บทที่ 2 ตอนที่ 3

1609 คำ
“อ้ากก!!!” เสียงร้องโหยหวนที่แว่วมาตามสายลมพัดเอื่อยทำให้พอวาสะดุ้งจากภวังค์อดีตที่ยังคงแอบแฝงอยู่ในมุมหนึ่งของหัวใจ แต่เสียงนั้นกลับดึงสติให้เธอสาดตามองไปรอบๆ ตามสัญชาตญาณ “เสียงใคร?” เธอเอ่ยกับตัวเอง เสียงโอดโอยนั้นยังคงดังมาให้ได้ยินอย่างต่อเนื่อง หญิงสาวขยับเท้าเดินตามเสียงไป จะโทษจิตวิญญาณของความเป็นแพทย์หรืออะไรก็ตามแต่ ทำให้เธอก้าวเท้าเดินลัดเลาะไปอย่างระแวดระวัง โดยไม่ได้คำนึงถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวเธอเอง “โอ๊ย!!” ยิ่งเข้าใกล้... เสียงนั้นก็ยิ่งดังชัดขึ้นเรื่อยๆ มือเรียวที่ผ่านการรักษาเพื่อนมนุษย์มาหลายต่อหลายคน เลื่อนไปจับปืนพกที่เหน็บอยู่ที่สะเอวไว้มั่น พอวาพยายามเดินอย่างระวังฝีเท้า แฝงตัวกับเงามืดในป่ายามค่ำคืน เลียบเลาะเข้าไปหยุดซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ใหญ่ ในระยะที่พอจะมองเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ได้ โดยอาศัยแสงจันทร์แสงดาวช่วยอำนวย ชายสองคนถูกจับมัดมือมัดเท้าและนั่งคุกเข่าอยู่ในวงล้อมของชายชุดดำรูปร่างสูงใหญ่กำยำประมาณห้าหกคน ศีรษะของเหยื่อทั้งสองถูกคลุมด้วยผ้าสีดำ “กรอกน้ำเข้าไป จนกว่ามันจะยอมคายความลับออกมา!” น้ำเสียงโหดเหี้ยมของคนที่พอวาอนุมานเอาว่าน่าจะเป็นหัวหน้าร้องออกคำสั่งอย่างไร้ปรานี สิ้นสุดคำสั่งนั้น ลูกน้องของเขาก็ลงมือปฏิบัติโดยทันที เหยื่อทั้งสองถูกดึงศีรษะรั้งให้เงยหน้าขึ้น ก่อนที่อีกสองคนในกลุ่มชายชุดดำจะจัดการตักน้ำกรอกเข้าไปในปากของเหยื่ออย่างไร้ซึ่งความเมตตา แม้ว่าร่างของเหยื่อจะดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอด แต่ก็เป็นไปได้ยากเหลือเกินเมื่อถูกพันธนาการเอาไว้อย่างแน่นหนา แถมยังถูกจิกหัวเอาไว้อย่างนั้น “ป่าเถื่อน!” เธอสบถ รับไม่ได้กับภาพการทรมานเหยื่อตรงหน้า เธอต้องช่วยเหยื่อออกมาให้ได้! หญิงสาวไม่รู้หรอกว่าสองคนที่กำลังถูกทรมานทำผิดอะไร แต่มันก็ไม่มีใครสมควรจะถูกทารุณกรรมอย่างนี้ไม่ใช่หรือ “พอก่อน!” เสียงทรงอำนาจของชายคนเดิมดังก้องกังวาน ทำให้คนที่เหลือยอมหยุดการกระทำอันไร้ปรานีลงชั่วขณะ “ไง! ทีนี้จะพวกแกจะยอมปริปากรึยัง ว่ากองกำลังของพวกมึงสุมหัวกันอยู่ที่ไหน!” “พวกมันปากแข็งเหลือเกินนะครับ!” ลูกน้องคนหนึ่งร้องบอกเมื่อเหยื่อทั้งสองยังคงนิ่งเงียบไม่ยอมปริปาก แม้ว่าการนิ่งเงียบ... จะหมายถึงความตายก็ตาม “ดี! งั้นก็ซ้อมมันจนกว่ามันจะพูด! ดูซิว่าจะทนมือทนตีนได้สักกี่น้ำ!?” สิ้นคำสั่งนั้น ลูกน้องทั้งหมดของชายซึ่งคาดว่าเป็นหัวหน้า ก็ลงขันประเคนหมัดและเท้าใส่จำเลยไม่มีปรานี จวบจนกระทั่งเหยื่อทั้งสองล้มกายลงนอนบนพื้นดิน สลบสิ้นฤทธิ์คาเท้าของพวกเขา “หยุดก่อน! ให้พวกมันได้พักสักหน่อย เดี๋ยวจะตายก่อนได้บอกสิ่งที่เราอยากรู้” เมื่อเห็นว่าเหยื่อยังไม่ยอมจำนนง่ายๆ ชายในชุดดำร่างใหญ่นั้นจึงเปลี่ยนคำสั่งทันทีเช่นกัน พอวามองเห็นร่างสูงของคนที่เธอคาดว่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มเดินนำลูกน้องไปนั่งรอบกองไฟที่ตั้งอยู่ห่างออกไป เพราะไม่คิดว่าเหยื่อจะมีแรงลุกขึ้นวิ่งหนีแน่ๆ และนั่นเป็นโอกาสทองที่แพทย์สาวมองเห็น พอวาเร้นกายในเงามืดของพงไพร ลัดเลาะไปยังจุดที่เหยื่อถูกพันธนการเอาไว้ ทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของพอวา ทั้งสองก็พากันสะดุ้งเหมือนหวาดกลัวสุดขีด กำลังจะส่งเสียงร้อง แต่เธอก็กดไหล่พวกเขาเอาไว้เสียก่อน แล้วกระซิบบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ไม่ต้องกลัว... ฉันมาช่วย” เมื่อเห็นว่าทั้งคู่สงบความตื่นกลัวได้แล้ว มือเล็กจึงได้เลื่อนไปพยายามช่วยแกะปมเชือกที่พันธนาการข้อมือของเหยื่อคนหนึ่งออก แต่ดูเหมือนมันจะไม่ง่ายเลย เพราะปมเชือกเส้นใหญ่และแน่นหนา ทำให้ต้องใช้เวลาพอสมควร “เฮ้ย! นั่นใคร! คิดจะทำอะไรน่ะ!?” ลูกน้องคนหนึ่งของกลุ่มชายชุดดำดังขึ้น ก่อนที่ชายคนดังกล่าวจะตะโกนเตือนพวกของตน “มีพวกมันบุกรุกเข้ามา!” “ซวยแล้ว!” พอวากระซิบสบถ ก่อนตัดสินใจรีบหนี เพราะหากเธอรอดในคืนนี้ เธอยังมีโอกาสได้กลับมาช่วยพวกเขา และชีวิตใครอีกหลายคน แต่หากยังรั้น พาลจะเหลือแต่ชื่อกันทั้งหมด คิดดังนั้น ร่างแบบบางจึงรีบออกตัววิ่งหายเข้าไปในป่า หญิงสาวเร้นกายว่องไวฝ่าความมืด โดยอาศัยเพียงแสงจันทร์ในคืนข้างขึ้นส่องนำทาง พยายามจะพาตัวเองออกมาให้ไกลจากจุดเกิดเหตุให้มากที่สุดเท่าที่กำลังของเธอจะอำนวย เธอเป็นคนมีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคนอื่น... นั่นเป็นเรื่องจริง แต่เธอเองก็กลัวตาย... นั่นก็คือเรื่องจริงอีกประการที่ปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน พอวาหันกลับไปมองด้านหลังเพื่อเช็กดูว่ามีคนตามมาหรือเปล่า จนไม่ได้ทันระวังตัว นั่นทำให้เธอปะทะเข้ากับร่างหนึ่งเข้าอย่างจัง ก่อนจะถอยตั้งหลัก มือไพล่ไปจับมั่นที่กระบอกปืนซึ่งเหน็บอยู่ด้านหลังของตัวเอง “จะหนีไปไหนล่ะ!? อยู่เล่นกับฉันก่อนสิ” น้ำเสียงเยาะหยันดังมาให้ได้ยิน ร่างทะมึนนั้นสาวเท้าคุกคามเข้าหา พอวาก้าวถอยหลังอย่างระแวดระวังภัย อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายชะล่าใจว่าเธอหมดทางหนีดึงปืนออกมาจากด้านหลัง ก่อนเล็งไปข้างหน้า แล้วลั่นไกอย่างไม่คิดซ้ำเป็นครั้งที่สอง ปัง! “เฮ้ย!” อีกฝ่ายเบี่ยงตัวหลบได้ว่องไวหลุดพ้นคมกร “บ้าเอ๊ย...” พอวาสบถ ก่อนออกตัววิ่งหนีพลาง เล็งปืนยิงใส่คนที่กวดเท้าวิ่งตามมาอย่างไม่ลดละไปพลาง ต้องโทษความมืดของพงไพรในยามดึกสงัด ที่ทำให้เธอยิงพลาดเป้าเสียทุกนัดไป ทันใดนั้นเอง ร่างหนึ่งก็กระโจนเข้ามาตะครุบเธอเอาไว้ จนล้มกลิ้งลงกับพื้นไปด้วยกัน โดยมีร่างปริศนานั้นทาบทับอยู่เบื้องบน ปืนพกกระบอกเล็กหลุดกระเด็นออกจากมือ เธอพยายามดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอด แต่ถูกกดทับด้วยกำลังที่เหนือกว่า และรูปร่างก็ใหญ่โตกว่ามาก จึงทุลักทุเลไม่น้อย โชคดีที่พอวาเรียนรู้ศิลปะการป้องกันตัวมาพอสมควร เธอรู้ว่าจุดอ่อนของผู้ชายมีที่ตรงไหนบ้าง จึงกระแทกกำปั้นสุดแรงเข้าตรงระหว่างขาซ้ำๆ “โอ๊ย!” เสียงชายโฉดร้องครวญก่อนยกมือกุมระหว่างขาของตนเอง พอวาเห็นโอกาสรีบตะเกียกตะกายหนีห่าง พอตั้งหลักได้ก็กวาดตาหาอาวุธคู่กายที่ทำหล่นหายไป แต่ด้วยความมืดยามค่ำคืน กว่าเธอจะหาเจอ... ชายปริศนาในชุดดำก็ตั้งสติพาตัวเองลุกขึ้นยืนได้เสียแล้ว พอวาเปิดยิ้มกว้าง เมื่อสามารถถือปืนพกคู่ใจเอาไว้ในมืออีกครั้ง หันหน้าไปเตรียมจะยิงคู่ต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด แต่ช้าไป...เมื่อเขาเข้ามาประชิดตัว ใช้ท่อนแขนปัดป้องมือข้างที่ถือปืนของเธอ ก่อนม้วนกายฟันศอกเข้ามาที่ซีกหน้าของเธอหนัก ๆ แล้วหันมาประเคนเข่าใส่หน้าท้องของคุณหมอสาวอย่างไร้ความปรานี “โอ๊ย!” คราวนี้เป็นพอวาบ้างที่ต้องร้องโอดโอยเพราะถูกทำร้ายร่างกายอย่างไร้เมตตา ร่างบอบบางทรุดไปนอนตัวงออยู่กับพื้น “อะไรกัน? ผู้หญิงเหรอเนี่ย?” สุ้มเสียงชายฉกรรจ์ฟังดูประหลาดใจ ไม่คาดคิดว่าคนที่เขาเพิ่งประมือด้วยจะเป็นสตรีเพศ แม้ตอนที่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันบนพื้น เขาก็ไม่อาจรู้ได้ เนื่องจากความชุลมุนชุลมุนและรูปร่างชาวกะเหรี่ยงส่วนใหญ่แม้จะเป็นชายก็ไม่ได้กำยำสูงใหญ่ เขายังคิดว่าเป็นพวกชาวเขาเหล่านั้น ก่อนได้รู้ความจริง “พวกกระจอก ใช้ผู้หญิงมาช่วยคนของมันงั้นเหรอ?”ไม่ได้อยากดูถูก แต่ดูเหมือนพวกนั้นจะประมาทเหลือเกิน ที่ส่งผู้หญิงตัวคนเดียวมาชิงตัวอริศัตรูเช่นนี้ แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาถามไถ่ ควรจับตัวนางนกต่อกลับไปค่ายเสียก่อน ค่อยเริ่มเค้นความลับ เพราะบรรดาลูกน้องของเขาได้คุมตัวสองคนเมื่อครู่กลับไปคุมขังไว้แล้ว พอวาไม่มีโอกาสได้ปกป้องตัวเอง เมื่อถูกเข่าของอีกฝ่ายกดลงที่แผ่นหลัง แล้วจัดการมัดข้อมือของเธอไพล่หลังกดเอาไว้ จากนั้นจึงนำถุงผ้าสีดำมาคลุมศีรษะของเธอเพื่อปิดกั้นการมองเห็น “โอ๊ย!” คุณหมอสาวอุทานด้วยความเจ็บร้าว เมื่อถูกรั้งต้นแขนให้ลุกขึ้นอย่างไร้ความปรานี และก็ต้องร้องเสียงหลงออกมาอีกครั้ง เพราะถูกยกตัวขึ้นพาดบนบ่ากว้าง “ว้าย!” หากว่าเธอไม่จุกเพราะถูกเข่าของเขาปะทะเข้าที่หน้าท้อง เธอคงร้องเสียงแปดหลอดทำลายโสตประสาทของเขาไปแล้ว เผื่อจะหนวกหูจนทนไม่ไหวแล้วปล่อยเธอให้หลุดมือไป แต่นี่... แม้แต่เค้นเสียงโอดครางระบายความเจ็บปวด ยังยากเลย...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม