ยามโหยว่(17.00-19.00 น.)
ช่วงเวลาพลบค่ำนายท่านจ้าวกับคุณหนูน้อยทั้งสองมากินข้าวที่เรือนนอนเพื่ออยู่เป็นเพื่อนจ้าวเฟยเซียนกระทั่งจบมื้ออาหาร นายท่านจ้าวจึงกลับไปพักผ่อนที่เรือนนอนของตนเอง ทิ้งไว้เพียงหลาน ๆ ทั้งสองให้อยู่คุยเล่นกับมารดาของพวกเขา
"ซือเออร์ หรงเออร์ นอนที่นี่กับแม่ดีหรือไม่ พวกเจ้าทั้งสองยังเด็กอยู่ อย่าเพิ่งแยกออกไปอยู่ที่เรือนของตนเองเลยนะลูก"
"ข้าโตแล้ว สามารถนอนเองได้แล้วขะ..ขอรับ"
คุณชายน้อยตอบกลับมารดาด้วยท่าทางเฉย แต่ทันทีที่เห็นสายตาของท่านลุงเฟิ่งหยวนน้ำเสียงของหนุ่มน้อยก็เริ่มตะกุกตะกัก
"ซือซือนอนเจ้าค่ะ พี่ใหญ่นอนด้วยกันเถอะนะ ซือซืออยากนอนกับพี่ใหญ่กับท่านแม่พร้อมกัน นะเจ้าคะ"
แม่หนูตัวน้อยจ้องมองพี่ชายด้วยสายตาอ้อนวอน เหตุใดกันนะ ท่านแม่ใจดีถึงเพียงนี้ เหตุใดพี่ใหญ่จึงใจแข็งอยู่ได้
"ตอนอยู่บนรถม้า เจ้าบอกว่าจะปกป้องพวกเรามิใช่รึลูกแม่ เหตุใดตอนนี้จึงจะปล่อยให้แม่และน้องของเจ้าต้องอยู่กันเพียงลำพังเล่า"
"ขะ..ข้า เฮ้อ ก็ได้ขอรับ ข้านอนที่นี่ก็ได้"
"เย้ เย้ พวกเราจะได้นอนด้วยกันแล้ว"
ท่าทางตื่นเต้นดีใจของหนูน้อยพลอยทำให้ทุกคนมีรอยยิ้มไปด้วย
"ข้าจะออกไปเฝ้าอยู่หน้าเรือนนอนจนถึงปลายยามจื่อ หลังจากนั้นจะมีเวรยามมาสับเปลี่ยนคอยดูแล นายหญิงเล็กโปรดวางใจ"
(ยามจื่อ 23.00-01.00น.)
"ท่านกลับไปพักเถอะ ไม่จำเป็นต้องคุ้มกันพวกเราตลอดเวลา อีกอย่างตอนที่เข้ามาที่นี่ ข้าเห็นว่ามีการคุ้มกันที่แน่นหนาอยู่แล้ว คงไม่มีใครกล้าบุกรุกจวนนายท่านจ้าวในยามวิกาลเช่นนี้"
"ขอรับ"
สวี่เฟิ่งหยวนเดินกลับไปที่ห้องพักของตนเองที่อยู่ห่างจากเรือนนอนของสามคนแม่ลูกไม่ไกลนัก หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายเฟยเซียนจึงให้เหลียนฝางและสาวใช้คนอื่นช่วยกันอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เด็ก ๆ ทั้งสอง
"ร้านค้าของเราอยู่ในมิติอย่างนั้นเหรอ แล้วมิติจะใช้งานหรือนำของเข้าออกยังไงกันนะ? แต่..."
เฟยเซียนนั่งพิงหัวเตียงพูดพึมพำอยู่คนเดียวพร้อมกับมองไปที่ขาทั้งสองข้างของนาง เห็นทีคงต้องรอให้ขาของนางทั้งสองข้างกลับมามีเรี่ยวแรงเป็นปกติเสียก่อนจึงจะทำอะไรได้สะดวก แต่คนที่ไม่เคยอยู่นิ่งมีหรือที่จะทนอยู่เฉย ๆ ได้ บิดาของนางไม่มีผู้สืบทอดธุรกิจการค้าต่อ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่นางถนัด ดูท่าว่านางต้องเร่งฟื้นฟูและบำรุงร่างกายให้หายในเร็ววัน
"ท่านแม่ ซือซือกับพี่ใหญ่มาแล้วเจ้าค่ะ"
หนูน้อยทั้งสองถูกจับอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับมาในชุดนอนสีเนื้อนวลผ้านุ่มสบายตัว เฟยเซียนได้ยินเสียงของบุตรสาวจึงรีบอ้าแขนรับเด็ก ๆ ทั้งสองให้ขึ้นมานอนบนเตียงใหญ่เคียงข้างนาง
"ขึ้นมาเลยลูก เหลียนฝางเจ้ากับคนอื่น ๆ แยกย้ายกันไปพักเถอะ ไว้รุ่งเช้าค่อยเข้ามา ทางนี้ข้าจัดการต่อเอง"
หลังจากรับบุตรชายและบุตรสาวขึ้นเตียงแล้วจ้าวเฟยเซียนจึงหันมาบอกให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อน มีบ้างที่เหลียนอยากคัดค้านเพราะเกรงว่านายหญิงของตนจะไม่อาจดูแลคุณหนูทั้งสองได้ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมจำนนเมื่อเจอกับสายตาที่ไม่อาจต้านทานได้
"เจ้าค่ะนายหญิงเล็ก/เจ้าค่ะนายหญิงเล็ก/เจ้าค่ะ"
เหลียนฝางได้แต่คิดในใจว่านายหญิงเล็กของนางฟื้นมาครั้งนี้ช่างเปลี่ยนแปลงไปมากจนน่าตกใจ แต่ยังดีที่เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น
"ซือซือขอนอนข้างท่านแม่ได้หรือไม่เจ้าคะ"
"ย่อมได้"
"แล้วท่านแม่กอดซือซือได้ระ..หรือไม่เจ้าคะ"
น้ำเสียงของหนูน้อยแผ่วลงเพราะเริ่มไม่แน่ใจว่าท่านแม่จะโกรธหรือไม่ วันนี้นางร้องขอต่อท่านแม่ไม่หยุดหย่อน คงไม่ทำให้ท่านแม่เบื่อหน่ายนางหรอกนะ
"เหตุใดจะไม่ได้ นอนลงเถอะลูก แม่จะเล่านิทานให้พวกเจ้าฟังด้วยดีหรือไม่"
"จริงหรือเจ้าคะ ซือซือดีใจที่สุดเลยเจ้าค่ะ จริงไหมพี่ใหญ่"
เฟยเซียนจ้องมองไปที่บุตรชายตัวน้อยที่นั่งอยู่ด้านในสุด เจ้าตัวเล็กไม่มีท่าที่ตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อยหรือกำลังวางมาดอยู่ก็ไม่อาจรู้ได้
"อืม"
"หรงเออร์ ลูกต้องผ่อนคลายแล้วใช้ชีวิตเช่นเด็กน้อยวัยเดียวกันรู้หรือไม่ ลูกไม่จำเป็นต้องแบกรับทุกอย่างไว้บนบ่าน้อย ๆ ของลูกอีกต่อไปแล้ว"
มือเรียวลูบแก้มของบุตรชายอย่างทะนุถนอม ครู่หนึ่งเฟยเซียนเห็นแววตาของบุตรชายสั่นไหวคล้ายจะร้องไห้แต่พยายามเก็บอาการทุกอย่างเอาไว้
"ละ..ลูกต้องทำตัวอย่างไรในเมื่อท่านแม่เป็นคนบอกให้ลูกเข้มแข็ง ท่านบอกให้ลูกเป็นบุตรชายที่ท่านพ่อต้องภูมิใจ ทะ..ทั้งที่ลูกไม่อยากเป็น อึก ไม่เช่นนั้นท่านก็จะทำร้ายทุบตีพวกเรา"
คำพูดของเหรินเฟยหรงทำให้เฟยเซียนต้องกลืนก้อนสะอึกลงคอจนนางพูดอะไรไม่ออก แท้จริงแล้วเด็กคนนี้ไม่ได้เกลียดชังมารดา แต่ในทางกลับกันเขาพยายามทำทุกอย่างที่มารดาสั่ง แม้จะต้องแลกมาด้วยความสุขในวัยเด็กที่ต้องสูญเสียไปก็ตาม
"แม่ขอโทษ จากนี้ไปเจ้าไม่ต้องทำแบบนั้นแล้วลูก เจ้าอยากร้องไห้หรือไม่หรงเออร์ เจ้าสามารถร้องไห้ออกมาได้เต็มที่ เจ้าเป็นมนุษย์ เจ้าเป็นลูกของแม่ เจ้าสามารถอ่อนแอได้เช่นกัน"
สิ้นเสียงของมารดา น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลรินออกจากดวงตาของเด็กชายวัยเพียง 4 หนาวมากมายราวกับว่าเก็บความรู้สึกนี้ไว้นานแล้ว ร่างเล็กจ้อยถูกมารดาอุ้มขึ้นไปกอดบนตัก อีกมือหนึ่งของเฟยเซียนก็โอบกอดบุตรสาวเอาไว้เช่นกัน
"ฮึก ฮื้ออออ ฮื้ออออ ท่านแม่ ข้าไม่ชอบเรียนต่อสู้ ฮื้ออออ ท่านเลิกสั่งให้ข้าต้องทำตามได้หรือไม่ ฮึก ฮึก"
"อึก พี่ใหญ่อย่าร้อง ฮึก"
หนูน้อยซือซือที่เห็นพี่ชายร้องไห้ก็ตั้งท่าจะร้องตาม แม้แต่เฟยเซียนเองก็ร้องไห้ตามไปด้วยเช่นกัน
"ไม่ชอบก็ไม่ต้องทำแล้วลูก แม่ขอโทษสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา ต่อไปพวกเจ้าทั้งสองอยากทำอะไรแม่จะสนับสนุนเจ้าทุกอย่างดีหรือไม่"
"ฮึก ดะ..ดีขอรับ ฮึก ทะ..ท่านแม่ข้าชื่นชอบการวาดภาพ ฮึก ขะ..ข้าขอเรียนวาดรูปได้หรือไม่"
"ซือซือชอบทำอาหารเจ้าคะ อึก ขอซือซือเรียนทำอาหารนะเจ้าคะ"
"ได้เลยลูก ได้ทุกอย่างที่พวกเจ้าต้องการ แม่จะคืนชีวิตในวัยเด็กให้กับพวกเจ้า ต่อไปนี้เรื่องไหนที่หนักหนาเกินไปขอให้บอกแม่ พวกเราจะเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้งดีหรือไม่"
"ดีขอรับ ฮึก"
"ดีเจ้าค่ะ"
เสียงของสามคนแม่ลูกพูดคุยกันทั้งน้ำตาดังไปถึงหน้าเรือนจนนายท่านจ้าวกับสวี่เฟิ่งหยวนต้องรีบเดินมาดูด้วยความเป็นห่วง แต่ยังไม่ทันจะได้เปิดประตูเข้ามาข้างในก็ได้ยินทุกอย่างว่าทั้งสามกำลังปรับความเข้าใจกันอยู่ เมื่อเป็นไปในทิศทางที่ดีจึงไม่มีใครเข้ามารบกวนเวลาของทั้งสาม ก่อนจะแยกย้ายกันไปพร้อมกับรอยยิ้ม
ค่ำคืนนี้เฟยเซียนเล่านิทานเรื่องสามคนแม่ลูกที่ไม่เคยเข้าใจกันมาก่อน จนกระทั่งวันหนึ่งคนเป็นแม่ฟื้นจากความตายจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง นางให้ลูก ๆ ได้ลงมือทำในสิ่งที่พวกเขาชอบและคอยผลักดันสนับสนุนลูกทั้งสองอยู่ตลอด กระทั่งบุตรสาวและบุตรชายเติบใหญ่และประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตนเองชอบ เด็กทั้งสองคนไม่ลืมว่ามารดาเป็นคนที่โอบอุ้มตนเองในยามที่อ่อนแอและเหนื่อยล้า พวกเขาทั้งคู่จึงตั้งใจใช้ชีวิตให้ดี ใช้ทุกช่วงเวลาที่มีให้คุ้ม เพื่อเป็นการตอบแทนมารดาของตน การกระทำเหล่านี้ถูกส่งรุ่นสู่รุ่น ครอบครัวนี้จึงพานพบแต่ความสุขที่มาจากเนื้อแท้ภายใน และใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันจนลมหายใจสุดท้าย
หนูน้อยทั้งสองต่างตื่นเต้นกับนิทานที่มารดาเล่าให้ฟัง โดยไม่รู้เลยว่าเรื่องราวเหล่านั้นเริ่มต้นมาจากครอบครัวของตนเอง
นอกเรือนนอนภายใต้ความมืด สวี่เฟิ่งหยวนยืนฟังเฟยเซียนเล่านิทานให้ลูก ๆ ฟังจนจบ ก่อนจะเร้นกายหายไปภายใต้แสงจันทร์