2
คืนค่าสินสอด
“บอกให้เขาเอามาคืนที่เกาะโขดเลยครับแม่” ทัพพ์เจตนาเล่นแง่ใส่ครอบครัวของจันทร์ดาว เขาไม่มีทางปล่อยให้พวกนั้นอยู่สุขสบายโดยที่ไม่ได้รับบทเรียนจากครั้งนี้แน่
“ทัพพ์แต่คนที่เอามาคืนเป็นลูกสาวคนเล็กของคุณสมรเขานะ เขาเพิ่งโทรมาบอกแม่เมื่อกี้”
“ลูกสาวคนเล็ก บ้านนั้นมีลูกสาวสองคนเหรอครับผมไม่เห็นรู้เรื่อง” ดวงตาของคนพูดหรี่แสงลงเล็กน้อย เหมือนในใจกำลังคิดบางสิ่งบางอย่างอยู่
“แม่ก็ได้ยินมาเหมือนกัน แต่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน เห็นว่าเรียนอยู่ที่กรุงเทพฯ เพิ่งจบล่ะมั้ง”
“แต่เดี๋ยวนะครับแม่ ทำไมแม่ของจันทร์ดาวไม่เอาสินสอดมาคืนแม่เองล่ะครับ ทำไมใช้ลูกสาวอีกคนเอามาคืนแทน” ทัพพ์เพิ่งนึกได้ว่าลืมถามเรื่องนี้ไป
“เห็นหนูวีโทรมาบอกว่าคุณสมรไม่สบาย เลยต้องเอาสินสอดมาคืนแทน”
“โกหกล่ะสิ ผมว่าไม่อยากมาเจอหน้าพวกเราเสียมากกว่า ก็ลูกสาวเล่นหักหลังผมจนกระอักแบบนี้ ถ้าเป็นคนอื่นผมจะไม่ว่าอะไรเลย แต่นี่ไอ้ชยิน ป่านนี้มันคงนั่งหัวเราะเยาะผมจนงอหงายหมดแล้วมั้ง”
“ช่างเถอะทัพพ์ แต่วันนี้แม่ต้องออกไปทำธุระข้างนอก เกรงว่าจะกลับบ้านไปไม่ทัน เห็นหนูจารวีบอกว่ากำลังเดินทางไปที่บ้านเรา”
“ผมบอกแล้วไงครับ ให้เอามาคืนผมเองที่เกาะโขด” ทัพพ์ย้ำในความต้องการแรกของตน
“ทัพพ์นี่ทัพพ์กำลังจะทำอะไรอยู่ลูก” นางนวพรเริ่มไม่มั่นใจว่าลูกชายขี้โมโหของตน กำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่
“ผมแค่อยากรู้ว่าบ้านนั้นจะมีความรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ยังไง ต่อให้แม่ของจันทร์ดาวมาด้วยตัวเอง ผมก็จะให้เอามาคืนที่เกาะโขดนี่เหมือนกัน อยากเห็นนักว่าจะพูดตลบตะแลงใส่ผมยังไง” ตอนไปสู่ขอนั้นทัพพ์ไม่ได้ไปด้วย ชายหนุ่มยกหน้าที่นี้ให้มารดาเป็นคนจัดการทั้งหมด แต่พอถูกตลบหลังอย่างแสนสาหัสแบบนี้ กลับนึกอยากเห็นเห็นตัวเป็น ๆ ขึ้นมา
“ตามใจ เดี๋ยวแม่เดี๋ยวแม่โทรบอกหนูวีก่อนว่าให้เอาค่าสินสอดทั้งหมดไปคืนที่เกาะโขด”
“วันนี้เลยนะครับแม่ผมว่างอยู่พอดี เดี๋ยวจะให้คนเอาเรือไปรอรับที่ท่า” ทัพพ์กระตุกมุมปากยิ้มอย่างพอใจ
“แหมะ แบบนี้แล้วมาใจร้อน งั้นแค่นี้ก่อนนะ” นางนวพรวางสายจากลูกชาย แล้วกดหมายเลขโทรศัพท์หาจารวีต่อ
“สวัสดีค่ะคุณป้าพร” ปลายสายทักทายเสียงใส
“สวัสดีจ้ะหนูวี ป้าจะโทรมาบอกว่าป้าโทรหาพี่ทัพพ์แล้วนะ พี่เขาบอกว่าให้เอาสินสอดทั้งหมดไปคืนที่เกาะโขดเลย พอดีวันนี้ป้าไม่ว่างไม่ได้อยู่ที่บ้านทั้งวันเลย”
“เกาะโขดเลยเหรอคะคุณป้า” จารวีเสียงแหยอย่างถอดใจ เธอเดินทางมาจะถึงหน้าบ้านของนางนวพรอยู่แล้ว
“พี่ทัพพ์เขาอยู่ที่เกาะโขด หนูวีขับรถไปที่ท่าเรือเกาะโขดเลยนะ มีเรือของเกาะโขดรีสอร์ตอยู่รอรับอยู่ที่นั่น”
“แต่หนูมาถึงหน้าบ้านคุณป้าแล้วนะคะ”
“ก็ป้าไม่อยู่นี่จ้ะ ไปคืนสินสอดให้พี่ทัพพ์เขากับมือนะ เผื่อว่าหนูวีอยากจะพูดอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ กับพี่เขาแทนแม่กับพี่สาวยังไงล่ะ” นางนวพรจงใจใช้น้ำเสียงจริงจัง ทำให้อีกฝ่ายถึงกับนิ่งเงียบไป
“แบบนั้นก็ได้ค่ะคุณป้า” จารวีรับปากแล้วถอนหายใจเบา ๆ พูดอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนั้นเหรอ หมายความว่าเธอต้องเข้าไปขอโทษทัพพ์ด้วยตัวเองสินะ ไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว หญิงสาวรีรออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเลี้ยวพวงมาลัยรถไปยังท่าเรือเกาะโขดรีสอร์ต
จารวีสอบถามประชาสัมพันธ์เรื่องเรือที่มารอรับเธอ ก่อนจะหิ้วกระเป๋าใบหนึ่งตรงไปยังสปีดโบ๊ทลำที่มีชื่อเกาะโขดรีสอร์ตติดอยู่
“สวัสดีค่ะ เรือของเกาะโขดใช่ไหมคะ” หญิงสาวถามพอเป็นพิธีเพราะเห็นอยู่แล้วว่าคงมีแค่เรือของเกาะโขดเท่านั้น ที่จะจอดเทียบท่าตรงนี้ได้
“ใช่ครับ คุณจารวีหรือเปล่าครับ” คนขับวัยกลางคนหันมาตอบพร้อมกับถามต่อ
“ใช่ค่ะ ฉันชื่อจารวี”
“ขึ้นเรือเลยครับ คุณทัพพ์ให้มารับคุณไปที่เกาะโขดครับ”
“ค่ะ” จารวีก้าวขาขึ้นไปบนเรือ ที่มีเธอเป็นผู้โดยสารเพียงคนเดียวของเรือลำนี้
สักพักใหญ่ ๆ เรือก็แล่นมาจอดหน้าชายหาดของเกาะโขด มีป้ายไม้เกาะโขดรีสอร์ตผุ ๆ อยู่ด้านหน้า บรรยากาศดูเงียบสงัดจนผิดปกติ
“พี่คะนักท่องเที่ยวไปไหนกันหมดคะ ทำไมดูเงียบจัง” จารวีสงสัยจนอดที่จะถามคนขับเรือไม่ได้
“หน้ามรสุมครับคุณ งดรับนักท่องเที่ยว ช่วงนี้รีสอร์ตเลยปิดปรับปรุง” คำตอบของเขาทำให้จารวีอ้าปากค้าง รู้สึกร้อน ๆหนาว ๆขึ้นมาเสียอย่างนั้น หญิงสาวยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นดูก็พบว่าเป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว ตอนแรกคิดว่ารีสอร์ตมีนักท่องเที่ยวคงไม่ได้น่ากลัวอะไร แต่พอมาเห็นบรรยากาศแบบนี้ ความกลัวก็ก่อเกิดขึ้นในใจ
“แล้วคุณทัพพ์เขาอยู่ไหนคะ”
“บ้านพักหลังสุดหาดโน่นเลยครับคุณ คุณทัพพ์แกอยู่บ้านหลังนั้นตรงหาดมีโขดหินเยอะ ๆ นั่นแหละครับ” คนขับเรือชี้ไปฝั่งซ้ายสุดของรีสอร์ต