เมื่อมาถึงศูนย์แพทย์อาสาประจำค่ายทหารรักษาดินแดน...ความวุ่นวายก็ทำให้พอวาแทบไม่ได้พักในคืนแรกที่ไปถึง ทั้งคนเจ็บที่ต้องรีบรักษา ทั้งที่จำเป็นต้องส่งต่อไปยังโรงพยาบาลในเมือง ทุกอย่างโกลาหนไปหมด แต่พอวากลับรู้สึกมีชีวิตชีวาเหลือเกิน ไม่ใช่เพราะต้องการให้ใครบาดเจ็บล้มป่วย แต่เพราะมันทำให้เธอรู้สึกมีคุณค่า มีประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ
เกิดมาทั้งที...เธอไม่มีอะไรต้องเสีย นอกจากเสียสละ...
ดังนั้น... ด้วยจรรยาบรรณและจิตวิญญาณของความเป็นแพทย์ผู้รักษาชีวิต พอวาจึงไม่ลังเลเลยที่จะอาสาตัวเองเข้ามาที่ดินแดนแห่งนี้ เพื่อช่วยพยาบาลผู้บาดเจ็บ แม้จะต้องลำบากกาย... แต่ดูเหมือนว่าเธอจะชินกับมันจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปเสียแล้ว
“หมอพอวา...คุณไปพักเถอะ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว ผมกับหมอนาถก็ยังพอรับมือได้ เดี๋ยวคุณจะไม่สบายไปอีกคนนะครับ” แพทย์อาสาหนึ่งในสามถอดถุงมือเปื้อนเลือดไปพลาง คุยกับเธอไปพลาง
พอวาละจากการเช็ดทำความสะอาดบาดแผลให้นายทหารคนหนึ่ง ที่นอนเจ็บอยู่บนเตียงแล้วปาดเหงื่อ เหลือบมองดูนาฬิกา ที่บอกเวลาเกือบตีสามแล้ว เธอแทบไม่รู้วันรู้คืน แต่ก็ดีใจที่เมื่อกวาดสายตามองทั่วทั้งเต็นท์พยาบาลในตอนนี้ ผู้บาดเจ็บทุกคนได้รับการรักษาอย่างทั่วถึง มีบางส่วนที่จำเป็นต้องรักษาด้วยเครื่องมือพิเศษ ได้ถูกส่งขึ้นเฮลิคอปเตอร์พาไปยังโรงพยาบาลที่มีความพร้อมเรียบร้อยแล้ว
“โอเคค่ะหมอภาม งั้นฉันขอตัวก่อนก็แล้วกัน แต่ถ้ามีอะไรฉุกเฉินก็ให้คนไปเรียกได้เลยนะคะ” หมอภามหรือภารภีร์พยักหน้า เธอจึงเดินไปบอกลาเพื่อนหมออีกคนและผู้ช่วย จากนั้นจึงได้กลับไปพักผ่อนที่เต็นท์ของตัวเอง
เธอคงยังต้องอยู่ที่นี่อีกหลายวัน กว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทาง หากไม่มีเหตุสุดวิสัยคงไม่ได้กลับหมู่บ้านในเร็วๆ นี้แน่นอน
ดึกแล้ว... แต่พอวายังนอนไม่หลับ อาจเพราะช่วงสองวันหลัง ๆ นี้ ไม่ค่อยมีเคสน่าเป็นห่วงให้เธอต้องพะวงและใช้พลังงานในการช่วยเหลือคนไข้มากนัก ดังนั้นร่างแบบบางในชุดลำลอง จึงเดินทอดน่องออกมารับลมเย็นๆ ยามค่ำคืน เผื่ออาการที่หนาวจัดในยามนี้ และบรรยากาศอันยะเยือกจับใจ จะช่วยให้เธอผ่อนคลาย และหลับง่ายขึ้น
ราตรีเงียบสงัด... มีเพียงเสียงแมลงกลางคืนช่วยขับกล่อมพงไพรด้วยบทเพลงอันแสนไพเราะราวกับกำลังประสานเสียงประพันธ์อย่างพร้อมเพรียง เสียงใบไม้ที่ต้องลมดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ สอดแทรกมากับเสียงน้ำในลำธารที่ไหลเอื่อยเป็นจังหวะต่อเนื่อง
ช่างสงบ... เป็นความสงบที่เธอคงไม่มีวันได้พบเจอ หากยังตัดสินใจใช้ชีวิตเป็นแพทย์อยู่ในเมืองใหญ่ ที่เต็มไปด้วยฝุ่นควัน และมลพิษ มลพิษทั้งทางกาย... และมลพิษทางใจจากคนที่ไม่แม้แต่จะทำเรื่องง่าย ๆ อย่าง ‘การซื่อสัตย์’ ได้
เปลือกตาบางปิดลง ก่อนจะสูดเอาอากาศอันบริสุทธิ์และเย็นสบายในยามรัตติกาลเข้าปอด ขณะที่ความทรงจำเก่าๆ ที่เธอเพียรฝังมันเอาไว้ลึกสุดกู่ คงหวนกลับมาตอกย้ำหัวใจ ที่แสร้งเข้มแข็งให้ต้องอ่อนไหวอีกครา อาจเป็นเพราะบรรยากาศมันเงียบเหงา หรือเพราะแท้จริงแล้วเธอไม่อาจกลบฝังอดีตได้ก็ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อจู่ๆ ในอกก็เกิดอาการวาบหวิวอย่างประหลาด
ครั้งหนึ่ง... เธอเคยรักใครบางคน และคิดว่ามากพอที่จะตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ใจหวังไว้ เมื่อการลอบแทงข้างหลังเป็นของหวานให้ใครบางคนอยากลิ้มลอง ความฝันทุกอย่างจึงขาดวิ่นอวสาน
แม้จะเพียรบอกตัวเองให้ลืมมันเสีย แต่เรื่องราวในชีวิตบางเรื่อง กลับเกาะแน่นอยู่ในใจ ชัดเจนกว่าที่คิด ดังเช่นเรื่องราวระหว่างเธอ คมพจน์ และวาเลนเซียร์
คนหนึ่งเป็นเพื่อน...อีกคนก็เป็นดั่งส่วนหนึ่งของลมหายใจ สุดท้ายแล้ว เธอก็ไม่เหลืออะไรเลย นอกจากบาดแผลที่จมลึก ลบเลียเท่าไหร่ก็ไม่หายสักที
อดีตในวันวานแม้จะไม่ได้เห็นด้วยตาเพราะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ยังคงตราตรึงในสำนึกดั่งภาพฉายที่คอยหลอกหลอนตามติด เรียงลำดับได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนไม่มีขาดตกบกพร่อง...
เอริก้า...หรือริกาเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งอย่าง เอริก้าเป็นเพื่อนรักสมัยยังเรียนมหาลัยที่อังกฤษ ด้วยความเป็นลูกครึ่งจึงพูดภาษาไทยได้ชัด และเธอเป็นนักเรียนทุนได้ไปเรียนต่อที่โน่น เมื่อพูดภาษาเดียวกัน สื่อสารกันรู้เรื่อง จึงไม่แปลกที่เธอกับเอริก้าจะสนิทกันเป็นพิเศษ
เมื่อเรียนจบ...เธอจึงกลับมาสานต่อเจตนารมณ์ของบิดา นั่นคือการใช้วิชาชีพหมอ เพื่อช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลก พ่อของเธอเป็นหมออยู่บนดอยตราบจนลมหายใจสุดท้าย และเธอก็หวังจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
คมพจน์เองก็ไม่ใช่ไทยแท้เต็มตัว เขาเข้ามาในชีวิตช่วงที่เธอในขณะที่เธอยังเป็นผู้ช่วยแพทย์ และได้เป็นผู้ดูแลพ่อของเขาจึงเกิดความสนิทสนมกัน ขณะนั้นเธอยังประจำการอยู่ในเมือง สลับกับขึ้นดอยไปช่วยบิดาในบางครั้ง คบหาอยู่นานหลายปี กระทั่งเธอได้เป็นแพทย์เต็มตัว จึงขอย้ายมาอยู่บนดอยตามความตั้งใจแต่แรกเริ่ม
อาจเป็นเพราะความห่างเหินด้วยกระมัง...ที่ทำให้ชีวิตรักระหว่างเขาและเธอประสบปัญหา เมื่อต่อมาครอบครัวของเอริก้าเดินทางมาประเทศไทยเพื่อพักผ่อน และเธอได้รู้จักกับพี่น้องอีกสองคนของเอริก้า คือแดนสรวงพี่ชาย และวาเลนเซียร์พี่สาวคนรอง ทุกคนสนิทกัน เป็นเพื่อนกัน...
หลังจากนั้นเมื่อถึงกำหนดลงจากดอย แดนสรวงกลับติดใจธรรมชาติ จึงขออยู่ต่อ เธอจึงพาวาเลนเซียร์และเอริก้ามาพักรอที่บ้านในตัวเมืองเชียงใหม่ และตอนนั้นเอง...ที่คมพจน์ได้พบกับวาเลนเซียร์
พวกเขาตลบหลังเธอ พวกเขาหักหลังเธอ พวกเขา...คนที่เธอไว้เนื้อเชื่อใจทุกอย่าง และทั้งคู่ก็ไม่ได้มีจิตสำนึกจะหยุดทำเรื่องเลวๆ กระทั่งเธอจับได้คาหนังคาเขาในห้องรับแขก ในบ้านของเธอเอง
บ้าน...ที่เปิดรับให้พวกเขามาพักอาศัย
“คิดเหรอว่ามีครั้งแรก แล้วจะไม่มีครั้งที่สอง ครั้งที่สามตามมา? ในเมื่อครั้งนี้คุณทำได้แม้กระทั่งกับคนที่เป็นเพื่อนของฉัน ครั้งหน้า... คุณก็คงไม่เห็นหัวฉันเหมือนกันนั่นแหละ และฉันไม่คิดว่าตัวเองสิ้นไร้ไม้ตอกจนต้องยอมทิ้งชีวิตทั้งชีวิตไว้กับผู้ชายอสัตย์อย่างคุณ!”
สิ้นประโยคอันอัดแน่นด้วยอารมณ์ที่หลากหลายนั่น แหวนที่ควรจะเป็นสัญลักษณ์แห่งรักนิรันดร์ก็ถูกถอดออกจากนิ้ว แล้วปาออกไปปะทะอกเปลือยเปล่าของผู้ชายที่ร้ายกาจที่สุดในชีวิต ซึ่งเธอไม่เคยพานพบ ก่อนที่จะร่วงหล่นลงที่ปลายเท้าของเขา เหมือน ๆ กับหัวใจของเธอที่แตกสลายไม่มีชิ้นดี
“เชิญสมสู่กันให้พอใจเถอะ คนศีลเสมอกันเท่านั้นแหละที่จะอยู่ด้วยกันได้ ลาก่อน... จากนี้และตลอดไป”
สิ้นคำอำลา พอวาก็ตัดสินใจทิ้งความรู้สึกโง่งมเอาไว้ในห้องแห่งนั้น และเดินออกมาโดยไม่คิดจะหันหลังกลับให้ตัวเองโง่ซ้ำซาก
สำหรับเธอแล้ว... เจ็บครั้งเดียวแต่จบมันย่อมดีกว่าการเจ็บแบบผ่อนส่งซ้ำซาก
เรื่องมันก็ผ่านมาแสนนาน ทุกคนก็ได้รับผลของการกระทำอย่างสาสม ด้วยน้ำมือของเธอเอง แต่ดูเหมือนใจเธอมันยังมีบางอย่างค้างคา ขุดค้นเท่าไหร่ก็ไม่หมด ไม่ถึงตอถึงโคนเสียที...