เมื่อมารเฒ่าไปจากภูเขาแล้วเด็กน้อยเทียนหมิงชูก็จัดแจงเก็บข้าวของวิ่งลงเขามาทันที คราวนี้เขาใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามก็มาถึงตีนเขา สภาพหมู่บ้านนอกกำแพง และเมืองหลงซานยังดูคุ้นตาไม่เปลี่ยน ควันไฟพวยพุ่งขึ้นจากมุมหนึ่งของเมือง เสียงต่อยตีประลองกำลังของจอมยุทธ์ดังสลับไปกับเสียงเฮของผู้คน บ้านเรือนหลายหลังกำลังถูกซ่อมแซมอยู่ และบ้างก็กำลังถูกสร้างขึ้นมาใหม่ เสียงตอกค้อนดังเป็นจังหวะล่องลอยมาตามสายลมชวนให้รู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย
เด็กชายมองภาพตรงหน้าแล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ทีหนึ่ง ตอนนี้จิตใจของเขาปลอดโปร่งยิ่งนัก ไม่ต้องทนรองรับอารมณ์ร้ายของมารเฒ่า ไม่ต้องเฝ้าแสวงหากำไรจนปวดหัว ชีวิตอันแสนสงบสุขของเทียนหมิงชูได้กลับคืนมาแล้ว
ร่างเล็กๆ สูงไม่เกินเอวของผู้ใหญ่แบกตะกร้าสานใบโตเอาไว้บนหลัง ข้าวของภายในนั้นอัดแน่นจนล้นท่วมศีรษะของเด็กน้อย ที่ไหล่ทั้งสองข้างยังสะพายไว้ด้วยกระบอกไม้ไผ่ผูกเชือกหลายกระบอก แลดูพะรุงพะรังยิ่ง หมิงชูเดินไปอย่างไม่รีบร้อน ส่งยิ้มทักทายเพื่อนบ้านที่พบกันระหว่างทางจนได้ขนมติดไม้ติดมือมาด้วยจำนวนหนึ่ง เขาใช้เวลาอีกไม่นานนักก็มาถึงที่นาของครอบครัว
“ท่านพ่อ! ข้ากลับมาแล้ว!”
เมื่อเห็นเงาร่างคุ้นตาของบิดาอยู่ในสวน เด็กชายก็ส่งเสียงร้องเรียกออกไป สองเท้าเปลี่ยนเป็นวิ่งเหยาะๆ ริมฝีปากคลี่ยิ้มสดใส ถึงอย่างไรหมิงชูก็ยังเป็นเด็ก จากบ้านไปหลายเดือนย่อมต้องคิดถึงครอบครัวเป็นธรรมดา
“ชูเอ๋อร์!”
เทียนซานทิ้งจอบในมือลง กางสองแขนออกกว้างและรับร่างน้อยๆ ของบุตรชายเข้าสู่อ้อมกอด ตลอดหลายเดือนมานี้เขาและภรรยาต่างเป็นห่วงลูกน้อยจนแทบกินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่เพราะจอมยุทธ์ท่านนั้นไม่ต้องการพบหน้าใคร สองสามีภรรยาจึงไม่กล้าขึ้นเขาไปเยี่ยมเยียนลูกน้อย ผู้เป็นพ่ออย่างเทียนซานจึงได้แต่เฝ้ารออย่างอดทน และทำหน้าที่ผู้นำครอบครัวให้ดีที่สุดเท่านั้น
เงินกว่าสามร้อยเหรียญทองแดงที่หมิงชูนำมามอบให้เมื่อครั้งก่อน เทียนซานนำไปใช้จ่ายอย่างรอบคอบ เขาซื้อยามารักษาตนเอง ซ่อมแซมบ้าน ซื้อเสื้อผ้าเครื่องนอนสำหรับฤดูหนาว ซื้อแพะ เป็ด และไก่มาเลี้ยง พร้อมกับสร้างโรงเลี้ยงสัตว์ขึ้นด้วยเพื่อไม่ให้พวกมันตกตายไประหว่างฤดูหนาวอันโหดร้ายที่กำลังจะมาถึง เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ยังเหลือเงินอยู่อีกเกือบร้อยเหรียญทองแดง คาดว่าฤดูหนาวครานี้บ้านสกุลเทียนคงไม่ลำบากมากนัก
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ฮวาเอ๋อร์ เป็นอย่างไรบ้างขอรับ? ลูกอกตัญญูจากบ้านไปหลายเดือน ลูกรู้สึกผิดยิ่งนัก”
“เด็กโง่ อกตัญญูอะไร เจ้าเป็นเด็ก จะไปเที่ยวเล่นบ้างก็ไม่แปลกอันใด อีกอย่าง เงินที่เจ้าหามาได้คราวก่อนก็ช่วยบ้านเราไว้มากทีเดียว”
เทียนซานลูบศีรษะบุตรชายอย่างเอ็นดู หากเด็กน้อยที่ขยันขันแข็งผู้นี้เป็นลูกอกตัญญูแล้ว ผู้อื่นมิเป็นลูกทรพีหรอกหรือ?
“ว่าแต่เจ้าขนของมามากเช่นนี้ ท่านจอมยุทธ์ออกจากการฝึกตนแล้วหรือ?”
“ถูกแล้วขอรับท่านพ่อ ผู้อาวุโสกลับบ้านไปแล้ว”
เด็กน้อยตอบอย่างฉะฉาน คำพูดคำจาน่าเอ็นดูเสียจนผู้เป็นพ่ออดไม่ได้ที่จะขยี้ผมของลูกชายอย่างมันเขี้ยว มองดูใบหน้าน่ารักน่าชังของบุตรชายแล้วเทียนซานก็อดใจหายไปวูบหนึ่งไม่ได้ จิตประหวัดนึกไปถึงภาพของสตรีนางหนึ่งในความทรงจำเมื่อหลายปีก่อน สตรีที่ตระกองกอดทารกในอ้อมแขนเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยแม้ว่าเรี่ยวแรงของนางใกล้จะหมดลงเต็มที
เขายังจำได้ดีถึงวันที่ได้พบกับสตรีโชคร้ายนางนั้น คำฝากฝังกระท่อนกระแท่นแผ่วเบาของนางยังคงวนเวียนอยู่ในความทรงจำ ตอกย้ำว่าเด็กน้อยนี้หาใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตนไม่ หลายครั้งที่เทียนซานอดคิดไปไม่ได้ว่าครอบครัวแท้ๆ ของเด็กน้อยผู้นี้จะคิดถึงเด็กชายบ้างหรือไม่? หรือว่าทั้งตระกูลได้ตกตายเหมือนผู้เป็นมารดาไปเสียแล้ว?
ยิ่งคิดเทียนซานก็ยิ่งเอ็นดูเด็กน้อยในอ้อมกอดมากขึ้น เขายังนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อปีก่อนด้วย ในตอนนั้นเด็กปากมากในหมู่บ้านพูดล้อเลียนหมิงชูว่าเป็นลูกกำพร้า ถูกเก็บมาเลี้ยง ทำให้ความลับที่สองสามีภรรยาสกุลเทียนปกปิดมานานเป็นอันถูกเปิดเผย ทว่าหมิงชูก็หาได้เสียใจไม่ วันนั้นเด็กน้อยคุกเข่าลงต่อหน้าสองสามีภรรยา ยกน้ำชาคารวะฝากตัวเป็นบุตรบุญธรรมตามธรรมเนียมประเพณี หมิงชูสาบานด้วยชีวิตว่าเขาจะทำหน้าที่ลูกที่ดีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ช่างเป็นคำสาบานที่เทียนซานอดนึกขำไม่ได้ ตั้งแต่รู้ความมิใช่ว่าบุตรชายของเขาก็ทำหน้าที่ลูกที่ดีมาโดยตลอดหรอกหรือ? จะหาลูกบ้านไหนที่เชื่อฟังและเป็นห่วงเป็นใยบิดามารดาได้เท่าหมิงชูอีก ยิ่งมีน้องสาวอีกคนเจ้าลูกชายก็ทั้งเห่อทั้งหวงน้อง ถึงขนาดอยากเลี้ยงแพะเพื่อที่แม่และน้องได้ดื่มนม
แม้ไม่เกี่ยวพันกันโดยสายเลือด แต่สายใยแห่งใจนั้นผูกพันลึกล้ำยิ่งกว่า
“เจ้ากลับมาเหนื่อยๆ เข้าไปพักในบ้านก่อนเถิด”
เทียนซานจูงมือบุตรชายเดินกลับบ้าน เขาอยากจะแย่งตะกร้าบนหลังของลูกน้อยมาแบกเสียเอง แต่เด็กชายก็ไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น พอเห็นว่าบิดาจะแย่งแบกของ หมิงชูก็ออกวิ่งนำเข้าบ้านไปก่อนทันที เรียกรอยยิ้มเอ็นดูระคนเหนื่อยใจจากผู้เป็นบิดาได้เป็นอย่างดี
“ท่านแม่! ฮวาเอ๋อร์!”
หมิงชูส่งเสียงทักทายมารดาและน้องสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ฮูหยินเทียนกำลังสานตะกร้าอยู่อย่างขะมักเขม้น ข้างกายนางมีเปลผ้าผูกอยู่ระหว่างเสาสองต้น ก้อนตุงๆ ที่ก้นเปลนั้นไม่ต้องให้ใครบอกหมิงชูก็รู้ว่าเป็นน้องสาวตัวน้อยของเขา
“ชูเอ๋อร์!”
ใบหน้างามปรากฏรอยยิ้มสว่างไสว นางโยนตะกร้าที่ยังสานไม่เสร็จไปด้านข้างและกางแขนออกเป็นสัญญาณบอกให้เจ้าตัวเล็กของนางโผเข้าหาอ้อมอกอุ่นๆ นั้น
“ข้ากลับมาแล้ว ท่านแม่สบายดีหรือไม่ขอรับ?” หมิงชูกอดมารดาแน่นด้วยความคิดถึงทีหนึ่งก็ผละออกมานั่งสนทนากับนาง
“แม่สบายดี น้องของลูกก็แข็งแรงเช่นกัน แล้วนั่นลูกขนอะไรมาเยอะแยะเชียว” พอมารดาเอ่ยถามก็มีเสียงหัวเราะดังมาจากทางด้านหลัง
“นั่นสิ มองจากด้านหลังไม่เห็นตัวเจ้าเลยนะชูเอ๋อร์”
นั่นเป็นเสียงของเทียนซานที่เพิ่งจะตามมาถึง เขาเดินกะเผลกเข้ามาช่วยถอดตะกร้าและข้าวของต่างๆ ออกจากตัวบุตรชาย สิ่งที่หมิงชูขนมานั้นเป็นเสื้อผ้าเครื่องนอน และของใช้อีกจำนวนหนึ่ง ที่มารดาของเขาจัดให้นำขึ้นเขาไปเมื่อหลายเดือนก่อน ที่เหลือเป็นสมุนไพร และพืชป่าที่ดูคุ้นตา ส่วนของในกระบอกไม้ไผ่นับสิบกระบอกนั้นคือใบชาแห้ง กับน้ำผึ้งอีกจำนวนหนึ่ง
“ตอนที่อยู่บนเขา ผู้อาวุโสสอนข้าหลายอย่าง เหล่านี้เป็นสมุนไพรหายาก ส่วนนั่นคือกล้าชาขอรับ ลูกคิดว่าเอามาปลูกไว้ที่บ้านบ้างก็น่าจะดีไม่น้อย”
เด็กน้อยพูดไปพลางคัดแยกของในตะกร้าออมาวาง สมุนไพรส่วนใหญ่หมิงชูมัดแยกเอาไว้เป็นกำอย่างเรียบร้อย ส่วนกล้าชาก็เป็นกิ่งที่ตอนจนออกรากดีแล้วโดยใช้ใบไม้ห่อส่วนรากเอาไว้ไม่ให้เสียหาย
“ส่วนนี่เป็นใบชาที่ลูกเก็บไว้ตลอดสี่เดือนที่ผ่านมาขอรับ มีชาผู่เอ๋อร์ด้วยนะท่านพ่อ ข้าจะเก็บเอาไว้แล้วปีหน้าจะชงให้ท่านพ่อท่านแม่ดื่ม”
ยิ่งพูดน้ำเสียงของเด็กน้อยก็ร่าเริงขึ้นเรื่อยๆ ผู้เป็นพ่อและแม่ต่างก็มองดูบุตรชายอย่างเอ็นดู เด็กคนนี้ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ขยันขันแข็งและห่วงใยครอบครัวอยู่เสมอ สองสามีภรรยาต่างคิดตรงกันว่าหากแม้นว่าพวกตนจำต้องจากโลกนี้ไปบุตรทั้งสองย่อมไม่ลำบากอย่างแน่นอน
“ลูกพ่อโตขึ้นมากจริงๆ”
เทียนซานกล่าวอย่างปลื้มปีติ มือหนาลูบศีรษะบุตรชายอย่างรักใคร่ ฝ่ายภรรยาของเขาก็ใช้สายตาอ่อนโยนมองมาด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่นางจะเอี้ยวตัวไปรินน้ำจากกาลงในถ้วยใบเล็ก แล้วยื่นให้บุตรชาย
“ลูกกลับมาเหนื่อยๆ ดื่มน้ำเสียหน่อยเถิด” นางกล่าว
“ขอบคุณขอรับท่านแม่” เด็กน้อยรับถ้วยน้ำมาดื่มอย่างกระหาย หมิงชูรีบเร่งเดินทางกลับบ้าน ตอนนี้จึงรู้สึกเหนื่อยยิ่งนัก