ม้าเร็วของฉินฝานหรูมาถึงเมืองจินหลิงในเวลาไม่นาน เขารีบตรงเข้าไปหาหลิวเจิ้งและแจ้งข่าวที่ฉินฝานหรูขอให้ขุนนางคนสนิทของเขาช่วย
“ข้ารับทราบ เจ้าอยากจะพักผ่อนอยู่ที่นี่ก่อน หรือจะกลับต้าเฉิงเลย” หลิวเจิ้งเปิดอ่านจดหมายจากฉินฝานหรูจบก็เงยหน้าขึ้นถามม้าเร็วผู้ส่งข่าว แม้จะสงสัยว่ามีเรื่องอะไรเหตุใดฉินฝานหรูจึงต้องกลับไปที่เมืองหลวงนานขนาดนั้น ทว่าชายผู้เป็นที่ปรึกษาก็ไม่คิดจะถาม เพราะเชื่อว่าหากฉินฝานหรูอยากบอก คงเขียนมาในจดหมายแล้ว
หลิวเจิ้งพูดคุยกับม้าเร็วส่งสารเพียงไม่นาน ก็ต้องมาทำหน้าที่ที่ฉินฝานหรูฝากมาในจดหมาย ชายมีอายุเดินตรงไปที่ตำหนักของซินฟาง ไม่จำเป็นเขาก็ไม่อยากมาที่นี่นัก เพราะซินฟางค่อนข้างจะเก็บตัวเงียบตั้งแต่เป็นคนของเจ้าหัวเมืองอย่างเต็มตัว
“ท่านหลิวเจิ้งมาขอพบเจ้าค่ะ” สาวรับใช้ของซินฟางเดินเข้ามาบอกผู้เป็นนาย ปกติแล้วถ้าไม่มีเรื่องอะไรสาวรับใช้ก็จะไม่ได้อยู่ในห้องกับหญิงสาวผู้เป็นนาย
“บอกเขาว่าข้าจะออกไปพบ” อี้เหม่ยหลิงขานตอบ ตั้งแต่ไม่ต้องทำงานหญิงสาวก็เอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ในห้อง ยิ่งรู้ว่ามีคนรู้เรื่องของนางกับฉินฝานหรู ก็ยิ่งไม่อยากออกไปพบปะกับใคร ถึงเขาจะบอกว่าต้องกลับไปธุระด่วน แม้จะพยายามทำความเข้าใจแต่มันก็อดรู้สึกอับอายไม่ได้ ที่เสียเนื้อเสียตัวให้เขาไปแล้วเช่นนี้
“มีอะไรอย่างนั้นหรือท่านหลิวเจิ้ง” เมื่อออกมาที่ลานหน้าเรือนนอน ก็พบว่าหลิวเจิ้งยืนรออยู่แล้ว สีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก ลึกๆ อี้เหม่ยหลิงก็พอรับรู้ได้ว่าเขาไม่ค่อยชอบตัวนางสักเท่าไร
“ท่านเจ้าหัวเมืองเพิ่งจะส่งข่าวมาบอกจากเมืองหลวง ว่ามีธุระด่วนต้องอยู่ที่นั่นอีกสักระยะ ขอให้ท่านอย่าได้เป็นกังวล” หญิงสาวพยักหน้ารับ เขาว่าอย่างไรนางก็ย่อมต้องยินยอมตามนั้น แม้ในเวลานี้จะถูกยกขึ้นมาอยู่สูงกว่าบ่าวรับใช้แล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่ได้มีสิทธิ์มากพอที่จะเรียกร้องอะไรได้
เมื่อพูดธุระจบหลิวเจิ้งก็จากไปโดยไม่ได้พูดคุยอะไรกับอี้เหม่ยหลิงเลย หญิงสาวผู้รับข่าวเอกก็กลับเข้าไปเก็บตัวอยู่ในห้องตามเดิม ทว่าความจริงนั้นอี้เหม่ยหลิงไม่ได้อยู่แต่ในห้องอย่างที่ทุกคนเข้าใจ นางแอบออกไปตรวจดูรอบๆ ตำหนักจินหลิงตลอดเวลาที่ฉินฝานหรูไม่อยู่ แม้ว่ากองกำลังทหารจะหนาแน่นแต่ด้วยความเก่งกาจของนางโจรตัวร้าย ก็สามารถสอดแนมเส้นทางภายในตำหนักได้สำเร็จ
และในตอนนี้อี้เหม่ยหลิงก็มีแผนการที่จะพาคนของนาง ที่ถูกคุมขังเอสไว้หลบหนีออกไปด้วย เพราะตอนนี้ได้แผนที่เส้นทางภายในตำหนักหมดแล้ว และเป็นโอกาสดีที่ฉินฝานหรูไม่อยู่
อี้เหม่ยหลิงส่งข่าวพร้อมกับแผนที่ให้แก่ชาวบ้านโจรของนางอย่างลับๆ ความคิดของนางโจรโลดแล่นไปกับแผนการแหกคุกและกลยุทธ์ที่จะรับมือกับทหารเวร นางรู้ว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของพวกเขาในการปลดปล่อยสหายที่ถูกคุมขังในขณะที่ ฉินฝานหรูไม่อยู่ที่เมือง ชาวโจรทุกคนเชื่อถือในแผนการและแผนที่ของนางอย่างเต็มร้อย เพราะอี้เหม่ยหลิงผู้นี้ได้พิสูจน์ฝีมือและความสามารถให้ทุกคนเห็นมาครั้งแล้วครั้งเล่า
“เรามีเวลาที่จำกัด ลูกไม่รู้ว่าเจ้าหัวเมืองจะไปนานเท่าใด แต่ก็รู้มาว่าสักระยะก็คงนานพอที่จะพากันหลบหนีออกไปได้” อี้เหม่ยหลิงพูดกับบิดาของตน เมื่อรู้ว่าลูกสาวแฝงตัวอยู่ในเมืองอี้เวยชิงก็เทียวมาดูบ่อยขึ้น
เราต้องรีบพาสหายของเราที่ถูกคุมขังและทนทุกข์ทรมานออกไปให้เร็วที่สุด ลูกไม่รู้ว่าหากเราพลาดโอกาสในครั้งนี้ เราจะมีโอกาสอีกเมื่อไหร่" น้ำเสียงของหญิงสาวมั่นคงและเด็ดเดี่ยว ผู้เป็นบิดาฟังอย่างตั้งใจ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกลัวและความมุ่งมั่น
“ลูกเองก็ต้องระวังตัวให้มาก ถ้าเป็นไปได้คืนวันที่พ่อมาช่วยพวกเราออกไป ลูกก็ควรจะกลับไปด้วยกันเสียเลย” อี้เวยชิงเสนอขึ้น บุตรสาวเองก็คิดอย่างนั้น แต่เพราะยังติดใจเรื่องของหัวใจอยู่ จึงอยากที่จะอยู่ที่นี่ต่อ
“ลูกคิดว่าจะอยู่สืบเรื่องแผนการปราบโจรต่อ แต่อย่างไรลูกก็จะระวังตัวให้มากที่สุด” อี้เวยชิงได้เห็นความกล้าหาญของลูกสาวใจหนึ่งก็รู้สึกชื่นชม แต่อีกใจก็รู้สึกเป็นห่วง
“ท่านพ่อเองก็ต้องระวังและไม่ควรมาที่นี่บ่อยๆ พวกทหารอาจจะสะกดรอยตามท่านไป” ผู้เป็นพ่อพยักหน้ารับ ก่อนที่เขาจะกลับไปพร้อมกับแผนที่ของตำหนัก และแผนการที่ต้องนำไปบอกกับผู้คนที่หมู่บ้าน
ค่ำคืนที่มืดมิดและน่ากลัวปกคลุมถนนโบราณ ทอดเงาที่น่าขนลุกบนก้อนหินที่สึกหรอ ดวงจันทร์ซ่อนตัวอยู่หลังเมฆหนาทึบ ทิ้งไว้เพียงแสงจางๆ จางๆ เพื่อนำทางไปสู่คุกจินหลิง อี้เวยชิงและฉูเทียนจิงนำกองกำลังชาวบ้านก็เดินไปที่คุกอย่างเงียบๆ ย่างก้าวของพวกเขาถูกคำนวณเอาไว้แล้วทำให้ทุกอย่างง่ายไปหมด ทหารยามถูกกำจัดไปอย่างเงียบๆ คนแล้วคนเล่า
ใจของพวกโจรภูเขาเต็มไปด้วยความหวังที่จะพาพวกพ้องกลับไปด้วยกัน พวกเขาใช้เวลาหลายวันในการเตรียมตัวสำหรับแผนพาพวกพ้องแหกคุกในครั้งนี้ อี้เหม่ยหลิงเป็นผู้รวบรวมข้อมูลและสร้างแผนที่ และแผนการของนางก็แยบยลมากทีเดียว ฉูเทียนจิงแทบไม่ต้องทำอะไร เขาเพียงแค่ทำตามแผนที่อี้เวยชิงบอกทุกอย่างก็ราบรื่นไปหมด
ขณะที่กลุ่มโจรภูเขาเริ่มเข้าใกล้ประตูคุก หัวใจของกองโจรก็เต้นรัวอยู่ในอก พวกเขารู้ถึงความเสี่ยงที่อยู่เบื้องหน้า ทหารยามตรงจุดนี้หนาแน่นกว่าทุกจุด แถมแสงไฟก็ยังสว่างมากเป็นพิเศษ แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าจะปล่อยให้ความกลัวมาครอบงำการตัดสินใจไม่ได้ อี้เวยชิงหันไปพยักหน้าบอกกับทุกคน เป็นอันรู้กันว่าต้องทำอย่างไร
ยามที่ไม่ทันตั้งตัวสิ้นใจจากการโจมตีอย่างกะทันหันของกลุ่มโจร ทุกคนต่อสู้ด้วยมีดสั้นและดาบเพื่อความแม่นยำและต้องให้เกิดเสียงน้อยที่สุด แต่ด้วยการฝึกฝนมาอย่างชำนาญ ทำให้จัดการผู้คุมได้ทีละคน ชาวบ้านเดินตามผู้นำของพวกเขาไปด้วยความมุ่งมั่น และมีอีกส่วนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกเพื่อคุ้มกันพวกที่เข้าไปด้านในคุก
ภายในคุกทันทีที่อี้เวยชิงก้าวเข้ามาถึง เขารู้สึกหดหู่ใจเหลือเกิน ภาพของพวกพ้องที่ถูกมัดโยงเอาไว้ให้ยืนหอตก สภาพสะบักสะบอมจากการถูกทุบตีแทบทุกวัน สหายผู้หญิงพยายามลืมตาขึ้นมอง เขารู้สึกถึงพลังแห่งพวกพ้อง และเมื่อได้เห็นอี้เวยชิงเดินเข้ามาหาก็รู้สึกราวกับว่ากำลังฝันอยู่
“ท่านหัวหน้า” เสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้นเมื่อดาบของอี้เวยชิงตัดเชือกที่มัดแขนของเขาเอาไว้จนขาด ร่างไร้เรี่ยวแรงถูกรับไว้ด้วยพวกพ้องที่ตั้งใจมาช่วยเขา ความหวังในใจของชายหนุ่มลุกโชนในดวงตาของพวกเขา เมื่อเห็นว่าพวกพ้องโจรภูเขามาช่วยเขาแล้วจริงๆ การช่วยเหลือของพวกพ้องอยู่ใกล้แค่เอื้อม กองโจรกระจายกำลังกันไปช่วยเหลือเพื่อนพ้องทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ และมีหลายคนที่ตายคาคุกไปเสียแล้ว
อ้อมกอดและน้ำตาแห่งความสุขหลั่งไหลเต็มโถงห้องขัง ขณะที่นักโทษได้กลับมาพบกับสหายที่ตนรักและหัวหน้าที่ตนศรัทธา
“เรามีเวลาไม่มาก พวกเราต้องรีบออกไปจากที่นี่แล้ว” ฉูเทียนจิงร้องสั่ง กองกำลังโจรพาพวกเขาไปยังที่ปลอดภัย ตามเส้นทางที่อี้เหม่ยหลิงเขียนเอาไว้ในแผนที่
ในเช้าของวันรุ่งขึ้นหลิวเจิ้งรีบมาที่คุก และพบเพียงศพของทหารยามนอนเรียงรายตลอดทาง เขารู้สึกโกรธจัดและไม่คิดว่าโจรพวกนั้นจะกล้าทำถึงขนาดนี้ กองกำลังทหารตั้งมากมายพวกมันฝ่าเข้ามาถึงคุกได้อย่างไร แถมยังหลบหนีออกไปโดยไม่ถูกจับได้ ถือเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก
“น่าแปลกที่พวกมันเข้ามาอย่างเงียบเชียบ อย่างกับหายตัวเข้ามา แล้วก็กลับออกไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้เลย จากรอยเท้าก็ไม่น่ามีจำนวนมากกว่าทหารของเราเสียด้วย” นายทหารคนหนึ่งพูดขึ้นหลังจากตรวจดูศพของทหารยาม
“ส่งคนไปบอกเรื่องนี้กับท่านเจ้าหัวเมืองเดี๋ยวนี้เลย แล้วส่งกองกำลังเข้าไปตามหาพวกมันในป่าด้วย อย่างไรก็ต้องมีร่องรอยอะไรบ้าง และถ้าเจ้าไม่ได้อะไรกลับมาเลย ก็เตรียมตัวรับบทลงโทษจากท่านเจ้าหัวเมืองได้เลย” หลิวเจิ้งหันไปสั่งกับนายทหารผู้นั้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น เขาเองก็รู้สึกร้อนใจไม่ต่างกัน
“สั่งปิดประตูเมือง แล้วตรวจค้นทุกหลังคาเรือน เผื่อว่ามีใครให้ความช่วยเหลือพวกมัน” หลิวเจิ้งพูดต่อ เขาหันไปมองที่ศพของทหาร เห็นรอยมีดที่คอก็พอเดาได้ว่านี่เป็นการซุ่มโจมตีโดยที่ทหารพวกนี้ไม่ทันตั้งตัว แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องที่พวกมันเข้ามาโจมตีได้ในระยะประชิดขนาดนี้ก็ยังคงเป็นปริศนาที่ขุนนางที่ปรึกษาผู้นี้คับข้องใจ เขาได้แต่ถอนหายใจเพื่อระบายความโมโห
ดันมาเกิดเรื่องตอนที่ฉินฝานหรูไม่อยู่ และเขาต้องดูแลทุกอย่างแทน ความผิดในครั้งนี้ถือว่าใหญ่หลวงนัก กลุ่มโจรพวกนี้เป็นกุญแจสำคัญที่ฉินฝานหรูจะเก็บเอาไว้ เพื่อตามหารังของพวกโจรกลุ่มที่ขึ้นชื่อว่าเก่งกาจที่สุดในจินหลิง และก็ดูเหมือนว่าพวกมันจะเก่งจริงๆ เสียด้วยถึงได้กล้าบุกเข้ามาอย่างอุกอาดขนาดนี้
“มันจะรู้ได้อย่างไรว่าเวลานี้ท่านเจ้าหัวเมืองไม่อยู่” หลิวเจิ้งบ่นรำพันกับตัวเอง ก่อนที่เขาจะคิดถึงใครบางคนขึ้นมาได้ หญิงสาวชาวป่าที่อ้างตัวว่าหนีออกมาจากกลุ่มโจร อยู่ๆ ก็ไปสนิทสนมกับฉินฝานหรูจนได้เป็นดอกไม้ในตำหนัก นางเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้
"แต่ถึงจะสงสัยหญิงสาวผู้นี้อย่างไร หลิวเจิ้งก็ยังไม่กล้าปรักปรำอีกฝ่ายโดยไม่มีหลักฐาน เขาตั้งใจจะซุ่มดูพฤติกรรมของนางอย่างเงียบๆ ไปก่อน และจะยังไม่บอกความสงสัยนี้กับฉินฝานหรูด้วย เพราะเขากำลังอยู่ในช่วงหูหนวกตาบอด รอให้มีหลักฐานมัดตัวค่อยบอกทีเดียวน่าจะดีกว่า และถึงอย่างไรหลิวเจิ้งก็ค่อนข้างมั่นใจว่าซินฟางผู้นี้ ต้องมีส่วนรู้เห็นกับการแหกคุกของพวกโจรในครั้งนี้อย่างแน่นอน