วันนี้ต้องออกเดินทางไปลั่วหลางทุกคนจึงตื่นแต่เช้า หลี่ช่านเย่ช่วยซูซื่อตรวจนับข้าวของที่จะนำไปเซ่นไหว้สุสานบรรพชนอีกรอบ
“พวกเจ้าช่วยกันขนขึ้นรถม้าได้แล้ว” หญิงสาวหันไปสั่งบ่าวไพร่เมื่อตรวจดูอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว
“เรียบร้อยดีหรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่าเดินออกมาพร้อมโจวปิงหยูและโจวหยวน
“เรียบร้อยดีเจ้าค่ะ” ซูซื่อตอบ
“เช่นนั้นก็รีบออกเดินทางเถิด” ฮูหยินผู้เฒ่าบอก แล้วเดินนำทุกคนไปที่ขบวนรถม้าซึ่งจอดรออยู่หน้าจวน โดยมีโจวหยวนและซูซื่อช่วยประคองหญิงชรา
“เสียดายปีนี้ไม่ได้ไปด้วย ข้าและท่านพ่อติดงานในราชสำนัก ยังดีที่พ่อบ้านจางร่วมเดินทางด้วย ข้าจึงเบาใจหน่อย เดินทางครั้งนี้มีแต่สตรี อดเป็นห่วงไม่ได้” โจวปิงหยูบอกอย่างเสียดาย
“ท่านพี่อย่าได้กังวล คงไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าจะช่วยดูแลท่านย่ากับท่านแม่เอง”
“อืม ฝากเจ้าด้วย”
สองหนุ่มสาวเดินเคียงกันมาเรื่อยๆ สายตาหลายคู่มองคู่สามีภรรยาพูดคุยกระหนุงกระหนิงแล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม ซูซื่อหันมองภาพนั้นแล้วอมยิ้มเช่นกัน ก่อนจะหันไปพูดกับฮูหยินผู้เฒ่า
“ท่านแม่ ขากลับแวะวัดต้าหลี่สักหน่อย ข้าอยากไหว้พระขอพรให้อาหยูกับเย่เอ๋อร์มีลูกกันเร็วๆ ข้าอยากอุ้มหลาน อยากถูกเรียกว่าท่านย่าแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ฟังแล้วรีบพยักหน้าเห็นด้วย “แต่งกันมาก็นาน แต่เย่เอ๋อร์ยังมิตั้งครรภ์ หรือนางมีปัญหาเรื่องสุขภาพ กลับจากลั่วหลางเจ้าลองให้หมอเจิ้งมาตรวจร่างกายนางหน่อย”
ร่ำลากันอยู่ครู่หนึ่ง ขบวนรถม้าก็ออกเคลื่อนตัว สองบุรุษต่างวัยยืนมองจนลับสายตา เหมือนโจวหยวนกำลังจะอ้าปากพูดอะไรสักอย่าง แต่โจวปิงหยูพูดแทรกขึ้นอย่างรู้ทันด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
“หากเป็นเรื่องนั้นข้าคงทำให้ไม่ได้ ทั้งชีวิตข้าไม่เคยไม่เชื่อฟังท่าน แต่เรื่องนี้ถือว่าข้าขอ ข้ายอมตบแต่งครบหกเดือนตามสัญญาแล้ว นี่ก็ล่วงเลยมาหลายเดือนแล้ว” มิใช่ว่าเขาไม่ได้ยินสิ่งที่ท่านแม่พูดกับท่านย่า และรู้ดีว่าบิดาจะพูดสิ่งใด พักหลังคนในจวนล้วนกดดันเขาจนชักรำคาญ
โจวหยวนถอนหายใจ กล้ำกลืนคำพูดที่จะเกลี่ยกล่อมบุตรชายลงคอ ที่ผ่านมาโจวปิงหยูสร้างชื่อเสียงให้แก่สกุลเล็กๆ อย่างสกุลโจวตั้งมากมาย และเขาก็พลอยได้หน้าไปด้วย ยิ่งพอได้เกี่ยวดองกับตระกูลบัณฑิตใหญ่แล้ว ยิ่งได้รับการยอมรับและการพูดถึงมากขึ้น
“หึ เจ้าจะทำสิ่งใดก็ทำไป แต่อย่าทำให้สกุลหลี่ไม่พอใจก็พอ” โจวหยวนสะบัดชายแขนเสื้อแล้วเดินกลับเข้าจวน
ทางด้านหลี่ช่านเย่ ตอนนี้เดินทางมาได้หลายชั่วยามแล้ว นางนั่งรถม้าคันเล็กตามหลัง ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าและซูซื่อนั่งด้วยกันอยู่คันหน้า ขบวนรถม้าไม่ได้เคลื่อนตัวเร็วนักเพราะถนนเส้นนอกเมืองบางแห่งค่อนข้างขรุขระ กลัวว่าโคลงเคลงมากแล้วฮูหยินผู้เฒ่าจะวิงเวียนเอาได้
หญิงสาวหลับไปหลายตื่น จนกระทั่งรถม้าหยุดลงในที่สุด
“คุณหนู ถึงแล้วเจ้าค่ะ” ซ่านซ่านเข้ามาปลุกคุณหนูของตน
หลี่ช่านเย่แหวกม่านออกไปดู พบว่ารถม้าได้จอดสนิทที่หน้าเรือนหลังหนึ่ง สภาพกลางเก่ากลางใหม่ ดูร่มรื่นมาก ด้านหลังเป็นวิวเทือกเขาทอดยาวสุดลูกลูกตา ตอนนี้น่าจะปลายยามเซินไม่ก็ต้นยามโหย่ว บรรยากาศเริ่มเย็นลมก็เริ่มแรง ท้องฟ้าก็เริ่มอับแสงแล้วเช่นกัน
“ฮูหยินน้อย เชิญทางนี้ พวกเราได้เตรียมห้องพักไว้ให้ท่านแล้ว”
พ่อบ้านจางเชิญทุกคนเข้าไปในเรือน เรือนนี้มีไว้สำหรับพำนักพักผ่อนของคนสกุลโจวที่เดินทางมาเซ่นไหว้สุสานบรรพชนบนเนินเขา ก่อนจะมาพ่อบ้านจางก็ได้ให้คนเข้ามาทำความสะอาดไว้รอแล้ว
บ่าวไพร่ช่วยกันยกของลงจากรถม้า ส่วนหลี่ช่านเย่ก็เข้าไปช่วยตรวจดูของเซ่นไหว้ว่ามีสิ่งใดได้รับความเสียหายหรือไม่
“ไม่มีอะไรแล้ว เจ้าเดินทางมาเหนื่อยๆ เข้าห้องพักผ่อนเสียเถิด พรุ่งนี้ยังต้องตื่นเช้าขึ้นเขาอีก” ซูซื่อบอกกับลูกสะใภ้อย่างอาทร
หลังรับประทานอาหารมื้อเย็นและชำระกาย หลี่ช่านเย่ก็บอกให้ซ่านซ่านกลับไปพักผ่อนบ้างเช่นกัน หญิงสาวเดินไปปิดหน้าต่างและทิ้งร่างลงบนฟูกนุ่ม
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน พลิกกายไปมาหลายตลบ หลี่ช่านเย่ก็ไม่สามารถข่มตาหลับได้ อาจเพราะไม่คุ้นชินกับสถานที่จึงทำให้นอนไม่หลับ เลยได้แต่นอนเบิกตาโพลงท่ามกลางความมืด
แกร่ก
ร่างบางสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังจากทางหน้าต่างห้อง หญิงสาวเพ่งมองในความมืด กระทั่งบานหน้าต่างถูกเปิดออกพร้อมสายลมวูบหนึ่งพัดผ่านเข้ามาทำให้ม่านหน้าเตียงขยับไหว เพียงเสี้ยวเดียวหน้าต่างบานนั้นก็ถูกปิดลงเช่นเดิม
หลี่ช่านเย่ได้ยินเสียงหอบหายใจหนักคล้ายมีคนกำลังจะสิ้นใจตายอยู่ในห้อง หญิงสาวตัวแข็งทื่อ คิดว่าสิ่งที่เห็นและได้ยินคือวิญญาณหรือไม่
พรึ่บ!
เปลวเทียนเล็กๆ ถูกจุดขึ้นและสว่างวาบที่กลางห้อง หลี่ช่านเย่ตกใจแทบส่งเสียงกรีดร้อง สิ่งที่เห็นมิใช่วิญญาณแต่เป็นร่างชายปริศนาผู้หนึ่ง แต่งกายด้วยชุดสีดำปิดหน้ามิดชิดเห็นเพียงดวงตาคมกริบ เขายกนิ้วชิดริมฝีปากท่าทางอ่อนแรง ก่อนจะค่อยๆ ทรุดตัวลงไปนอนกองที่พื้นหายใจรวยริน
“ช่วย...ข้า...” เสียงแหบแห้งของชายปริศนาร้องขอความช่วยเหลือ
แม้หลี่ช่านเย่ยังอยู่ในอาการตกใจแต่ยังควบคุมสติได้ดี หญิงสาวชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงตัดสินใจลุกจากเตียงไปหยิบชุดคลุมตัวนอกมาสวมอย่างรวดเร็ว นางค่อยๆ เดินเรียบเคียงหลังชิดผนังไปที่ประตูหน้า คิดจะไปตามให้คนมาช่วย คนผู้นี้อาจเป็นผู้ร้ายใครจะไปรู้
“ได้...โปรด...” ชายปริศนาผู้นั้นส่ายหน้า สายตาอ้อนวอนแกมขอร้องทำให้หญิงสาวนึกลังเล
“ข้าจะตามคนมาช่วย โปรดรอสักครู่”
“...ไม่ เฮือกกก!” เสียงสูดลมหายใจเข้าดังเฮือก คล้ายว่านี่จะเป็นลมหายใจเฮือกสุดท้าย หลี่ช่านเย่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบวิ่งไปดูอาการ นางพบว่าเขาบาดเจ็บที่หน้าท้องและกำลังเสียเลือดมาก
“ท่านเสียเลือดมาก อย่างแรกต้องห้ามเลือดก่อน”