"ซือซือขอนั่งข้างท่านแม่ได้ไหมเจ้าคะ"
คุณหนูน้อยที่ถูกเหลียนฝางอุ้มขึ้นมาบนรถม้าเอ่ยถามมารดาอย่างน่าเอ็นดู วันนี้ท่านแม่ใจดียิ่งนัก ซือซืออยากนั่งข้าง ๆ ท่านแม่
"ไยจะไม่ได้ รีบมาเร็วเข้าลูกสาวของแม่ แล้วพี่ชายเจ้าเล่า เขาไม่อยากนั่งกับแม่หรือ?"
ในขณะที่เฟยเซียนกำลังอ้าแขนรอรับบุตรสาว นางเห็นบุตรชายยืนทำตัวไม่ถูกอยู่ชานรถม้าจึงรีบเอ่ยถามหนุ่มน้อยมาดขรึมเสียหน่อย ไม่รู้จะทำตัวเป็นผู้ใหญ่ไปถึงไหน
"พี่ใหญ่ มานั่งข้างท่านแม่เร็วเข้า"
"ไม่ สตรีเช่นเจ้านั่งอยู่ข้างในดีแล้ว ข้าจะคอยคุ้มกันอยู่ด้านนอกเอง ท่านลุง ข้างขอยืนตรงนี้ได้หรือไม่ขอรับ"
ตอบน้องสาวเสร็จเหรินเฟยหรงก็รีบเอ่ยถามสวี่เฟิ่งหยวนที่นั่งอยู่ชานรถม้าทันที เฟยเซียนที่มองทุกอย่างจากด้านในอดไม่ได้ที่จะเอ็นดูบุตรชายของนาง เด็กน้อยตัวเล็กนิดเดียวแต่ยืนกอดอกถ่างขายืนอย่างมั่นใจว่าตนเองจะสามารถปกป้องทุกคนบนรถม้าได้
"ได้ขอรับ คุณชายน้อยจับไหล่ข้าน้อยไว้ให้มั่นนะขอรับ หากม้าหยุดกระทันหันจะได้ไม่หกล้ม"
มือเล็กของเด็กชายตัวน้อยถูกจับขึ้นมาวางทาบบนไหล่แกร่งของสวี่เฟิ่งหยวน โดยมีเขาคอยประคองอยู่ไม่ห่าง นายท่านจ้าวที่เห็นแบบนั้นก็เบาใจขึ้นหลานส่วน อย่างน้อยหลานชายของท่านก็ยังยอมพูดคุยกับคนอื่นบ้าง
"ขอบคุณขอรับท่านลุง"
"ออกรถได้"
เสียงของสวี่เฟิ่งหยวนสั่งให้ขบวนรถม้าเคลื่อนตัวออกจากหน้าจวนเหรินมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือของตัวเมืองเพื่อกลับจวนตระกูลจ้าว เฟยเซียนกระชับแขนกอดบุตรสาวแล้วชวนหนูน้อยพูดคุยและดูบรรยากาศตลาดและร้านค้าที่ขบวนเคลื่อนผ่าน
วิถีชีวิตของชาวบ้านไม่ต่างจากซีรีส์ที่นางเคยดูเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ที่กาลเวลาก่อนหน้าจะมาที่นี่ ร้านเครื่องประดับ ร้านเครื่องประทินโฉม ร้านน้ำชา หอสุรา ต่างก็มีเสี่ยวเอ้อและหลงจู๊ออกมายืนคอยต้อนรับลูกค้าอยู่ที่หน้าร้านอย่างคึกคัก
"ท่านแม่อันนั้นคืออะไรหรือเจ้าคะ"
หนูน้อยชี้ไปทางถังหูลู่ที่มีพ่อค้าเดินขายอยู่ข้างถนนเพราะสีสันสวยและดูสดใหม่ดึงดูดความสนใจได้ดี
"ซือเออร์ไม่เคยกินหรือลูก"
"ไม่เคยเจ้าค่ะ"
ใบหน้าของหนูน้อยดูหม่นลงเฟยเซียนจึงรีบปลอบใจบุตรสาว
"นั่นคือถังหูลู่จ้ะ ไว้แม่หายป่วยแม่จะพาเจ้าเข้ามาเที่ยวในเมืองดีหรือไม่ เจ้าอยากกินอะไรแม่ย่อมตามใจเจ้าทุกอย่าง"
"จริงหรือเจ้าคะ"
"จริงจ้ะ เรามาเกี่ยวก้อยสัญญากันดีหรือไม่ ทำแบบนี้ แล้วก็หมุนขึ้นมาแปะโป้งประทับตราแทนคำสัญญาเอาไว้"
จ้าวเฟยเซียนเกี่ยวก้อยกับนิ้วน้อย ๆ ของบุตรสาว พร้อมกับสอนวิธีประทับตราที่นิ้วโป้งจนหนูน้อยที่ได้เล่นกับมารดาเป็นครั้งแรกยิ้มไม่ยอมหุบ ทว่าพวกเขากลับไม่รู้เลยว่าตอนนี้บนรถม้ามีคนหายไป 2 คนแล้ว
"คิก คิก อย่างนี้หรือเจ้าคะ ท่านตาเกี่ยวก้อยกับหลานหรือไม่เจ้าคะ"
"ซือเออร์เล่นกับแม่ของเจ้าเถิด ตาแก่แล้วเล่นแบบนั้นไม่เป็นหรอกลูก"
นายท่านจ้าวยิ้มออกมาอย่างมีความสุข นี่น่าจะเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีที่ท่านได้เห็นรอยยิ้มของบุตรสาวและหลาน ๆ ความรู้สึกของท่านจึงไม่ต่างจากยกภูเขาออกจากอก
กั๊บ กั๊บ กั๊บ กั๊บ
"ซือซือ พี่อยู่ทางนี้ หันมาทางนี้เร็วเข้า ฮะ ฮะ ฮะ"
"พี่ใหญ่ ว้าว ม้าตัวใหญ่มากเลย ซือซืออยากนั่งเจ้าค่ะท่านแม่"
หนูน้อยที่ได้เห็นพี่ชายนั่งอยู่บนหลังอาชาศึกตัวใหญ่ก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน
"ท่านลุงไม่อาจดูแลพวกเจ้าทั้งสองได้พร้อมกัน รอให้ถึงจวนแม่จะขอให้ท่านลุงพาเจ้านั่งบนหลังม้าเช่นพี่ชายของเจ้าดีหรือไม่"
"ดีเจ้าคะ นะเจ้าคะท่านลุง ท่านลุงต้องพาซือซือขึ้นนั่งบนหลังม้าด้วยนะเจ้าคะ"
"ขอรับคุณหนู อันนี้ถังหูลู่ที่คุณหนูอยากชิมขอรับ"
ถังหูลู่สีแดงไม้ใหญ่ถูกยื่นมาตรงหน้าของเด็กหญิงตัวน้อยผ่านทางหน้าต่าง มือเล็ก ๆ ยื่นออกไปรับจากท่านลุงใจดีด้วยความตื่นเต้น เฟยเซียนเองก็แปลกใจที่อีกฝ่ายช่างสังเกตและสามารถเข้ากับบุตรชายของนางได้อย่างง่ายได้
"หรงเออร์นั่งแบบนั้นสบายตัวหรือไม่ เข้ามานั่งในรถม้ากับแม่ดีไหมลูก"
"ไม่! ข้าจะนั่งบนหลังม้ากับท่านลุง"
เฟยเซียนไม่ได้ถือสาคำพูดห้วน ๆ ของบุตรชาย แต่เป็นสวี่เฟิ่งหยวนที่จัดการเพียงเล็กน้อย คุณชายน้อยของเขาก็เปลี่ยนไปราวกันเป็นคนละคน
"ตอบท่านแม่ดี ๆ ขอรับ เช่นนั้นเรื่องไปเที่ยวชมลำธารคงต้องเป็นโมฆะ"
"ละ..ลูกอยากนั่งบนหลังม้าขอรับท่านแม่ เชิญท่านแม่กับท่านตาพักผ่อนตามสบายเลยขอรับ"
เหรินเฟยหรงใช้เวลาตัดสินใจเพียงไม่นาน ก่อนจะหันมาพูดกับมารดาและท่านตาของตนด้วยท่าทีนอบน้อม ทำเอานายท่านจ้าวและจ้ายเฟยเซียนต่างก็งุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ต่างจากหนูน้อยเหรินลู่ซือที่เอาแต่ลิ้มลองรสชาติของถังหูลู่จนไม่สนใจสิ่งใด
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า เฟิ่งหยวน ต่อไปนี้เจ้ารับหน้าที่ดูแลบุตรสาวกับหลาน ๆ ของข้าไปเลยดีหรือไม่"
"ขอรับนายท่าน"
เฟยเซียนหันมองบิดาสลับกับชายรูปร่างกำยำสูงใหญ่ที่นั่งอยู่หลังอาชาสึกด้วยความสงสัย สองคนนี้ต้องมีความลับอะไรที่นางไม่รู้แน่ ๆ ในตอนที่อยู่ยมโลก ในภาพเหล่านั้นก็ไม่มีเฟิ่งหยวนผู้นี้ให้เห็น แต่ตอนนี้เขากลับมีบทบาทและเป็นคนที่บิดาของนางไว้ใจจนน่าแปลก
หรือว่าภาพที่นางเห็นเหล่านั้นเป็นเพียงบุคคลที่นางควรตัดออกจากชีวิตให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เฟยเซียนใช้เวลาครุ่นคิดเพียงลำพังอยู่ครู่ใหญ่จนกระทั่งรถม้าเคลื่อนผ่านป่าไผ่เข้าเขตจวนสกุลจ้าวที่กินเนื้อที่นับ 200 หมู่(100 ไร่) หรือจะเรียกว่าเกือบทั้งชายเขาลูกนี้เป็นพื้นที่ทั้งหมดของนายท่านจ้าวก็ว่าได้
"นายหญิงเล็กขอรับ เป็นอะไรหรือไม่ขอรับ"
"เออะ เอ่อ ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ถึงจวนแล้วหรือเจ้าคะ"
เฟยเซียนหันซ้ายกันขวาอีกทีก็พบว่าคนอื่นลงไปจากรถม้ากันไปหมดแล้ว เหลืองเพียงนางอยู่เพียงลำพังตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้
"ขออภัยข้าคงต้องล่วงเกินนายหญิงเล็กแล้ว คนอื่นเข้าจวนไปหมดแล้วนะขอรับ"
"รบกวนด้วยเจ้าค่ะท่านพี่เฟิ่งหยวน"
สวี่เฟิ่งหยวนช้อนร่างของเฟยเซียนขึ้นอย่างทะนุถนอมก่อนจะเดินลงจากรถม้าโดยมีเหลียนฝางคอยช่วยเหลือ โชคดีที่จวนจ้าวอยู่นอกตัวเมือง อีกทั้งรถม้าก็สามารถจอดเทียบหน้าเรือนหลักได้เลยจึงไม่เป็นที่พบเห็นได้โดยง่าย
"นายหญิงเล็กไม่ควรเรียกข้าว่าท่านพี่ เรียกแค่เฟิ่งหยวนก็พอขอรับ"
"เหตุใดเล่า ก็ท่านอายุมากกว่าข้า เรียกท่านพี่ก็ถูกแล้วมิใช่หรือ"
"ท่านพี่ ส่วนใหญ่จะเป็นน้องสาวเรียกขานพี่ชาย หรือไม่ก็เป็นภรรยาเรียกขานสามีขอรับ ส่วนใหญ่แล้วผู้เป็นนายมักจะเรียกชื่อบ่าวตรง ๆ เลย เหตุใดจึงลืมเรื่องเหล่านี้"
ใบหน้าของเฟยเซียนขึ้นสีแดงเรื่อด้วยความเขินอาย นี่เธอเพิ่งปล่อยไก่ตัวใหญ่ไปหรอกหรือนี่ ด้วยความสับสนระหว่างคำเรียกจากสองยุคสมัยจึงทำให้เฟยเซียนละเลยเรื่องนี้ ช่างน่าอายจริง ๆ
สวี่เฟิ่งหยวนที่เห็นคนในอ้อมกอดเอามือปิดหน้าตนเองไว้ก็ยกยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ และนายท่านจ้าวที่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร
เฟยเซียนถูกนำตัวเข้ามาที่หอนอนของนางที่ถูกตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงาม ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างแตกต่างจากจวนสกุลเหรินโดยสิ้นเชิง โต๊ะเก้าอี้ในจวนนี้ถูกสลักเสลาด้วยความประณีต ที่สำคัญทุกอย่างถูกเช็ดทำความสะอาดจนวาววับบ่งบอกถึงความเอาใจใส่ของผู้ดูแล
"จวนของท่านตาสวยยิ่งนัก ซือซือขออยู่นาน ๆ ได้หรือไม่เจ้าคะ"
หนูน้อยที่ยังไม่รู้ประสาเอ่ยถามท่านตาที่จับมือตนเองอยู่ เพราะคิดว่าสักวันคงต้องกลับไปอยู่ที่เดิมอีกครั้ง
"ไยจะไม่ได้เล่า จวนหลังนี้ต้องเป็นของแม่เจ้า และเป็นของพวกเจ้าทั้งสอง ยามแก่เฒ่าตาต้องพึ่งพาให้พวกเจ้าดูแลตาแก่คนนี้ได้หรือไม่ซือเออร์ หรงเออร์"
"เจ้าค่ะท่านตา ซือซือจะอยู่ที่นี่กับท่านตา"
"ข้าก็จะอยู่กับท่านตาขอรับ"
เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของหลานน้อยทั้งสอง นายท่านจ้าวรู้สึกตื้นตันจนไม่รู้จะบรรยายอย่างไร ท่านรอวันนี้มาหลายปี วันที่บุตรสาวฟื้นจากความตาย วันที่จะได้รับทุกคนกลับบ้านอีกครั้ง
"ไฉจื้อ เจ้าจงไปเรียกรวมตัวบ่าวไพร่ในจวนให้มาที่หน้าเรือนหลักทั้งหมด"
"ขอรับนายท่าน"
พ่อบ้านไฉรีบส่งคนออกไปเรียกรวมตัวคนงานที่หน้าเรือนหลักอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันนายท่านจ้าวกับหลานน้อยทั้งสองรวมไปถึงสวี่เฟิ่งหยวนก็ออกไปรวมตัวกันที่นั่น ปล่อยให้เฟยเซียนและเหลียนฝางได้พักผ่อนอยู่ในเรือนนอน เพราะตอนนี้เป็นปลายยามเว่ยแล้ว(ยามเว่ย 13.00-15.00 น.)
ข้าทาสมากกว่าร้อยชีวิตถูกเรียกมารวมตัวที่หน้าเรือนหลังของจวนสกุลจ้าวเพื่อแจ้งข่าวการกลับมาของเฟยเซียนและลูก ๆ ครั้งนี้นายท่านจ้าวได้ออกคำสั่งอย่างเป็นทางการให้สวี่เฟิ่งหยวนรับหน้าที่ดูแลนายหญิงเล็ก(จ้าวเฟยเซียน)ซึ่งเป็นบุตรสาวของตน พร้อมกับดูแลคุณหนูน้อยและคุณชายน้อยด้วยในเวลาเดียวกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้แต่งตั้งบ่าวรับใช้ส่วนตัวให้หลาน ๆ ทั้งสองได้ใช้สอยในเรือนอีกหลายคน
ส่วนเรื่องความปลอดภัยทางด้านชีวิตและทรัพย์สินนั้นยิ่งไม่ต้องห่วง คนงานที่นี่เหมือนชาวบ้านทั่วไปก็จริง แต่พวกเขาส่วนใหญ่คือกลุ่มทหารเดนตายที่ผ่านศึกใหญ่มานับครั้งไม่ถ้วน เรื่องการรบหรือการต่อสู้จึงถือว่าชำนาญกว่ากลุ่มผู้คุ้มกันรับจ้างตามท้องตลาดทั่วไป ส่วนบ่าวคนอื่นก็เป็นครอบครัวของพวกเขาเหล่านั้น
นายท่านจ้าวเลือกที่จะซื้อใจลูกน้องที่เกิดจากรากหญ้า มากกว่าผู้ที่เกิดมาก็มีเพรียกพร้อม เพราะความอดทนของทั้งสองแตกต่างกันอย่างลิบลับ ท่านระลึกอยู่เสมอว่า ในยามคับขันชาวบ้านเหล่านั้นยอมอารักขาให้ท่านรอดปลอดภัยโดยไม่ห่วงชีวิตของตนเอง แต่นั้นมาในจวนสกุลจ้าวจึงอยู่กันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยและเอื้อเฟื้อบ่าวไพร่อยู่เสมอ คำพูดของนายท่านจ้าวถือเป็นใหญ่ที่สุดในจวนนี้ แต่เหนือนายท่านจ้าวยังมีนายหญิงเล็กที่ท่านยอมให้ได้ทุกอย่าง และเหนือจากนายหญิงเล็กเห็นทีจะเป็นคุณหนูน้อยและคุณชายน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้าทุกคนนั่นเอง