“จริงลูกคงจะหิวแล้ว เช่นนั้นเดี๋ยวแม่จะทำอะไรให้ทานนะ”
กล่าวแล้วฮูหยินเทียนก็ทำท่าจะลุกขึ้นแต่หมิงชูร้องห้ามเอาไว้เสียก่อน
“ข้ายังไม่หิวขอรับท่านแม่ เอาไว้เราทานพร้อมกันตอนเที่ยงก็ได้ อีกอย่างป้าถิงกับพี่เสี่ยวม่านก็ให้ขนมลูกมาด้วย”
เด็กน้อยไม่พูดเปล่า ล้วงเอาห่อขนมออกมาจากอกเสื้อให้มารดาชมดูด้วย ฮูหยินเทียนเห็นอย่างนั้นก็วางใจ นางบอกให้บุตรชายนำของไปเก็บให้เรียบร้อย และปล่อยให้สองพ่อลูกได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน
หมิงชูใช้เวลาเก็บของไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย จากนั้นเขาก็รีบไปช่วยงานบิดาในสวนทันที ทว่าเทียนซานกลับไม่ปล่อยให้เด็กชายได้ช่วยงานอย่างที่ตั้งใจ ผู้เป็นบิดาชักชวนบุตรชายเดินชมที่นาของครอบครัวซึ่งถูกปรับปรุงใหม่ด้วยเงินที่หมิงชูหามาได้ และแรงงานจากเทียนซานและเพื่อนบ้านที่เห็นใจครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้
รั้วไม้ไผ่ล้อมรอบเขตสวนดูแน่นหนากว่าเดิม ในขณะที่พื้นที่รอบนาของครอบครัวนั้นดูไม่ต่างไปจากเดิมเท่าไร ทั้งนี้ก็เพราะนาของแต่ละบ้านมีคันดินกั้นเอาไว้อยู่แล้ว และเส้นทางน้ำของนาแต่ละแปลงก็เชื่อมต่อกันด้วย
อย่างไรก็ตามผลงานที่เทียนซานภูมิใจที่สุดก็คือ โรงเลี้ยงสัตว์ มันเป็นบ้านดินขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ หลังคามุงด้วยฟางหนา ตัวอาคารทึบไร้หน้าต่างแต่ก็ไม่อับชื้น ที่ใต้หลังคามีพื้นที่เก็บของโล่งๆ สำหรับเก็บอาหารสัตว์และอุปกรณ์ทำสวนอื่นๆ ที่ชั้นล่างก็กั้นเป็นส่วนๆ ด้วยรั้วไม้ไผ่ เพราะพวกเขาเลี้ยงทั้งแพะ ไก่ และเป็ด จะให้อยู่รวมกันก็คงไม่เหมาะ ข้างๆ โรงเลี้ยงสัตว์ยังขุดบ่อเลี้ยงปลาตื้นๆ เอาไว้ด้วย ความจริงแล้วเทียนซานอยากจะขุดบ่อให้ลึกกว่านี้เพื่อที่จะได้กักเก็บน้ำได้มากขึ้น แต่เพราะบุตรทั้งสองยังเล็กนัก เขาจึงไม่กล้าเสี่ยงด้วยกลัวว่าบุตรคนใดคนหนึ่งจะตกน้ำ เทียนซานถึงกับทำรั้วล้อมรอบบ่อปลาเอาไว้อย่างแน่นหนา ชนิดที่ว่าหากไม่ตั้งใจจะปีนเข้าไปแล้วย่อมไม่สามารถหลงเข้าไปในบริเวณนั้นได้เลย
หมิงชูเห็นความรอบคอบและความห่วงใยของบิดาแล้วก็ยิ้มกว้าง เด็กชายทอดสายตามองฝูงไก่ที่คุ้ยเขี่ยหาอาหาร ฝูงเป็ดที่ดำผุดดำว่ายอยู่ในบ่อเลี้ยงปลา และฝูงแพะที่เที่ยวและเล็มหญ้ากับพุ่มไม้เตี้ยๆ อยู่ไม่ไกล เขาเห็นลูกแพะตัวเล็กที่เพิ่งจะหย่านมด้วยสองตัว ท่าทางจะเป็นฝาแฝดกันช่างน่ารักยิ่งนัก แต่ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับความน่ารักของบรรดาสัตว์เลี้ยงเหล่านั้น เด็กชายก็พลันฉุกคิดขึ้นได้ว่าการเลี้ยงสัตว์มากมายเช่นนี้ย่อมมีปัญหาตามมาไม่น้อย จึงหันไปถามบิดาว่า
“ท่านพ่อ เรามีแพะมากมายอย่างนี้ในหน้าหนาวจะมีอาหารสัตว์เพียงพอหรือขอรับ?”
“พอสิ เงินที่เจ้าให้มาคราวก่อนพ่อเอาไปซื้ออาหารสัตว์เก็บไว้เยอะเลยทีเดียว”
เทียนซานกล่าวพลางตบไหล่เล็กของลูกน้อย บอกว่า “ต้องขอบใจเจ้าจริงๆ บ้านเราถึงได้มีวันนี้” พูดไปเทียนซานก็นึกละอายใจยิ่งนัก ที่ตนด้อยความสามารถ เดือดร้อนถึงบุตรชายวัยเพียงห้าขวบปีที่ต้องทำงานหาเงินมาจุนเจือครอบครัวเช่นนี้
“ท่านพ่อกล่าวเกินไปแล้ว” เด็กน้อยส่ายหน้าปฏิเสธ “เงินเหล่านั้นได้มาเพราะผู้อาวุโสช่วยเหลือต่างหาก ลำพังตัวลูกจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งใดคือของดี”
“ก็จริงของเจ้า นับว่าบ้านเราติดค้างผู้อาวุโสอย่างยิ่งแล้ว” เทียนซานได้ฟังแล้วก็พยักหน้าคล้อยตามโดยง่าย
มันจริงตามที่บุตรชายของเขากล่าว เด็กที่ไม่เคยไปโรงเรียนอย่างหมิงชูมีหรือจะทราบว่าสิ่งใดคือสมุนไพร สิ่งใดไม่ใช่ เทียนซานเองก็เคยสอนหมิงชูเพียงเล็กน้อย เนื่องจากตัวเขาเองก็ไม่มีความรู้เรื่องนี้มากนัก ดังนั้นสมุนไพรหายากที่บุตรของเขานำมาขายย่อมได้มาจากจอมยุทธ์อาวุโสท่านนั้นเป็นแน่ ยิ่งคิดเทียนซานก็ยิ่งรู้สึกซาบซึ้งใจมากขึ้นเท่านั้น ฝ่ายหมิงชูก็ได้แต่ลอบเบ้ปากนินทามารเฒ่าอยู่ในใจอย่างเงียบๆ
‘ตาเฒ่านั่นหากข้าไม่หลอกถาม มีหรือจะบอกเรื่องพวกนั้นแก่ข้า? วันๆ เอาแต่เรียกร้องหาชาอยู่อย่างเดียว’
“ท่านพ่อลูกมีเรื่องอยากจะปรึกษาขอรับ”
หมิงชูปัดเรื่องของมารเฒ่าทิ้งไปแล้วกล่าวความในใจของตนออกมา เรื่องนี้เขาใช้เวลาขบคิดมากว่าสามเดือนแล้ว ทว่าก็ยังตัดสินใจไม่ได้ จึงอยากขอความเห็นจากผู้เป็นบิดา
“ลูกอยากจะปรึก ษาอะไรหรือ?”
เทียนซานรู้สึกสงสัยอยู่ไม่น้อย ท่าทางของบุตรชายจริงจังจนไม่น่าจะเป็นเรื่องล้อเล่น แต่เด็กเช่นหมิงชูมีเรื่องอันใดให้หนักใจด้วยหรือ?
“ลูกคิดว่าจะไปทำงานที่โรงเตี๊ยมไผ่เขียวขอรับ”
หมิงชูบอกไปตามตรง เมื่อก่อนมารดาของเขาทำงานเป็นคนครัวอยู่ในโรงเตี๊ยมไผ่เขียว จนกระทั่งตั้งท้องฮวาเอ๋อร์จึงต้องกลับมาอยู่บ้าน ฝ่ายบิดาของเขาลำพังแค่ทำไร่ไถนา ล่าสัตว์มาเป็นอาหารให้ครอบครัว และซ่อมแซมบ้านที่เสียหายก็ยุ่งจนไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว รายได้ของครอบครัวที่นับเป็นตัวเงินได้ส่วนใหญ่จึงมาจากมารดาเพียงผู้เดียว ที่ได้จากของป่าที่บิดาของเขาหามาขายก็มีบ้าง แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ตอนนี้มารดาของเขาต้องดูแลน้องสาว คงไม่สามารถกลับไปทำงานได้ บิดาก็วุ่นวายอยู่กับสวนและบรรดาสัตว์เลี้ยง อีกทั้งขาข้างที่หักก็ไม่อาจหายดีดังเดิมได้ หมิงชูคิดว่ามันน่าจะเป็นการดีกว่าหากเขาสามารถไปทำงานในเมือง เก็บเงินเอาไว้มากๆ ยามจำเป็นจะได้ไม่ขัดสน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูหนาวที่แสนโหดร้าย
ห้าปีที่ผ่านมาบ้านสกุลเทียนใช้ชีวิตผ่านฤดูหนาวไปด้วยความยากลำบาก สามคนพ่อแม่ลูกขดตัวกอดกันกลมอยู่ในผ้าห่มผืนเดียว เตาไฟถูกจุดขึ้นในบ้านจนผนังเปลี่ยนเป็นสีดำ พวกเขากอดหินเผาไฟอยู่ตลอดเวลาจนแทบจะตั้งชื่อให้อยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเทียนซานยังต้องสละเสื้อผ้าส่วนใหญ่ของตนให้บุตรและภรรยาจนล้มป่วยลงทุกปี และเพราะไม่มีเงินมากพอจะจ่ายค่ารักษา เทียนซานจึงต้องทนทรมานกับอาการเจ็บป่วยและโรคแทรกซ้อนอยู่นานหลายสัปดาห์ ในระหว่างนั้นฮูหยินเทียนก็ต้องรับผิดชอบงานทุกอย่างในบ้าน แต่กำลังของนางก็มีจำกัด ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมาในช่วงฤดูหนาวและต้นฤดูใบไม้ผลิบ้านสกุลเทียนจึงลำบากและอดอยากอย่างมาก
ปีนี้หมิงชูจะไม่ยอมให้เป็นเหมือนปีที่ผ่านมา เงินที่มีอยู่ราวหนึ่งร้อยเหรียญทองแดงนั้นเพียงพอแน่หากนับเฉพาะเรื่องอาหารการกินเพียงอย่างเดียว แต่มันแทบจะไม่พอหากต้องนำไปจ่ายค่าหมอและค่ายาในยามที่คนในบ้านป่วยไข้