ถึงเวลาที่ต้องเด็ดขาดและเดินไปจากจุดมืดของชีวิตสักที ตอนนี้เธอไม่ได้ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว ศรีญาก้มมองท้องน้อยตัวเองขณะนั่งรถโดยสารประจำทางกลับร้านอาหารของตนเอง เธอมองแม่ลูกคู่หนึ่งที่นั่งตรงข้ามกับตนเอง แม่กำลังแกะขนมในมือให้ลูกน้อยและในท้องของแม่ก็มีเด็กน้อยอีกคนที่อยู่ในนั้น คงอีกไม่นานก็จะคลอดออกมาเป็นเพื่อนกับพี่สาว
‘เลิกอ่อนแอได้แล้วน้อง’ เธอพึมพำกับตัวเองพร้อมลูบท้องแบนราบของตนเองเมื่อตอนนี้รู้แล้วว่าตนเองควรจัดการกับความสัมพันธ์ลับของตนและพุฒิเมธยังไง ตลอดเวลาสองเดือนที่ยอมตกเป็นเบี้ยให้เขากดขี่ข่มเหงและยกเรื่องศิตาพรมาบังคับตนนั้นมันมากพอแล้ว ถึงเวลาที่ต้องทำเพื่อตัวเองแล้ว และพอกันทีกับความอ่อนแอ!
พุฒิเมธมองพ่อกับแม่ของตนเองที่กำลังพูดคุยกันอยู่ในห้องนั่งเล่น เขาจึงเดินเข้าไปหาท่านทั้งสองแล้วนั่งลงหยิบองุ่นที่วางอยู่โต๊ะกลางโซฟาขึ้นมากิน
“ทำไมวันนี้กลับบ้านเร็วลูก?” นางเพรีถามลูกชายที่เคี้ยวองุ่นตุ้ยๆ เต็มปากเต็มคำ
“นั่นสิ ปกติกลับบ้านดึกจะตาย วันก่อนนายภูมิบอกพ่อว่าเหมืองเราถล่ม ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง” เมธีถามลูกชาย
“ผมก็แค่อยากกลับมาทานมื้อเย็นกับพ่อและแม่ไม่ได้รึไงครับ ส่วนเรื่องเหมืองถล่ม ผมจัดการเรียบร้อยแล้วครับ มีคนงานบาดเจ็บสามคน ตอนนี้ได้รับการรักษาเป็นอย่างดีและได้รับเงินเยียวยาระหว่างการพักฟื้นตัวครับ”
“พุฒ...ลูกสนใจหนูน้องไหมลูก แม่ว่าหนูน้องก็น่ารักดีนะ”
เพรีลุกขึ้นมานั่งข้างลูกชายพร้อมกอดเกาะแขนลูกชายของตนเอง แม้จะรู้ดีว่าลูกชายตัวเองยังเจ็บแค้นที่ศิตาพร พี่สาวของศรีญาหนีงานแต่งงานไป แต่นางก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไร เพราะปลูกเรือนต้องปลูกตามใจผู้อยู่ อีกอย่างพุฒิเมธก็ยังไม่มีใครในใจ แถมศรีญาเองก็ยังไม่มีใครเช่นกัน นางจึงอยากให้ลูกชายของตนเองมองศรีญาบ้าง
พุฒิเมธบึ้งตึงขึ้นมาทันทีเมื่อแม่กำลังจะจับคู่ให้ตนกับศรีญา
“คุณแม่ยังไม่เข็ดหลาบที่พี่สาวของน้องทำไว้อีกเหรอครับ อีกอย่างตอนนี้พุฒยังไม่พร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่กับใครทั้งนั้น ถ้าผมจะแต่งงาน ผมจะไม่แต่งงานกับคนบ้านอุ่นฤดี ผมรู้ว่าพ่อกับแม่อยากเกี่ยวดองกับเพื่อนของตัวเอง แต่มันเป็นไปไม่ได้แล้วครับ ทุกอย่างมันจบตั้งแต่ที่นางหนีงานแต่งงานไปกับผู้ชายอื่นแล้วครับ” แล้วเขาก็แกะมือแม่ออกจากแขนตัวเองแล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องนั่งเล่นไป
“ผมบอกคุณแล้วไงคุณเพรี” ผู้เป็นสามีเอ่ยเมื่อลูกชายเดินออกไปพ้นห้องนั่งเล่น
“แต่ยังไงฉันก็ว่าหนูน้องเหมาะสมกับลูกชายเราที่สุดนะคะตอนนี้” นางลุกเดินกลับมานั่งข้างสามีเหมือนเดิม
“ปล่อยให้ลูกเราเลือกคู่ชีวิตเองเถอะ อย่าให้ผิดพลาดเหมือนครั้งหนูนางดีกว่าคุณเพรี”
“เฮ้อ! ลูกเราอายุเยอะขึ้นทุกวันแล้วนะคุณเมธี อีกปีกว่าก็จะสี่สิบปีแล้วนะ ตอนนี้ก็สามสิบแปดย่างสามสิบเก้าปีแล้ว ถ้าช้ากว่านี้ก็แก่เกินจะหาเมียได้พอดี”
“คุณน่ะรีบร้อนเกินไปแล้วคุณเพรี ลูกเราเป็นที่ต้องการของตลาดขนาดนี้ มีหรือจะอยู่เป็นโสด เพียงแต่พุฒมันยังไม่เจอผู้หญิงที่ถูกใจ อีกอย่างมันเพิ่งเจ็บจากหนูนางมา ให้เวลามันพักรักษาใจก่อนเถอะ ไอ้พุฒน่ะไปที่ไหนสาวๆ ก็วิ่งเข้าหา ยังไงเราก็ได้อุ้มหลานแน่นอนคุณเพรี” คนเป็นสามีบอกภรรยาพร้อมกับวางหนังสือในมือแล้วตวัดแขนรั้งร่างอวบของภรรยาเข้ามากอด
“ฉันก็หวังจะได้อุ้มหลานเลี้ยงหลานตอนที่ยังแข็งแรงดี กลัวแต่ว่า...”
ชูว์!
เมธียกมือปิดปากห้ามภรรยาไม่ให้พูดต่อ
“ปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตาเถอะคุณเพรี” เมธีรู้ว่าภรรยานั้นห่วงลูกชายและตัวเขาเองก็ห่วงเช่นกัน แต่ทำเช่นไรได้จะให้ทุกอย่างเป็นตามใจตนต้องการได้ยังไง ควรปล่อยวางแล้วปล่อยให้ชีวิตของลูกเดินไปเอง