เมื่อ ฉินฝานหรูกลับไปที่เมืองจินหลิง หัวใจของเขาก็โหยหาที่จะได้พบซินฟางผู้หญิงที่เขารักอย่างสุดซึ้ง เมื่อเข้ามาถึงตำหนักจินหลิงทันทีที่ลงจากหลังม้าเจ้าหัวเมืองหนุ่มรีบปรี่ไปยังตำหนักที่จัดให้เป็นที่พักของซินฟางเป็นอันดับแรก โดยไม่สนว่าเรื่องด่วนที่ทำให้เขาต้องรีบกลับมาที่จินหลิงนั้นคืออะไร
“ท่านเจ้าหัวเมืองกลับมาแล้วเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้เข้ามารายงานกับซินฟางที่เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง ขณะที่หญิงสาวกำลังนอนพักผ่อนอยู่นั้น เมื่อได้ยินเรื่องที่บ่าวรับใช้เข้ามาบอก ร่างบางก็ดีดตัวลุกขึ้นจากเตียงทันที
“ซินฟาง” ไม่ทันที่หญิงสาวจะได้ก้าวขาออกจากเรือนนอนของนาง ร่างสูงของชายผู้เป็นที่รักก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว เขาตรงเข้ามาดึงร่างของนางเข้าไปกอดไว้แนบแน่น จนอี้เหม่ยหลิงได้ยินเสียงครวญแห่งความคิดถึง จากหัวใจที่เต้นแรงราวกับจะหลุดออกจากอกของเขา
“ไหนท่านว่าจะอยู่เมืองหลวงอีกสักระยะมิใช่หรือเจ้าคะ” นางโจรตัวร้ายแสร้งถาม ทั้งที่รู้อยู่เต็มอก เรื่องที่กองโจรของนางเพิ่งจะก่อกันเอาไว้เมื่อไม่นานมานี้ คงทำให้ฉินฝานหรูรีบกลับมาจินหลิงทันทีหลังได้รับจดหมายของหลิวเจิ้ง
“ก็เพราะเรื่องพวกโจรที่เข้ามาช่วยพวกของมันในคุกออกไปน่ะสิ หลิวเจิ้งส่งข่าวให้ข้า เมื่อรู้ก็รีบกลับมาทันที” พอพูดเรื่องนี้ขึ้นมาฉินฝานหรูจึงตระหนักได้ว่าเขาควรจะไปตรวจดูที่คุกเสียก่อน
“เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวไปดูที่คุกก่อน ไม่รู้ว่าพวกโจรทิ้งเบาะแสอะไรเอาไว้บ้าง” หญิงสาวพยักหน้ารับ คิดแล้วก็เสียวสันหลังวาบ ใจหนึ่งของอี้เหม่ยหลิงก็แอบคิด ว่าเขาจะไม่สงสัยอะไรในตัวนางบ้างเชียวหรือ
แต่ความรักก็สามารถปิดหูปิดตาของคนได้อย่างน่าอัศจรรย์ แม้คนเก่งกาจเช่นฉินฝานหรู ก็ยังไม่คิดระแวงหญิงงามที่หลงรักเลยแม้สักนิด
ทว่าการมุ่งความสนใจไปที่เรื่องส่วนตัวเพียงอย่างเดียวของเจ้าหัวเมืองหนุ่ม ทำให้หลิวเจิ้งขุนนางที่ปรึกษาอาวุโสและยังเป็นคนสนิทของฉินฝานหรูรู้สึกไม่พอใจ หลิวเจิ้งผู้ซื่อสัตย์และมีความรับผิดชอบ เขาคิดว่าลำดับความสำคัญของฉินฝานหรูควรอยู่ที่เรื่องเร่งด่วนที่เรียกให้เขากลับมาจินหลิง ไม่ใช่พุ่งไปหาสตรีเสียก่อนแบบนั้น แม้ว่าหลิวเจิ้งจะไม่ได้ถือสาอะไรเพราะเข้าใจว่าความรักนั้นหอมหวาน แต่คนอื่นๆ ที่รอการกลับมาของผู้นำคงไม่เห็นอกเห็นใจฉินฝานหรูเช่นเขาแน่
หลิวเจิ้งรอฉินฝานหรูอยู่ที่ห้องหนังสือ ที่ประจำที่พวกเขามักจะพูดคุยประชุมกัน ใบหน้าของชายมีอายุในชุดผ้าแพรสีน้ำเงินเข้มเต็มไปด้วยความกังวล
“ขออภัยท่านหลิวเจิ้ง ข้าเพิ่งจะกลับมาถึงเลยแวะไปหาซินฟางมาครู่หนึ่ง กลัวว่านางจะตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นตอนที่ข้าไม่อยู่” เมื่อฉินฝานหรูเดินมาถึง เขาอธิบายสั้นๆ ก่อนจะเดินไปนั่งลงตรงที่ประจำของเขา หลิวเจิ้งเพียงพยักหน้ารับ เขาไม่ได้มีสิทธิ์มากพอที่จะต่อว่าอะไรฉินฝานหรูได้อยู่แล้ว
“อีกเรื่องที่ท่านต้องรู้ หลังแหกคุกไปเพียงไม่กี่วัน พวกโจรมันก็ออกมาปล้นขบวนเกวียนบรรทุกสินค้าของพ่อค้าจากต่างดินแดน ทหารที่คุ้มกันขบวนเดินทางถูกฆ่าตายหมด สินค้าและของมีค่าก็ถูกพวกมันปล้นไปจนหมดเช่นกัน” หลิวเจิ้งเล่าเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นในจินหลิงให้เจ้าหัวเมืองฟังอย่างกระชับที่สุด ไม่เพียงแต่กลุ่มโจรภูเขาจะหลบหนีจากการคุมขังไปได้เท่านั้น แต่พวกเขายังบุกปล้นขบวนสินค้าทางชายแดนอย่างโจ่งแจ้ง ณ จุดที่พวกเขาเคยถูกจับกุมอีกด้วย
“พวกมันปล้นที่จุดเดิม และหนีไปได้ราวกับหายตัว ไม่มีร่องรอยอะไรทิ้งเอาไว้เลย” หลิวเจิ้งอธิบาย น้ำเสียงของเขาเจือด้วยความหงุดหงิด
“ทหารตั้งมากมายที่กระจายตัวอยู่ในป่า ไม่เจอพวกมันบ้างหรือ” ฉินฝานหรูเอ่ยถาม ที่น่าแปลกกว่านั้นคือห่างจากจุดที่เคยจับพวกโจรกลุ่มนี้ได้ มีค่ายชั่วคราวของพวกทหารตั้งอยู่ ทำไมถึงไม่เห็นหรือไม่ได้ยินการบุกปล้นของพวกโจรกลุ่มนี้เลย
"ไม่มีใครเห็น อย่างที่ข้าบอกไปตั้งแต่แรก พวกมันหายไปในความมืด มันปล้นสะดมขบวนรถทั้งหมด ไม่เหลืออะไรไว้เบื้องหลังเลย นอกจากหีบเปล่าและเกวียนร้าง แม้แต่ม้าที่ใช้เทียมเกวียนพวกมันก็เอาไปด้วย"
ฉินฝานหรูสูดลมหายใจเข้าลึก เขาพยายามคิดหาทางออก ว่าจะปราบพวกโจรกลุ่มนี้ได้อย่างไร การทำแผนที่ของแผ่นดินจินหลิงก็ดำเนินการไปได้ประมาณหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังมีหลายจุดที่เป็นจุดบอดของแผนที่ ก็อาจจะทำให้พวกโจรใช้เส้นทางตรงนั้นในการหลบหนี แต่ว่า...พวกมันรู้ได้อย่างไร ว่าจุดไหนอยู่ในแผนที่ หรือจุดไหนที่ไม่ปรากฏในแผนที่ของเขา
เมื่อตระหนักถึงผลกระทบจากการกระทำของกลุ่มโจร จิตใจของฉินฝานหรูพลุ่งพล่านด้วยความโกรธแค้น การที่พวกมันกล้าบุกเข้ามาถึงในตำหนัก ข้ามกำแพงเมืองเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัวเช่นนี้ ไม่ต่างอะไรกับการขึ้นมาเหยียบบนจมูกของเขาเลยสักนิด ฉินฝานหรูคิดว่าจำเป็นต้องมีการดำเนินการอย่างเด็ดขาดเพื่อระงับความเหิมเกริมของพวกโจรกลุ่มนี้ที่คุกคามจินหลิง เพราะไม่อย่างนั้นจะเป็นแบบอย่างให้กับโจรกลุ่มอื่นคิดกลับมาสู้เอาได้
“ข้ารู้สึกผิดเหลือเกิน ที่บกพร่องต่อหน้าที่ ทำให้เรื่องทั้งหมดวุ่นวายขนาดนี้” ฉินฝานหรูยอมรับ น้ำเสียงของเขาเจือด้วยความเสียใจ
“มันไม่ใช่ความผิดของท่านหรอก การไปเมืองหลวงไม่ใช่ไปเพื่อเที่ยวเล่น แต่ท่านไปเพราะมีธุระด่วน หากจะมีใครสักคนผิด ก็คงเป็นข้าที่ปฏิบัติหน้าที่แทนท่านไม่ได้ แค่ท่านไม่อยู่เพียงไม่นาน ก็เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นถึง 2 เรื่อง” หลิวเจิ้งพูดตามความรู้สึกของเขา แม้จะไม่ชอบที่ฉินฝานหรูหลงสาวชาวป่า แต่ก็แยกแยะได้ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้น หรือหากจะเกี่ยวก็คงต้องรอหลักฐานว่าซินฟางผู้นั้น เกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมดอย่างที่เขาสงสัยเท่านั้น
"หลิวเจิ้งก่อนจะมาที่จินหลิง ข้าได้ขอกองทัพหลวงให้รวบรวมกองกำลัง แล้วยกทัพมาช่วยปราบโจรที่จินหลิง ฮ่องเต้และแม่ทัพรับเรื่องแล้ว แต่จะตามมาทีหลัง ข้าคิดว่าเราต้องคืนความสงบเรียบร้อยและนำโจรเหล่านี้มารับโทษให้ได้ ความปลอดภัยของประชาชนของเราและความมั่นคงที่มีต่อพ่อค้าต่างแดนของดินแดนของเราเป็นเดิมพัน หากจัดการกับกลุ่มโจรพวกนี้ไม่ได้ เศรษฐกิจของจินหลิงไม่มีทางจะเดินหน้าไปได้แน่" หลิวเจิ้งพยักหน้ารับ เขาชื่นชมความตั้งใจใหม่ของฉินฝานหรู และหวังว่าเขาจะทำทุกอย่างได้สำเร็จอย่างที่ตั้งใจ
“แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าข้องใจเหลือเกิน” หลิวเจิ้งคิดจะพูดลองเชิงอีกฝ่าย เลยตัดสินใจเกริ่นขึ้นมา
“อะไรหรือ”
“พวกโจรมันรู้ได้อย่างไร ว่าท่านไม่อยู่ แล้วใช้โอกาสนี้บุกเข้ามาในตำหนัก” ชายหนุ่มทำท่าคิดตามสิ่งที่ที่ปรึกษาของเขาพูด
“มันคงพยายามสืบหาโอกาสมานาน เราไม่เห็นหน้าตาของพวกมันสักคน มันอาจจะแฝงตัวเข้ามาปะปนอยู่กับชาวเมือง แล้วเจอจังหวะที่ขบวนเดินทางของข้าออกจากเมืองไป จึงได้รู้ว่าข้าไม่อยู่ก็ได้” หลิวเจิ้งผิดคาดกับคำตอบ เขาเชื่อแล้วว่าความรักทำให้คนหูหนวกตาบอดได้จริงๆ และยังมั่นใจอีกว่าหากไม่มีหลักฐานที่แน่นหนาพอ ก็คงจะกล่าวหาซินฟางไม่ได้จริงๆ และตัดสินใจไม่พูดเรื่องนี้ต่ออีก
“ระหว่างที่รอกองทัพหลวงเดินทางมาให้ความช่วยเหลือ ข้าอยากจะเร่งทำแผนที่ให้สำเร็จ จะได้วางกลยุทธ์ได้ง่ายขึ้น ตอนนี้เรามีกองกำลังที่พร้อมจะรบ แต่เราไม่รู้จักพื้นที่ดีพอ ต่อให้เราไล่ต้อน พวกมันก็จะรู้ว่าต้องหลบไปทางไหน นั่นแหละปัญหาที่เราจับมันไม่ได้สักที” ฉินฝานหรูอธิบายความคิดของเขา หลิวเจิ้งก็พยักหน้าเห็นด้วย ชายทั้งสองคนพูดคุยปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด และไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังมีคนแอบฟังพวกเขาอยู่ เมื่อแอบฟังจนได้ความแล้ว ร่างเล็กๆ ในชุดสีดำสนิทก็หลบหายไปอย่างเงียบๆ และเตรียมส่งข่าวบอกกับคนที่หมู่บ้าน
หลังประชุมกับหลิวเจิ้งจบ ก็รีบกลับไปหาซินฟางทันที เขาพาเธอกลับไปที่ตำหนักของเขาและตั้งใจจะให้เธอมาพักอยู่ด้วยกันเสียที่นี่เลย
“ตลอดเวลาที่อยู่ต้าเฉิง ใจข้าคิดคำนึงหาแต่เจ้า ไม่มีสักคืนที่หลับไปอย่างเป็นสุข ไม่มีสักวันที่ตื่นขึ้นมาแล้วอยากจะลุกจากเตียงนอน” ชายหนุ่มโอบกอดหญิงสาวที่เขารัก พลางพร่ำพรรณนาความคิดถึงที่เขามีต่อนาง แก้มนวลขาวพลันแดงขึ้นด้วยความเขินอาย
“ซินฟางเองก็อยู่ที่นี่อย่างอ้างว้างเมื่อท่านไม่อยู่”
“มีใครปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่เหมาะสมหรือไม่ ระหว่างที่ข้าไม่อยู่” เพราะตำแหน่งภรรยาของซินฟางยังไม่ถูกแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ ฉินฝานหรูจึงกังวลอยู่ไม่น้อย ว่าบ่าวรับใช้และไพร่พลในตำหนักจะไม่ให้ความเคารพกับซินฟางของเขา เพราะเดิมทีนางก็ไม่ใช่คนที่มีเกียรติสูงศักดิ์ ซ้ำยังเข้าเมืองมาเป็นบ่าวอยู่ระยะหนึ่งอีก
“ไม่มีเจ้าค่ะ ซินฟางไม่ได้ออกจากห้องไปไหนเลย ไม่กล้าออกไปสู้หน้าใคร” อี้เหม่ยหลิงแสร้งพูด นางตั้งใจจะทำให้ผู้คนคิดว่านางไม่ได้ออกไปไหน อยู่แต่ในห้องตลอดเวลาที่ฉินฝานหรูไม่อยู่ จะได้ไม่มีใครสงสัยเวลาที่แอบไปสอดแนมรอบๆ ตำหนักจินหลิง
ฉินฝานหรูเมื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ่งหนักใจ เขาไม่รู้จะบอกเรื่องการสมรสพระราชทาน กับซินฟางอย่างไรดี ไม่รู้ว่านางจะเข้าใจหรือไม่เกี่ยวกับการใช้ชีวิตแบบราชวงศ์ เขายังไม่ได้บอกนางด้วยซ้ำว่าตนเองเป็นถึงบุตรของฮ่องเต้แคว้นต้าเฉิง
คิดแล้วก็รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของตัวเองกับสตรีผู้นี้ช่างเกิดขึ้นเร็วเหลือเกิน เขายังไม่รู้จักนางมากพอ นางเองก็ยังไม่ได้รู้จักเขาในอีกหลายด้าน แต่ฉินฝานหรูก็เชื่อว่า เขาจะมาสามารถค่อยๆ ทำความรู้จักซึ่งกันและกันกับนางไปได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรความรู้สึกพึงพอใจในตัวนาง ก็มีมากอย่างที่ไม่เคยมีกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน ความรักระหว่างเขากับซินฟางผู้นี้เป็นรักแรกพบ เขามั่นใจว่าตัวเองได้ตกหลุมรักสตรีนางนี้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นนางอย่างแน่นอน