“อีกสามวันกลับไปเซ่นไหว้สุสานบรรพชนที่ลั่วหลาง เจ้าก็เตรียมตัวไว้ด้วย เดินทางครั้งนี้ล้วนมีแต่สตรี” ซูซื่อบอกกับลูกสะใภ้ ปีนี้เป็นปีแรกที่นางร่วมเดินทางด้วย
“ท่านแม่มีสิ่งใดให้ข้าช่วยอีกหรือไม่เจ้าคะ” หลี่ช่านเย่เอ่ยถามอย่างอาสา นางตบแต่งเข้าสกุลโจวมาได้สิบเดือนแล้ว เริ่มคุ้นชินกับการใช้ชีวิตที่นี่แล้วเช่นกัน
ซูซื่อส่ายหน้า ระบายยิ้มอ่อนโยน “ฮูหยินผู้เฒ่าเตรียมไว้หมดแล้ว เจ้าก็เอาเสื้อผ้าตัวหนาๆ ไปหน่อย ที่นั่นลมแรง”
“เจ้าค่ะ” หลี่ช่านเย่รับคำ แล้วกล่าวต่อ “วันที่เจ็ดเดือนหน้าเป็นวันเกิดท่านพ่อ ข้าขอกลับบ้านเดิมสักสองสามวันได้หรือไม่เจ้าคะ”
“จะไปก็ไปเถิด จะว่าไปเจ้าก็ไม่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านเดิมนานแล้ว คงคิดถึงหน้าบิดามารดาเจ้าแย่แล้ว” ซูซื่อเอ็นดูลูกสะใภ้คนนี้มาก หลี่ช่านเย่เป็นคนเรียบร้อยและอ่อนหวาน เก่งงานบ้านงานเรือน สติปัญญาไหวพริบดีสมกับเป็นบุตรจากตระกูลบัณฑิต นับว่าโจวปิงหยูนั้นโชคดีมากที่ได้ภรรยาเพียบพร้อมเช่นนี้
“ขอบคุณท่านแม่ อ้อ เกือบลืม ข้าทำขนมวุ้นดอกหอมหมื่นลี้เมื่อเช้า ตั้งใจนำมาให้ท่านชิม เมื่อครู่ได้นำไปให้ฮูหยินผู้เฒ่าชิมแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่าอร่อยมาก หวานกำลังพอดี” หลี่ช่านเย่เกือบลืมเสียสนิทเพราะมัวแต่พูดคุยเรื่องอื่น นางตั้งใจนำขนมวุ้นที่ทำเองกับมือมาให้ซูซื่อลองชิม หญิงสาวหันไปรับตะกร้าสำรับขนมหวานจากสาวใช้คนสนิทส่งให้แม่สามี
“ขอบใจมาก” ซูซื่อรับมา ก่อนที่หลี่ช่านเย่จะขอตัว มิวายพูดถึงเรื่องตั้งครรภ์ หญิงสาวฟังแล้วได้แต่ยิ้มเจื่อน พักหลังซูซื่อมักพูดเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง
กลับมาที่เรือนหยกขาวก็มานั่งคัดอักษร ระหว่างนั้นซ่านซ่าน สาวใช้คนสนิทที่ติดตามมาตั้งแต่บ้านเดิมก็เข้ามาบอกข่าวดี “คุณหนู คุณชายปิงหยูกลับมาแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้อยู่ที่ห้องหนังสือ”
“ขนมวุ้นจัดใส่สำรับไว้แล้วใช่หรือไม่” หลี่ช่านเย่รีบวางพู่กันในมือลง
“เจ้าค่ะ”
“รีบไปนำมาให้ข้า ข้าจะนำไปให้ท่านพี่” รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าของหลี่ช่านเย่ เกือบเดือนแล้วที่ไม่ได้เจอหน้าสามีในนามเพราะเขาต้องไปทำงานไกลถึงชายแดน
โจวปิงหยูดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการ มีหน้าที่ตรวจสอบเรื่องทุจริต เขาเป็นคนซื่อตรงและทุ่มเทกับงาน มีผลงานโดดเด่นมากมาย ครั้งก่อนก็ลงใต้ไปเมืองหยวนตงตรวจสอบเรื่องงบประมาณสร้างเขื่อนเพื่อหาหลักฐานด้วยตัวเอง พบการทุจริตหลายอย่าง สุดท้ายก็เอาผิดผู้กระทำผิดได้ ซึ่งเป็นคนมีอำนาจในเมือง ผลงานครั้งนั้นเป็นที่โจษจันไปทั่ว ฮ่องเต้ถึงกับเรียกเข้าเฝ้าเพื่อพระราชทานรางวัลและ…สมรส
หลี่ช่านเย่ไปหาโจวปิงหยูที่ห้องหนังสือพร้อมสำรับของหวานในมือ นางทราบจากซูซื่อว่าเขาจะกลับถึงจวนวันนี้จึงตั้งใจทำขนมวุ้นดอกหอมหมื่นลี้แต่เช้า หัวใจหญิงสาวเต้นรัวเมื่อเห็นผู้ชายที่เฝ้าคะนึงหา เขานั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน ก้มหน้าอ่านสาส์นในมือท่าทางจริงจัง
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด ที่ความรู้สึกหลี่ช่านเย่เริ่มเปลี่ยนไป หญิงสาวยังจำคำพูดในคืนแต่งงานได้ดี พอหวนนึกถึงคำพูดเขาแล้วก็รู้สึกปวดอยู่ในอก นางไม่รู้ว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไปเพราะไม่เคยพูดถึงเรื่องหย่า ไม่พูดถึงนางในดวงใจ ไม่พูดสิ่งใดเลย แต่สำหรับหลี่ช่านเย่แล้ว...นางอยากอยู่เช่นนี้ อยู่ข้างกายเขาเช่นนี้ตลอดไป
“ท่านพี่ กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” หลี่ช่านเย่เอ่ยทักด้วยความดีใจ
โจวปิงหยูได้ยินเสียงใสจึงเงยหน้าขึ้นและวางม้วนสาส์นในมือลง เขายิ้มให้ รอยยิ้มของเขาอบอุ่นเสมอสำหรับหลี่ช่านเย่ “มาถึงได้สองชั่วยามแล้ว เย่เอ๋อร์ ช่วงนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“สบายดีเจ้าค่ะ ว่างๆ ก็เข้าครัวทำขนม วันก่อนเห็นต้นดอกหอมหมื่นลี้ในสวนออกดอกเยอะมาก เลยเก็บเอามาทำขนมวุ้น ครั้งต่อไปว่าจะลองใช้กลีบดอกบัว ไม่ก็กลีบดอกกุ้ยฮวาดูบ้างเจ้าค่ะ” หลี่ช่านเย่เล่าให้เขาฟังด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม ก่อนจะนำขนมวุ้นดอกหอมหมื่นลี้ที่อุตส่าห์ตั้งใจทำยกขึ้นโต๊ะและเติมชาที่พร่องเกินครึ่งให้เขา “ท่านพี่ลองชิมดู”
โจวปิงหยูรู้สึกเบาใจที่เห็นหญิงสาวตรงหน้าดูมีความสุขดี แรกๆ ที่แต่งนางเข้าจวน หลี่ช่านเย่มักทำหน้าอมทุกข์และมักบ่นกับสาวใช้คนสนิทว่าคิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัว โจวปิงหยูรู้สึกสงสาร แต่ไม่รู้จะทำเช่นไรเหมือนกัน โชคดีที่ผู้ใหญ่ในจวนล้วนเมตตานาง พอเห็นนางมีความสุขเช่นนี้จึงรู้สึกสบายใจ อีกอย่างก็จะได้ไม่รู้สึกผิดท่านราชครูหลี่มากด้วย
“ได้ยินท่านแม่บอกว่าเดือนหน้าเจ้าจะกลับไปเยี่ยมบ้านเดิม ให้ข้ากลับไปเป็นเพื่อนด้วยดีหรือไม่”
คำถามคล้ายใส่ใจของเขาทำให้หลี่ช่านเย่รู้สึกประทับใจ “หากท่านพี่มีเวลา เช่นนั้นก็ย่อมดีเจ้าค่ะ”
“ขนมวุ้นนี้หอมมาก” เขาเอ่ยชมขนมฝีมือนาง คนถูกชมแย้มยิ้มแก้มปริ รู้สึกวันนี้ตัวเองจะยิ้มมากแล้ว “จะว่าไปพวกเราก็ไม่ได้เดินเล่นด้วยกันนานแล้ว เย่เอ๋อร์ เจ้าไปเดินเล่นในสวนเป็นเพื่อนข้าหน่อยได้หรือไม่”
แน่นอนว่าหลี่ช่านเย่มิปฏิเสธ หลังทานขนมวุ้นจนหมด ทั้งสองจึงพากันไปเดินเล่นที่สวน นานๆ ถึงจะมีเวลาอยู่ด้วยกันเช่นนี้ แม้อยู่ร่วมชายคา ทว่าไม่ได้พบหน้ากันบ่อยนัก ทั้งคู่ไม่ได้นอนร่วมห้องกันแต่ไหนแต่ไรแล้ว อีกอย่างโจวปิงหยูก็มักออกจากจวนตั้งแต่เช้ามืด กลับอีกทีก็มืดค่ำ บางครั้งก็ต้องออกเดินทางไปต่างเมือง
โจวปิงหยูชวนหลี่ช่านเย่เข้าไปนั่งรับลมในศาลาทรงแปดเหลี่ยมกลางสระบัว สายลมยามเย็นพัดเอื่อยๆ ช่วยให้รู้สึกเย็นสบาย หญิงสาวที่กำลังเล่าเรื่องตัวเองนั่งเรือไปเก็บดอกบัวในสระแล้วเรือเกือบล่มหยุดชะงัก เมื่อชายหนุ่มตรงหน้ายื่นมือมาเกลี่ยกลุ่มผมที่หลุดเคลียแก้มทัดหูให้
หลี่ช่านเย่เอ่ยขอบคุณเสียงเบาอย่างเขินๆ ส่วนเขาก็ยิ้มอย่างเอ็นดู หากใครมองเข้ามาก็คงเห็นเป็นภาพหวานชื่นระหว่างสามีภรรยา
แต่สำหรับโจวปิงหยูแล้ว นี่ก็แค่งิ้วฉากหนึ่งเท่านั้น