ทุกคนในตำหนักจินหลิงต่างรู้เรื่องของซินฟางและเจ้าหัวเมืองกันแล้ว มีทั้งคนที่ยินดีและไม่ยินดีกับเรื่องนี้ กระแสวิพากษ์วิจารณ์และซุบซิบนินทากระจายไปทั่วตำหนัก บ้างก็ว่าซินฟางตั้งใจจะมาเกาะบารมีของฉินฝานหรูตั้งแต่แรก แต่บางคนก็คิดว่าคนอย่างอ๋องฝานหรูไม่น่าจะโดนหญิงสาวชาวป่าหลอกเอาได้ง่ายๆ อาจจะเป็นเขาเสียอีกที่หลอกดอมดมดอกไม้ป่า ถึงเวลาเบื่อก็จะโยนทิ้ง
อี้เหม่ยหลิงเองก็พอจะได้ยินพวกบ่าวพูดถึงตัวเองอยู่บ้าง แต่ก็พยายามไม่สนใจ นางเชื่อมั่นในตัวของฉินฝานหรู และหากเขาแค่อยากจะเชยชมนางชั่วพักชั่วครู่จริงๆ ก็ถือว่าหายกันกับที่นางตั้งใจมาสอดแนมเรื่องการปราบโจรของเขา
อี้เหม่ยหลิงอาศัยช่วงที่ฉินฝานหรูกลับไปที่เมืองหลวง แอบหลบหนีกลับไปที่หมู่บ้าน การกลับมาครั้งนี้ค่อนข้างต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะทหารตั้งค่ายพักแรมอยู่เต็มป่าตลอดเส้นทางไปหมู่บ้าน แถมอี้เหม่ยหลิงก็เป็นที่รู้จักของผู้คนมากขึ้นแล้ว หากพลาดเจอใครเข้ากลัวว่าแผนที่ตั้งใจทำมาทั้งหมดจะพังเอาได้
หญิงสาวเดินทางมาจนถึงริมลำธาร หน้าทางเข้าหมู่บ้าน ต้องรอให้น้ำลดลงกว่านี้อีกสักหน่อย เพื่อที่จะว่ายทวนน้ำเข้าไปในถ้ำ เพื่อลอดผ่านภูเขาทะลุไปยังอีกฝั่ง ซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านโจร
เมื่อเข้ามาถึงเขตหมู่บ้าน อี้เหม่ยหลิงพบกับความเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร มีการจัดเวรยามเฝ้าที่ทางเข้า ค่อนข้างหนาแน่น และเมื่อพวกเวรยามเห็นอี้เหม่ยหลิงเดินเข้ามาก็พากันยกอาวุธขึ้นเตรียมโจมตี
"ช้าก่อน...นั่นเหม่ยหลิงใช่หรือไม่" ชายผู้หญิงพูดขึ้น ทุกคนในหมู่บ้านรู้จักหญิงสาวคนนี้เป็นอย่างดี ด้วยความที่นางเป็นลูกสาวของอดีตหัวหน้ากองโจร และก็ยังเป็นสตรีเพียงผู้เดียวที่ร่วมออกปล้นกับกองโจรมาหลายปี ด้วยฝีมือการต่อสู้ที่เก่งกาจ และความฉลาดในการวางแผนปล้นของนาง ยิ่งทำให้ทุกคนรู้จักอี้เหม่ยหลิงคนนี้เป็นอย่างดี
"หลิงเอ๋อร์นั่นเจ้าใช่หรือไม่" เสียงของเวรยามที่เฝ้าอยู่บนกระโจมตะโกนถาม หญิงสาวชูมือขึ้นเหนือหัวเพื่อแสดงตัวว่าไม่มีอาวุธ
เมื่ออี้เหม่ยหลิงเดินเข้าไปใกล้จุดเฝ้ายามมากขึ้น ทุกคนก็ได้เห็นชัดเจนว่าเป็นนางจริงๆ
"เจ้าหายไปไหนมา เวยชิงพ่อของเจ้าตามหาเจ้าแทบแย่"
"ข้าไปสืบเรื่องการปราบโจร ของพวกทหารมาน่ะ" พวกเวรยามหน้าหมู่บ้านไม่ได้ถามอะไรกับอี้เหม่ยหลิงมากนัก เพราะอยากให้นางกลับบ้านไปเจอครอบครัว พวกเขารู้ดีว่าครอบครัวของนางกำลังเป็นห่วงลูกสาวอย่างมาก อี้เหม่ยหลิงตรงไปที่บ้านของตัวเอง ทุกก้าวที่เดินเหยียบอยู่บนความรู้สึกผิด
หญิงสาวก้าวเข้าไปในบ้านของตัวเองด้วยความคิดถึง แม้ว่าที่นี่จะเก่าโทรมและดูผุพังกว่าที่พักในตำหนักจินหลิงมาก แต่ที่นี่ก็คือบ้านที่นางเกิดและเติบโต ความรู้สึกผูกพันและรักที่นี่จึงมีมากกว่า นอกจากตั้งใจจะกลับมาส่งข่าวเรื่องที่แฝงตัวเข้าไปสืบเรื่องเจ้าหัวเมือง อี้เหม่ยหลิงก็ยังหวังว่าการได้กลับมาบ้านจะทำให้นางได้สติมากขึ้นว่ากำลังทำอะไร
“หลิงเอ๋อร์...” เสียงของหญิงมีอายุผู้หนึ่งร้องขึ้น เมื่อเห็นลูกสาวที่หายตัวไปนานนับเดือนยืนอยู่ตรงหน้า ร่างผอมบางพุ่งเข้าโอบกอดลูกสาวด้วยความคิดถึง สตรีทั้งสองน้ำตาไหลริน ไม่นานอี้เวยชิงก็เดินออกมาดูว่าภรรยาเสียงดังด้วยเรื่องอะไร และเมื่อพบว่าลูกสาวกลับมาแล้วเขาก็รีบวิ่งเข้ามาหาด้วยอีกคน
“หลิงเอ๋อร์ เจ้าหายไปไหนมาพ่อตามหาอยู่ตั้งนาน” อี้เวยชิงพูดด้วยเสียงสั่น น้ำตาลูกผู้ชายรินไหลเขาดีใจเหลือเกินที่ได้เห็นว่าลูกสาวยังปลอดภัยดี
“ลูกไม่พอใจกับผลการประลองก็เลยตัดสินใจจะออกไปหาทางช่วยพวกเรา แล้วบังเอิญได้เข้าไปเป็นทาสในตำหนักจินหลิงเข้า วันนี้จึงได้หาโอกาสกลับมารายงานเรื่องที่สืบมาได้ให้ท่านพ่อได้รับรู้” อี้เหม่ยหลิงเล่าตามความจริงแม้จะไม่ได้พูดทั้งหมดก็ตาม หญิงสาวเล่าทุกอย่างที่รู้มาให้กับบิดาได้ฟัง อี้เวยชิงรู้สึกภูมิใจในตัวลูกสาวที่เก่งกล้าสามารถจนได้ข้อมูลมามากมาย แต่อีกใจก็รู้สึกเป็นห่วง เพราะเท่าที่ได้ฟังก็รู้ว่าฉินฝานหรูผู้นี้เป็นคนฉลาด วันหนึ่งเขาต้องจับได้แน่ว่าอี้เหม่ยหลิงเป็นสายของโจร
“มันเสี่ยงเกินไปหรือเปล่าหลิงเอ๋อร์” ผู้เป็นพ่อกล่าวถาม ความกังวลสลักบนใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน อี้เหม่ยหลิงพยักหน้ารับ นางเองก็รู้ดีว่าวิธีนี้มันเสี่ยงมาก
"ลูกรู้ว่าทำแบบนี้มันเสี่ยงไม่ต่างอะไรกับการเหยียบอยู่บนจมูกเสือ แต่ลูกก็คิดว่ามันคุ้ม หากเราไม่ลองเสี่ยงดู คนในหมู่บ้านของเราจะต้องทนทุกข์ต่อไปและต้องอดอยากเพราะออกปล้นไม่ได้ ลูกยอมให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้จริงๆ ท่านพ่อ" เมื่อได้ยินดังนั้นอี้เวยชิงก็ได้แต่ถอนหายใจ
"พ่อเข้าใจเจตนาของเจ้านะหลิงเอ๋อร์ แต่โปรดระวังเจ้าหัวเมืองผู้นี้ให้ดี พ่อรู้สึกว่าเขาเป็นคนฉลาด ลูกไม่ควรประมาทเด็ดขาด ถึงเจ้าจะเก่งกาจอย่างไร เจ้าก็เป็นเพียงสตรี และหากเกิดอะไรขึ้นมาพ่อคงเสียใจจนให้อภัยตัวเองไม่ได้แน่" อี้เหม่ยหลิงยิ้มอย่างมั่นใจ
“ลูกจะระมัดระวัง ขอเพียงท่านพ่อเชื่อมั่นใจตัวลูก ลูกสัญญาว่าจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยโดยเร็ว ลูกอยากช่วยพวกเราที่ถูกขังออกมาให้ได้ พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ลูกพยายามหาโอกาสเข้าไปหลายที แต่กองกำลังทหารแน่นหนาเหลือเกิน ทำให้ยังไม่เห็นว่าใครบ้างที่ยังถูกขังเอาไว้” อี้เวยชิงพยักหน้า สายตาขอเขายังคงกังวล แต่ก็ภูมิใจในความกล้าหาญและความมุ่งมั่นของลูกสาว
"เอาล่ะหลิงเอ๋อร์ เราจะสนับสนุนคุณในทุกวิถีทางที่ทำได้ พ่อจะลองไปคุยกับเทียนจิงให้เขาช่วยเราอีกแรง อย่างไรก็ขอให้เจ้าปลอดภัยกลับมา"
อี้เหม่ยหลิงกอดพ่อของตัวเองแน่น
“ขอบคุณท่านพ่อ ลูกสัญญาว่าจะไม่ทำให้ท่านพ่อผิดหวัง” เมื่อพูดคุยกับครอบครัวจนได้เรื่องแล้ว นางจึงออกจากบ้านและเดินทางกลับไปยังตำหนักจินหลิง และเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติภารกิจ และหวังว่าจะนำชัยชนะกลับมาพร้อมกับพวกพ้องที่ยังมีชีวิต
ฉินฝานหรูเดินทางอยู่หลายวันกระทั่งถึงเมืองหลวง เขาเข้ารายงานตัวกับฮ่องเต้และรายงานสถานการณ์ความคืบหน้า การปราบโจรที่เมืองจินหลิง ฮ่องเต้พอใจผลลัพธ์อย่างมากและบอกข่าวดีว่าจะพระราชทานการแต่งงานให้กับเขาและองค์หญิงจากต่างแคว้น เพื่อแต่งตั้งเป็นฮูหยินเคียงกายของเขา ฉินฝานหรูไม่ยินดีนัก แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ เขารักซินฟางจากใจจริง และไม่คิดรังเกียจที่นางเป็นเพียงสาวชาวป่า และไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะถูกจับแต่งงานเช่นนี้
ฉินฝานหรูยืนอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ หัวใจของเขาหนักอึ้งด้วยความลำบากใจจากข่าวที่เขาเพิ่งได้รับ เขาคาดหวังเพียงว่าจะได้รับคำชมสำหรับภารกิจที่ประสบความสำเร็จในเมืองจินหลิง แต่เขาไม่คาดคิดมาก่อน ว่าจะได้รางวัลพิเศษเป็นการสมรสพระราชทาน
“อภิเษกสมรสกับองค์หญิงหรือฝ่าบาท” ชายหนุ่มพูดโดยพยายามรักษาเสียงให้คงที่ เขาไม่อยากสร้างความไม่พอใจแก่บิดาของตัวเอง
“ใช่ ลูกชายของข้า ข้าคิดดูแล้วลูกคนอื่นๆ ก็แต่งงานกันไปหมดแล้ว เหลือก็แต่เจ้าจึงอยากหาสตรีที่เพียบพร้อมสักคน ให้สมกับฐานะเจ้าหัวเมือง” ฮ่องเต้ตอบด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าหญิงจากแคว้นพันธมิตร เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่เจ้าจะมีนางอยู่เคียงข้างในขณะที่รับตำแหน่งดูแลจินหลิง” เจ้าหัวเมืองหนุ่มฝืนยิ้ม แต่ข้างในเขาเดือดดาล เขาไม่เคยต้องการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง เขาหวังว่าจะแต่งงานด้วยความรักเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม แต่ตอนนี้เขาถูกบังคับให้เข้าร่วมสหภาพที่เขาไม่ต้องการ และดูเหมือนว่าจะปฏิเสธไม่ได้เสียด้วย
“เป็นพระกรุณายิ่งฝ่าบาท” ฉินฝานหรูกล่าวพลางก้มศีรษะ คำพูดมากมายจุกอยู่ที่กลางอก เขาอยากปฏิเสธเหลือเกินแต่ก็ทำได้เพียงน้อมรับเท่านั้น
"ข้ารู้สึกเป็นเกียรติที่เจ้ายอมรับข้อเสนอนี้ แม้นางจะเป็นลูกสนมแต่ได้ยินมาว่ามีรูปโฉมงดงามนัก และได้ร่ำเรียนวิชาสตรีในวังครบสมบูรณ์เหมือนกับองค์หญิงคนอื่นๆ" ฮ่องเต้กล่าวด้วยความยินดี
“และอีกเรื่องที่เจ้าต้องรู้ ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้ทันที เจ้าจะได้พบว่าที่เจ้าสาวในอีกสองอาทิตย์” ฉินฝานหรูรู้สึกเป็นปมในท้องของเขา สองสัปดาห์เป็นเวลาไม่มากนักในการเตรียมตัวสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิตของเขา เขาเคยน้อยใจมาตลอดที่บิดาไม่เคยมองเขาอยู่ในสายตา แต่กับเรื่องนี้เขาคิดว่าสู้อยู่นอกสายตาของบิดาเหมือนแต่ก่อนยังจะดีเสียกว่า
ขณะที่ฉินฝานหรูออกจากห้องโถง ความรู้สึกไม่สบายใจถาโถมเข้าใส่เขาอย่างหนัก เขาเคยพอใจกับชีวิตของตัวเองในฐานะนักรบผู้ภักดี แต่ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นเพียงเครื่องมือเชื่อมสัมพันธไมตรี เขาไม่สามารถปฏิเสธข้อเสนอของฮ่องเต้ได้ โดยเฉพาะที่เพิ่งได้รับตำแหน่งเจ้าหัวเมืองจินหลิง
ฉินฝานหรูเดินผ่านถนนที่พลุกพล่านในเมืองหลวง เขาจมอยู่ในความคิดมากมาย เขารู้ว่าเขาจำเป็นต้องคุยกับใครสักคน แต่เขาไม่รู้ว่าจะหันไปหาใคร ซินฟางว่าที่ฮูหยินของเขากำลังจะถูกแทนที่ด้วยเจ้าสาวคนใหม่ที่ถูกแต่งตั้งโดยฮ่องเต้
ฉินฝานหรูรู้สึกผิดกับซินฟางอย่างมหันต์ เขาเพิ่งจะขอนางแต่งงานแท้ๆ การแต่งงานก็ยังไม่ได้เริ่มขึ้น ซ้ำร้ายก่อนจะออกมาเมืองหลวงก็ไม่ได้ร่ำลาอะไรนางสักคำ เพราะเห็นว่านางคงเพลียจึงไม่อยากรบกวนและปล่อยให้นางนอนหลับอยู่ในห้องเพียงลำพัง
เขาไม่รู้เลยว่าจะกลับไปสู้หน้าซินฟางได้อย่างไร เมื่อต้องบอกเรื่องการแต่งงานกับหญิงอื่นกับนาง ใจของหญิงสาวคงสลาย เขาก็กลายเป็นผู้ชายที่เอาเปรียบผู้หญิงไปทันที ทั้งที่ตั้งใจจะรับผิดชอบให้สมเกียรติแท้ๆ
"ใจของชายหนุ่มอยากจะกลับจินหลิงเสียตั้งแต่ตอนนี้ แต่ก็ทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะฮ่องเต้สั่งให้รอเจอกับว่าที่เจ้าสาวเสียก่อน นั่นจึงเท่ากับว่าเขาต้องอยู่ที่เมืองหลวงอีกกว่า 2 สัปดาห์ เขาจำเป็นต้องส่งม้าเร็วไปแจ้งข่าวเรื่องที่ต้องอยู่ต่อกับซินฟางไว้ก่อน เพราะไม่อยากให้นางกังวลใจ แต่ก็ยังไม่ได้บอกเรื่องแต่งงาน เพราะตั้งใจจะกลับไปบอกด้วยตัวเอง และจะพยายามอธิบายทุกอย่างให้หญิงสาวเข้าใจ ก็ได้แต่หวังว่านางจะเข้าใจและยอมรับได้ ที่อยู่ๆ ก็ต้องกลายเป็นเพียงแค่อนุเท่านั้น