บทนำ
วันนี้เป็นวันมงคล เนื่องด้วยบุตรสาวของท่านราชครูหลี่แต่งงาน สองข้างทางจึงคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ซึ่งต่างก็ออกมายืนรอดูขบวนเกี้ยวเจ้าสาวที่ยาวเหยียด
หลี่ช่านเย่ ในชุดมงคลสีแดงงดงาม สวมมงกุฏหงส์พระราชทาน และมีผ้าคลุมสีแดงปิดใบหน้าจนมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากชายกระโปรงและรองเท้าปักของตัวเอง
“ฝากลูกสาวข้าด้วย” หลี่หลางสั่งเสีย พร้อมคว้ามือเจ้าบ่าวมากุมมือเจ้าสาว
“ท่านราชครูมิต้องกังวล ข้าจะดูแลเย่เอ๋อร์เป็นอย่างดี” โจวปิงหยูในชุดมงคลให้คำมั่น พร้อมประสานมือโค้งคำนับพ่อตา
“อืม รีบไปเถิด เดี๋ยวจะเสียกฤษ์”
โจวปิงหยูเข้ามาช่วยประคองเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวแปดคนหาม จากนั้นขบวนเกี้ยวเจ้าสาวก็ออกเคลื่อนตัวไปยังจวนสกุลโจว โดยมีเจ้าบ่าวควบม้าตามประกบอยู่ข้างๆ
หลี่ช่านเย่ที่นั่งโคลงเคลงอยู่ข้างในได้ยินเสียงผู้คนฟังดูครึกครื้น และยังมีเสียงดนตรีช่วยบรรเลงตลอดทาง กระทั่งเกี้ยวเจ้าสาวหยุดลง พร้อมเสียงประทัดดังขึ้นอีกครั้ง เป็นสัญญาณว่าเจ้าสาวได้มาถึงแล้ว
“เย่เอ๋อร์ ถึงแล้ว” เจ้าบ่าวแหวกม่านกระซิบบอกพร้อมยื่นมือไปตรงหน้า
หลี่ช่านเย่หลุบตามองต่ำ เห็นฝ่ามือขาวๆ ยื่นมาตรงหน้า นางวางมือตัวเองทาบทับบนฝ่ามือนั้น โจวปิงหยูกระชับมือบางแน่น ช่วยประคองร่างเจ้าสาวลงจากเกี้ยวอย่างระมัดระวัง
จากนั้นก็เป็นพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน บ่าวสาวทำทุกอย่างตามพิธีการจนเสร็จสิ้น กระทั่งส่งตัวเข้าหอ หลี่ช่านเย่นั่งนิ่งอยู่ปลายเตียง สีหน้าภายใต้ผ้าคลุมนั้นเรียบเฉย ในใจว่างเปล่า รอให้เจ้าบ่าวใช้ไม้คันชั่งมาเปิดผ้าคลุมหน้า คล้องแขนดื่มสุรามงคล เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์
“หากเจ้าหิวก็กินก่อนได้เลยไม่ต้องรอข้า เดี๋ยวสักครู่จะมีคนยกสำรับเข้ามาให้” โจวปิงหยูพูดจเป็นกันเองทันทีเมื่ออยู่กันตามลำพัง
“เจ้าค่ะ” หลี่ช่านเย่พยักหน้าและยิ้มรับ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นหน้าค่าตาของผู้ที่จะมาเป็นสามี เคยแต่ได้ยินชื่อเสียงของเขา ซึ่งเป็นขุนนางที่ดีคนหนึ่ง
เขาเป็นบุรุษรูปร่างสูงโปร่ง ดูมาดบัณฑิต หน้าตาหล่อเหลา มีแววตาอบอุ่นและรอยยิ้มอ่อนโยน
“เย่เอ๋อร์ อยู่ที่นี่ทำใจให้สบายเถิด คิดเสียว่าที่นี่คือบ้านเจ้าอีกหลัง เจ้าวางใจได้ ข้าจะไม่ล่วงเกินเจ้าทั้งกายและวาจา อยู่กันดั่งพี่น้อง ทั้งเจ้าและข้าล้วนถูกผูกมัดด้วยสมรสพระราชทานที่มิอาจปฏิเสธ เดิมที่ข้านั้นมีคนในใจอยู่แล้ว หากไม่ใช่เพราะสมรสบ้าบอนี่ข้าก็คง…” นัยน์ตาของโจวปิงหยูหม่นแสงลงอย่างเห็นได้ชัด เขาต้องการแสดงความจริงใจให้นางเห็น ซึ่งหญิงสาวก็เข้าใจ
หลี่ช่านเย่เห็นดังนั้นจึงเอื้อมมือไปแตะที่แขนผู้ชายตรงหน้าแผ่วเบาอย่างเห็นใจ “ข้าเข้าใจท่าน งั้นเราก็อยู่เช่นนี้กันไปก่อน จริงๆ แล้วข้าก็มิอยากออกเรือน ยอมรับว่าการแต่งงานครั้งนี้ทำให้ข้าลำบากใจอยู่ไม่น้อย”
สิ่งที่หลี่ช่านเย่พูดไปนั้นคือความจริง จำได้ว่าตอนได้รับราชโองการนี้นางถึงกับนอนน้ำตาซึมอยู่ร่วมเดือน กังวลใจไปสาระพัด นางยังไม่พร้อมมีสามี ยังไม่อยากแยกจากครอบครัว กระทั่งโจวปิงหยูพูดออกมาเช่นนี้ จึงทำให้เบาใจไปหลายส่วน
“ขอบใจเจ้ามาก เย่เอ๋อร์ ข้าขอบใจเจ้ามาก ข้าจะหาทางออกให้เรื่องนี้เอง ช่วงนี้ก็เล่นบทสามีภรรยาไปก่อนแล้วกัน” โจวปิงหยูยิ้มกว้าง นัยน์ตาที่หม่นแสงกลับมาเปล่งประกายอย่างมีหวัง
หลี่ช่านเย่ได้แต่ยิ้มและพยักหน้า โจวปิงหยูพูดคุยกับหญิงสาวอยู่ครู่หนึ่งเพื่อให้นางรู้สึกผ่อนคลาย ก่อนจะขอตัวออกไปร่วมดื่มยินดีกับแขกเหรื่อข้างนอก ในคืนนั้นเจ้าบ่าวได้ทิ้งเจ้าสาวในนามไว้ในห้องหอเพียงลำพัง ชายหนุ่มไม่กลับเข้ามาเลยทั้งคืน ซึ่งหญิงสาวก็ดีใจที่เป็นเช่นนั้น