“อ้าว... หายไปไหนแล้ว?” พอวายืนหยุดนิ่งอยู่หน้าต้นไม้ใหญ่ต้นเดิม เธอเองจำได้ว่าพาคนไข้ถูกงูกัดมานั่งรออยู่ตรงนี้ ก่อนจะรีบวิ่งกลับไปในหมู่บ้าน เพื่อนำคนมาช่วยพาเขากลับไปรักษา
แต่เมื่อมาถึง กลับพบเพียงความว่างเปล่า ผู้ชาย ‘ลามก’ ในชุดลายพรางที่ทำตัวเป็นพวกถ้ำมองหายไปเสียแล้ว “คอยดูเถอะ... ถ้าตายเพราะพิษงูขึ้นมาจริง ๆ จะมาโทษฉันไม่ได้หรอกนะ”
“ไหนล่ะครับคุณหมอ คนที่ถูกงูกัด?”
ผู้นำหมู่บ้านที่พอจะสื่อสารภาษาไทยเข้าใจถาม เพราะตอนที่เธอวิ่งไปหาเขาที่บ้าน หญิงสาวบอกด้วยท่าทีร้อนอกร้อนใจว่ามีคนถูกงูกัดและต้องการความช่วยเหลือ ก่อนที่เธอจะขึ้นไปบ้านพักบ้านของตัวเอง แล้วรีบวิ่งตรงกลับเข้ามาไปในป่า ทิ้งให้เขาและชายหนุ่มวัยฉกรรจ์อีกสองคนต้องรีบกวดตามมาอย่างรีบเร่งชุลมุน
“นั่นสิ คิดว่าตัวเองเป็นพระเอกบรูซ วิลลิสหรือไงก็ไม่รู้!” พอวาประชดประชันไปกับสายลม เล่นเอาคนที่เหลืองุนงงกับคำเหน็บแนมนั้น
“คุณหมอว่าไงนะครับ? อะไรลิสๆ?” ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นำของชาวม้งแห่งนี้ถามขึ้น เพราะจับใจความของหญิงสาวไม่ถนัดนัก
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” พอวาบอกปัด ขืนมานั่งอธิบายกันถึงประวัติของพระเอกรุ่นเดอะอย่าง บรูซ วิลลิส ผู้ที่มีผลงานขึ้นชื่ออย่างภาพยนตร์เรื่อง ‘Die Hard’ คืนนี้คงจะไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันพอดี เผลอ ๆ เธออาจจะต้องเปิดภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวให้อีกฝ่ายดูอีกด้วยถึงจะเข้าใจกันได้ “กลับกันเถอะ”
“อ้าว...” ผู้เป็นพ่อบ้าน ซึ่งคือเป็นตำแหน่งของผู้นำของทุกคนในหมู่บ้านถึงกับต้องยกมือขึ้นเกาหัวแกรก ๆ กับอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันของคุณหมออาสา ก่อนจะเดินนำผู้ติดตามอีกสองคนกลับไปยังเคหสถานของพวกตน หลังจากนั้น เรื่องราวของนายทหารพรานหนุ่ม ก็กลายเป็นเรื่องที่ค้างคาใจพอวาอยู่ตลอดเวลา แต่เธอก็รู้ดีว่า ไม่ง่ายนักหรอกที่เธอจะได้บังเอิญพบกับเขาอีกครั้ง และชีวิตของเธอ ในแต่ละวัน ก็วุ่นวายอยู่กับการรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วย จนเรื่องเขากลายเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่เคยผ่านเข้ามา แล้วก็ผ่านไป...
“พี่พอวา!”
“ว่าไงตาวัน” พอวาละสายตาจากหน้าหนังสือที่กำลังอ่าน มองเด็กสาวชาวเขาวัยกำดัดซึ่งวิ่งหน้าตื่นขึ้นมาบนบ้านพักของเธอ สัญชาตญาณบอกให้รู้ว่าต้องมีเรื่องเร่งร้อนอะไรสักอย่างเกิดขึ้น
“มีคนยิงกัน...มีคนบาดเจ็บ” ตาวันเล่าไปพลาง หอบไปพลาง ภาษาไทยก็ไม่ใคร่แข็งแรงดีนัก
“ที่ไหน ใครยิงใคร” หญิงสาวลุกรีบวางหนังสือแล้วลุกยืนเตรียมความพร้อม
“ทหารกับโจร พวกขนยา...”
“มีชาวบ้านบาดเจ็บบ้างไหม” หากเป็นทหาร ตำรวจ หรือกลุ่มโจรเธอไม่ใส่ใจนัก เพราะรู้ว่าพวกนั้นสามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากกว่าชาวบ้านตาดำๆ ที่มักโดนลูกหลงไม่รู้อีโหน่อีเหน่
“ไม่มีจ้ะ ทหารช่วยคุ้มกันให้ มีทหาร แล้วก็คนร้ายบาดเจ็บหลายคนที่ค่าย หมอไม่พอ พ่อใหญ่ให้หนูมาตามพี่พอวาไปช่วย” ตาวันเริ่มหายใจหายคอคล่องขึ้นก็อธิบายรวบรัด
“งั้นไปกัน พ่อใหญ่ล่ะ”
“พ่อใหญ่ล่วงหน้าไปแล้ว พาคนไปด้วยหลายคน เผื่อได้ช่วยกัน”
พอวาเข้าไปหยิบกระเป๋าเก็บอุปกรณ์ทางการแพทย์ และกระเป๋ายาใหญ่ไปพลางในขณะที่ตาวันกำลังเล่าเหตุการณ์ ทุกวินาทีคือชีวิต เธอไม่อาจรีรอได้
“จวนค่ำแล้ว พี่จะรีบไป เราอยู่นี่แหละ” เธอหอบเอาสัมภาระพะรุงพะรังวิ่งลงจากบ้านไม้ไผ่ ที่ปลูกสร้างอย่างเรียบง่าย แล้วตรงไปยังม้าตัวใหญ่ซึ่งล่ามไว้กับต้นไม้ไม่ไกลกันนัก จัดการนำทุกอย่างที่ติดมือผูกติดไว้ที่ตัวม้าอย่างชำนาญ แล้วกระโดดขึ้นบนหลังม้าตัวใหญ่
ตาวันที่ตามหลังมาติดๆ ช่วยแก้เชือกให้ แล้วม้าสีดำสนิทก็ควบวิ่งไปตามทางลาดชัน หายลับเข้าป่า ทิ้งตาวันที่มองตามด้วยความกังวล