“แม่คะ ใจเย็น ๆ ค่ะ” จารวีรีบแตะข้อศอกของมารดา ก่อนที่ท่านจะโมโหมากไปกว่านี้
“วีว่าพี่ดาวกลับมาอยู่บ้านเราก่อนไหมคะ” คนเป็นน้องสาวหันไปพูดกับพี่สาวตัวเองบ้าง
“ไม่ยัยวีถ้าพี่ทำแบบนั้น ผู้หญิงคนอื่นที่จ้องจะจับคุณชยินก็ได้ใจสิวี พี่จะอยู่ที่บ้านหลังแหละทวงสิทธิ์ของพี่” จันทร์ดาวเอ่ยถึงสิทธิ์ที่เธอพลาดพลั้งพลีกายให้เชยชมอย่างยินยอม
“ดาวลูกไม่สงสารคุณทัพพ์เขาเหรอลูก” นางสมรถามลูกสาวอีกรอบ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมายกเลิกกันได้ง่าย ๆ แบบนี้
“แม่คะ คุณทัพพ์ของแม่วัน ๆ อยู่แต่บนเกาะโน่น เขาไม่มาสนใจอะไรดาวหรอกค่ะ หน้าดาวจำได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าแม่เขาไม่อยากให้เขามีเมียมีหรือเขาจะมาสู่ขอดาว” จันทร์ดาวไม่ได้เจอหน้าทัพพ์มาหลายปีแล้ว หญิงสาวจึงไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับเรื่องนี้ แตกต่างจากชยินที่เทียวรับเทียวส่งเอาใจเธอสารพัด หากจะต้องเลือกสามีเธอก็ต้องเลือกชยิน ดีกว่าคนที่ชอบเกาะมากกว่าเมืองอย่างทัพพ์
“แล้วทำไมพี่ดาวไม่ปฏิเสธไปตั้งแต่แรกละคะ ทำแบบนี้คุณทัพพ์เขาเสียหายนะคะ”
“จะเสียหายอะไร ผู้ชายคนนั้นเคยมีเมียมาก่อนแล้วก็เคยถูกเมียทิ้งด้วย เขาน่าจะชิน ๆ แล้วนะพี่ว่า”
หลังจันทร์ดาวพูดจบเสียงถอนหายใจของสองแม่ลูกดังขึ้นพร้อมกัน จารวีหันไปมองหน้ามารดาก่อนจะยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นดื่ม เธอคงไม่สามารถทำให้พี่สาวเปลี่ยนใจได้ หากเจ้าตัวต้องการอยู่ในบ้านของชยินก็คงไม่มีใครห้ามได้เหมือนกัน
“ดาวกลับก่อนนะคะแม่” จันทร์ดาวทนความอึดอัดต่อไปไม่ไหวรีบขอตัวกลับในทันที
“ยัยดาว”
“คะแม่”
“เอาสินสอดไปคืนคุณป้าพรเขาด้วยตัวเองล่ะ แม่ไม่ไป”
“แม่ !” จันทร์ดาวตกใจกับเรื่องที่มารดาเอ่ยออกมา เธอไม่ทันได้ตั้งรับในเรื่องนี้ เรื่องที่ต้องเผชิญหน้ากับทัพพ์
“แม่ไม่ไปเด็ดขาดแม่อายเขา” นางสมรยื่นคำขาดแล้วลุกเดินขึ้นบันไดบ้านไป ส่วนตัวต้นเรื่องก็ยืนอึ้งมองซ้ายทีขวาที ก่อนจะหยุดตรงน้องสาวของตัวเอง
“ยัยวีเรื่องสินสอด เราเอาไปคืนคุณป้าพรแทนพี่ก็แล้วกัน”
“อะไรนะพี่ดาว ทำไมโยนมาให้วีแบบนี้ละ”
“จัดการด้วยนะ พี่กลับก่อนล่ะ” พูดเสร็จจันทร์ดาวก็แทบจะเดินแกมวิ่งออกจากห้องรับแขกของบ้านไป
“อ้าว ! พี่ดาวอย่าเพิ่งไปสิ แม่คะ แม่ !” จารวีเรียกทางไหนก็มีแต่คนเดินหนี ท้ายที่สุดเธอจำต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ด้วยตัวเองจนได้
จารวีเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ มาหมาด ๆ หญิงสาวยังไม่ได้เริ่มต้นหางานทำด้วยซ้ำ คนในบ้านกลับโยนปัญหาเรื่องการคืนสินสอดมาให้ ครอบครัวของฝ่ายชายเธอเองก็ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว แทบไม่เคยได้พูดคุยกันด้วยซ้ำ เพราะไปเรียนอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่จบมัธยมปลาย
“แม่คะ ไปคืนสินสอดกับวีนะคะ” หญิงสาวเดินไปคะยั้นคะยอมารดาอีก หลังจากรบเร้าไปหลายรอบก่อนหน้านี้แล้ว
“ไม่ยัยวี แม่ไม่ไปแม่ไม่กล้าเอาหน้าไปสู้เขาหรอก วียังเด็กน่าจะไม่ต้องอายอะไรมากนัก”
“แม่คะมีแต่เขาจะให้ผู้ใหญ่ไปคุยกันนะคะ ให้วีไปแบบนี้เดี๋ยวเขาหาว่าเราไม่ให้เกียรติเขาหรอก”
“พี่สาวเราหักหน้าเขาขนาดนั้น คิดว่าเขากับเรายังจะมีเกียรติต่อกันอยู่เหรอยัยวี แค่เอาสินสอดไปคืนเขาเฉย ๆ บอกว่าแม่ไม่สบายเข้าโรงพยาบาลอะไรก็ว่าไปสิ” คนเป็นแม่ยืนกรานเรื่องไม่ไปท่าเดียว
“แม่คะ”
“เห็นแก่แม่หน่อยนะวี แม่เองก็ไม่อยากคืนเหมือนกัน เงินเป็นล้านทองหยอดอีกเป็นกอง ตอนเขามาขอแม่ก็ตาโตรีบตกลง พี่สาวเราก็ไม่ปฏิเสธเหมือนกัน แล้วดูมาตอนนี้สิ แจ้นไปอยู่คุณชยินเขาเสียอย่างนั้น
“แต่แม่ใช้เงินของเขาไปแล้วนะคะ”
“ก็นั่นแหละ ก็เอามาโปะบ้านหลังนี้ให้มันจบ ๆ ยังไง”
“แล้วยังไงคะ แม่บอกจะคืนเขาหมดนี่คะ”
“ขาดไปสามแสน”
“แม่ ! ไหนว่าคุณชยินเอาส่วนต่างมาใช้คืนแล้วไงคะ”
“ก็แม่เอาไปใช้ทำอย่างอื่นหมดน่ะสิ”
“แม่เอาไปทำอะไรหมดคะเนี่ย” จารวีแผดเสียงใส่มารดาอย่างคาดไม่ถึงในเรื่องนี้
“แม่เอ่อ”
อาการลังเลของคนเป็นแม่ทำให้ลูกสาวเริ่มใจคอไม่ดีขึ้นมา หัวคิ้วเริ่มขมวดหากัน หรี่ตามองมารดาอย่างไม่ไว้วางใจ
“แม่บอกวีมาเดี๋ยวนี้นะคะ ถ้าอยากให้วีเอาสินสอดไปคืนต้องบอกความวีมาให้หมดค่ะ” หญิงสาวต่อรองมารดาบ้าง
“แม่เอาไปลงทุนแต่มันเจ๊ง ถูกเพื่อนหลอกมันหอบเงินหนีไปต่างประเทศแล้ว”
“โอ๊ย แม่คะ” จารวีแทบจะทึ้งเส้นผมของตัวเองทิ้ง เหตุผลนี้เองที่ทำให้มารดาของเธอ ไม่ยอมนำสินสอดไปคืนอีกฝ่ายด้วยตัวเอง
“ช่วยแม่หน่อยนะวี”
“ทำไมไม่บอกพี่ดาวไปคุยกับพี่ชยินให้ช่วยก่อนละคะ จะได้เอาไปคืนเขาทุกบาททุกสตางค์”
“แม่บอกแล้วแต่ยัยดาวบอกว่าคุณชยินไม่ให้ บอกว่าให้มาแล้วแค่นั้นพอ ยัยดาวมันโง่” ยิ่งคิดนางสมรก็ยิ่งขัดใจในเรื่องนี้
“อ้อ แบบนี้นี่เอง”
“นะวีนะ ช่วยแม่หน่อยเอาไปคืนคุณป้าพรเขา แล้วขอเวลาให้แม่หาส่วนที่เหลือมาคืนทีหลังด้วย ป้าพรเขาใจดีไม่ว่าอะไรหรอก” ขณะบอกลูกสาวสีหน้าของนางสมรยังไม่มีความมั่นใจเลย คนเป็นลูกสาวถึงกับหลับตาแน่นเหมือนกำลังทำใจในเรื่องนี้อยู่
“วีไม่ได้รู้จักกับคุณป้าพรเหมือนพี่ดาวนะคะแม่” จารวีเคยได้ยินแค่ชื่อเสียงเรียงนามของคนบ้านโน้น ว่ามีรีสอร์ตบนเกาะส่วนตัวแห่งหนึ่งแค่นั้นเอง
“ไม่ยากหรอกนี่เบอร์โทรของคุณป้าพร โทรไปบอกก่อนว่าวีจะเอาสินสอดของหมั้นไปคืน ยังไงทางนั้นเขาก็ต้องรับคืนอยู่แล้วล่ะ ไม่มีใครอยากเอาเงินเอาทองมาทิ้งเฉย ๆ หรอก” คนเป็นแม่ดูจะมั่นใจในข้อนี้
“เฮ้อ” จารวีรับนามบัตรมาจากมือของมารดา กวาดสายตาอ่านข้อความบนนามบัตรก็ต้องแปลกใจ
“นี่ชื่อคุณทัพพ์นี่คะ”
“ใช่นามบัตรของคุณทัพพ์ ส่วนเบอร์คุณป้าพรเดี๋ยวแม่ส่งให้ในมือถือนะ” ว่าแล้วนางสมรก็ส่งข้อความหมายเลขโทรศัพท์ของนางนวพรให้ลูกสาวคนเล็ก
“จะโทรหาคุณป้าพรหรือลูกชายก็เลือกเอาเลยนะวี พรุ่งนี้แม่จะป่วยไปคืนสินสอดไม่ได้” นางสมรวางแผนให้ตัวเองเสร็จสรรพ
“อ้าว นี่แม่ตกลงวันจะไปคืนแล้วเหรอคะ”
“ใช่ แม่บอกคุณป้าพรไปแล้วว่าพรุ่งนี้จะเอาไปคืน แต่พรุ่งนี้แม่จะไม่สบายนะ”
“แม่ ทำไมไม่สบายง่ายแบบนี้ละคะ” จารวีกลอกตาใส่มารดาอย่างเหนื่อยหน่ายในใจ แต่ด้วยความเป็นลูกเลยจำต้องช่วย
“เอาน่า ทำให้มันจบ ๆ ไปนะวี แม่ก็เครียดเหมือนกันนะเรื่องนี้ คุณทัพพ์น่ะเหมือนนักเลงน้ำ ส่วนคุณชยินเหมือนนักเลงบก ทางไหนก็ร้ายพอกันทั้งนั้น ยัยดาวนะยัยดาวทำกันได้ลง”
“ค่า” จารวีส่ายหน้าให้มารดาอีกรอบ ถ้าท่านไม่อยากได้เงินมาเคลียร์เรื่องบ้านให้หมดเร็ว ๆ ถ้าอดทนรอเธอหางานทำก่อน ทุกอย่างคงไม่เป็นแบบนี้ คิดแล้วยิ่งเครียดหนักขึ้นกว่าเดิม
‘แค่เอาสินสอดไปคืนน่ายัยวีอย่าคิดมาก’
จารวีได้แต่คิดปลอบใจตนเอง เพราะตกปากรับคำมารดาไปแล้ว ไม่มีทางให้ถอยหลังกลับได้อีก