะคะ” แม้จะดูเป็นการเสียมารยาทแต่มุกรินก็คิดตามนี้ เจ้าของร่างบางหันหลังเดินออกไปหลังจากพูดจบ ภาสกรมองตามแผ่นหลังบางอย่างรู้สึกเสียดายโอกาส ไม่บ่อยนักที่เขาจะถูกใจผู้หญิงสักคน แต่เขาก็ดันถูกปฏิเสธตั้งแต่คิดจะทำความรู้จัก
ภาพการพูดคุยระหว่างทั้งคู่อาทิตย์ได้ยินทุก แววตาตอนที่ภาสกรมองตามมุกรินออกไปนั้นทำให้อาทิตย์รู้ว่าพี่ชายคงจะเกิดถูกใจมุกรินขึ้นมา และภาสกรก็คงไม่รู้ว่ามุกรินคนนี้ได้รับการส่งเสียเลี้ยงดูจากพ่อตัวเองอยู่
“คุณทิตรู้จักผู้หญิงที่คุณท่านจะแนะนำให้คุณกรรู้จักด้วยเหรอคะ” ป้าจันทร์อดสงสัยไม่ได้เพราะไม่คิดว่าอาทิตย์จะรู้จักกระทั่งผู้หญิงที่คุณประภพหามาให้ภาสกรดูตัว
“รู้จักสิครับ ก็ผมเพิ่งไปเจอมาวันนี้” เจ้าของใบหน้าเยือกเย็นไม่ต่างจากน้ำแจ็งในแก้วหยัดกายขึ้นจากโซฟาตัวหรู ก่อนจะเดินขึ้นไปบนห้อง แม่บ้านวัยกลางคนมองตามชายหนุ่มโดยไม่ได้ถามความสงสัยออกไปที่อาทิตย์พูดราวกับว่าเขารู้จักฝ่ายหญิงดี ยิ่งไปกว่านั้น…แววตาคมกล้ายังดูเหมือนภูเขาไฟที่รอวันปะทุออกมาเป็นลาวาเดือด
ภายในห้องอันไร้แสงสว่างร่างสูงทิ้งกายลงบนเตียงราวกับคนหมดเรี่ยวแรง หลังจากเหล้าอึกสุดท้ายลงคอเปลือกตาทั้งสองก็ค่อย ๆ ปิดลง ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้โลกของอาทิตย์ตอนนี้เต็มไปด้วยความมืดมิดเคว้งขว้าง ภาพการสูญเสียแม่ของเด็กเพียงไม่แปดขวบยังคงฉายชัด เป็นฝันร้ายตามหลอกหลอน จนต้องพึ่งเหล้าหรือไม่ก็ยาชนิดที่ทำให้เกิดการนอนหลับผ่านพ้นค่ำคืนแห่งความมืดมนไปได้