มันเหมือนฝันร้ายก็มิต่าง เรื่องราวในคืนนั้นมันยังคงตามหลอกหลอนตามติดจนทุกวันนี้ ไม่ว่าจะผ่านมาเกือบเดือน แต่ศรีญาก็จำเรื่องราวในค่ำคืนที่แสนทรมานนั้นได้ดีว่าพุฒิเมธได้ทำอะไรไว้กับตนเองบ้าง ร่างกายของเธอเต็มไปด้วยรอยขบเม้มของคนใจร้าย กว่าร่องรอยพวกนั้นจะจางหายก็ใช้เวลาเป็นอาทิตย์
“น้อง…วันนี้ป้าเพรีกับลุงเมธีบอกว่าจะมาทานมื้อเย็นที่บ้านเรา ลูกเข้าครัวหน่อยนะลูก ป้าเพรีบอกอยากกินน้ำพริกลงเรือฝีมือน้องน่ะลูก” บัวทิพย์บอกลูกสาวที่เพิ่งกลับมาจากร้านอาหารที่เป็นกิจการของครอบครัวตนเอง
“ค่ะแม่” ศรีญารับคำทันทีเมื่อแม่บอก
“เดี๋ยวแม่ให้เด็กเตรียมทุกอย่างรอนะลูก น้องเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บแล้วเปลี่ยนชุดเถอะลูก” นางบัวทิพย์บอกลูกสาว
“พ่อคะ แม่คะ วันนี้พี่นางตะ...” ยังพูดไม่ทันจบประโยค เสียงทุ้มแข็งของพ่อก็ตอบสวนกลับมาก่อน
“อย่าพูดถึงนังลูกไม่รักดีอย่างมันให้พ่อได้ยินอีกน้อง พ่อบอกน้องแล้วไงว่าบ้านหลังนี้มีแค่หนูเป็นลูกคนเดียวเท่านั้นตอนนี้” ด้วยความโกรธและเสียใจที่ศิตาพรทำให้อับอายขายหน้าผู้คนในจังหวัดและทำให้ต้องผิดต่อเพื่อนรักจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าบ้านโชคอนันต์ทรัพย์จะไม่ได้เคืองแค้น แต่ตัวเขาและภรรยาก็ยังรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ดี
“รีบไปเก็บกระเป๋าแล้วเปลี่ยนชุดเถอะลูก เดี๋ยวจะไม่ทันหนึ่งทุ่มนะลูก” นางบัวทิพย์รู้ว่าสามีโกรธลูกสาวคนโตมากจนสั่งทุกคนในบ้านไม่ให้พูดถึงศิตาพร
“งั้นน้องไปก่อนนะคะ เดี๋ยวทำมื้อเย็นเสร็จไม่ทันเวลาค่ะ” แล้วศรีญาก็รีบเดินจากไป ส่วนบัวทิพย์ก็รีบลุกเดินตามลูกสาวขึ้นไปบนห้อง ปล่อยสามีนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนั่งเล่นคนเดียว
ศรีญาวางกระเป๋าไว้บนชั้นเก็บกระเป๋าแล้วเดินไปยังตู้เสื้อผ้าเพื่อจะเปลี่ยนชุดเป็นชุดอยู่บ้านเพื่อเข้าห้องครัวทำมื้อเย็น แต่ยังไม่ทันได้เปลี่ยนชุด เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น เธอจึงรีบเดินไปเปิดประตูห้อง
“มีอะไรกับน้องรึเปล่าคะแม่” เธอถามเมื่อเปิดประตูออกมาเห็นว่าเป็นแม่ตัวเอง
“เข้าไปคุยกันข้างในดีกว่าลูก” นางดันลูกสาวเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูห้องแล้วดึงลากแขนลูกสาวเดินไปนั่งยังเตียงนอนนุ่ม
“เมื่อกี้ตอนอยู่ข้างล่างลูกบอกว่านาง นางติดต่อมาแล้วเหรอลูก” นางถามถึงลูกสาวคนโตด้วยความเป็นห่วงและร้อนใจอยากรู้ว่าตอนนี้ศิตาพรเป็นอย่างไรบ้าง
“เมื่อตอนบ่ายพี่นางโทรมาหาหนูค่ะแม่ บอกว่าสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ”
“แล้วพี่ของเราพูดอะไรอีกไหมลูก บอกไหมว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน อยู่ประเทศอะไร”
“พี่นางบอกหนูแค่นี้ค่ะแม่ แล้วพี่นางก็ตัดวางสาย พอติดต่อกลับก็ติดต่อไม่ได้แล้ว ตอนนี้เราต้องรอให้พี่นางติดต่อหาเท่านั้นค่ะแม่”
“เฮ้อ! แม้ก็หวังว่าพี่สาวของน้องจะสุขสบายดี ไม่ถูกผู้ชายหลอกไปขายในตลาดมืด” หัวอกคนเป็นแม่แม้ลูกจะทำผิด แต่ก็ยังรักและห่วงใยเสมอ
“พี่นางเป็นคนเก่ง ยังไงก็ไม่มีทางเจอเรื่องแบบนั้นแน่นอนค่ะแม่”
“แม่ก็เชื่อแบบนั้น หวังว่าพี่ของน้องจะไม่โชคร้ายแบบนั้น ดีนะ คนไทยเราเป็นคนลืมง่าย เรื่องพี่เราหนีงานแต่งก็เริ่มเงียบแล้ว”
“น้องก็หวังให้ใครบางคนลืมเหมือนกันค่ะ” คนที่ศรีญาหมายถึงคือคนที่สร้างราคีให้ตนเองในคืนเดือนมืดคืนนั้น ตั้งแต่วันนั้นเธอก็หลบหน้าพุฒิเมธมาตลอด และก็หวังว่าวันนี้เขาจะไม่มากับพ่อและแม่ด้วย
“หนูเปลี่ยนชุดเถอะลูก แม่ไม่กวนหนูแล้ว ขืนชวนคุยนานกว่านี้เตรียมมื้อเย็นไม่ทันพอดี” นางบัวทิพย์ลุกขึ้นยืนแล้วลูบหัวลูกสาวส่งยิ้มละมุนให้ก่อนจะเดินจากไป ส่วนศรีญาก็ลุกขึ้นไปตู้เสื้อผ้าเพื่อผลัดเปลี่ยนชุดเพื่อจะลงไปยังห้องครัวเพื่อเตรียมมื้อเย็นต้อนรับแขก