“ชูเอ๋อร์ พ่อรู้ว่าเจ้าเป็นกังวลเกี่ยวกับฤดูหนาว แต่เงินของเรายังเหลืออีกมาก เสื้อผ้า ผ้าห่มสำหรับฤดูหนาวก็ซื้อเอาไว้แล้ว พ่อคิดว่าหากเราซื้อเนื้อจากเพื่อนบ้าน และถนอมเนื้อไว้ก็จะสามารถใช้เป็นอาหารได้อีกนาน ลูกไม่ต้องกลัวว่าจะอดอยากเหมือนเมื่อปีก่อนหรอก”
ในสายตาของเทียนซาน เรื่องที่เด็กเล็กๆ จะเป็นกังวลได้ก็คงหนีไม่พ้นความยากลำบากที่พวกเขาไม่อยากเผชิญ แต่หมิงชูหาใช่เด็กธรรมดาทั่วไปไม่
“ข้าไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น” เด็กชายปฏิเสธ ใบหน้าน้อยๆ ส่ายไปมา กล่าวต่อไปว่า “ข้ากลัวว่าท่านพ่อจะล้มป่วยลงอีก ฮวาเอ๋อร์เองก็ยังเล็กนัก ข้ากลัวว่าหากพวกเราป่วยแล้วจะไม่มีเงินจ่ายค่าหมอกับค่ายาขอรับ”
“จริงของลูก”
เทียนซานพยักหน้าก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “เช่นนั้นพ่อจะไปทำงานที่โรงเตี๊ยมไผ่เขียวเอง”
“แต่ท่านพ่อ ลูกกับท่านแม่เพียงสองคนทำงานในไร่ไม่ไหวหรอกนะขอรับ ไหนจะต้องดองผักอีก”
หมิงชูกล่าวด้วยเหตุผล เด็กชายพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่พูดถึงความพิการของผู้เป็นบิดา
เรื่องที่หมิงชูยกขึ้นมาพูดนั้นเป็นความจริงที่ไม่อาจมองข้ามไปได้เลย เทียนซานเองก็ทราบดีว่านาข้าวที่ปลูกไว้ใกล้จะถึงวันเก็บเกี่ยวแล้ว ผักสวนครัวที่ปลูกไว้ก็เช่นเดียวกัน อีกทั้งผลิตผลที่เก็บมาได้ก็ต้องมาผ่านกระบวนการแปรรูปอีกหลายอย่างเพื่อให้เก็บเอาไว้ได้นานๆ
ข้าวต้องนำมานวดให้หลุดจากรวง ตากให้แห้งสนิทและเก็บใส่ถุงกระสอบไว้กิน และต้องทำเป็นข้าวสารใส่หม้อเอาไว้ด้วย ส่วนผักสวนครัวนั้น หากไม่ตากให้แห้ง ก็ต้องนำมาเข้ากระบวนการถนอมอาหารเพื่อให้เก็บเอาไว้ได้นานๆ งานเหล่านี้ปกติแล้วเทียนซานกับฮูหยินเทียนจะช่วยกันทำ โดยมีหมิงชูเป็นลูกมือคอยช่วยด้วยดังนั้นจึงไม่มีทางเลยที่เด็กน้อยกับมารดาจะทำงานทั้งหมดนี้ได้โดยลำพังเพียงสองคน
“อา...นั่นสินะ”
เทียนซานเองก็เพิ่งนึกได้ เขามัวแต่คิดไม่อยากให้บุตรชายต้องลำบากจนหลงลืมไปเสียสนิทว่างานในบ้านก็มีมากเช่นกัน
“เช่นนั้นพ่อจะให้แม่เขาฝากงานให้ลูก แต่ถ้าทำไม่ไหวก็อย่าฝืนนะรู้ไหม”
“ขอรับท่านพ่อ” เด็กน้อยรับคำอย่างแข็งขัน
“ลูกเป็นเด็กดีเช่นนี้พ่อคงต้องให้รางวัลเสียแล้ว หน้าหนาวนี้พ่อจะทำเนื้อรมควันเอาไว้มากๆ ดีไหม?”
“จริงหรือขอรับท่านพ่อ? ให้ท่านแม่ทานด้วยนะขอรับ”
เด็กน้อยตาวาวทันทีที่ได้ยิน เขาชื่นชอบเนื้อรมควันมาก เพราะหากทำให้ดีแล้วเนื้อภายในจะยังแดงใสน่ารับประทาน และรสชาติอร่อยยิ่ง แต่มันก็ทำได้ยากเช่นกัน แถมยังต้องใช้เกลือเยอะมาก สำหรับเมืองที่ห่างไกลทะเลเช่นเมืองหลงซาน นี่สามารถนับเป็นอาหารชั้นเลิศได้เลยทีเดียว
“แน่นอน พ่อย่อมต้องให้แม่ของลูกกินด้วยอยู่แล้ว”
เทียนซานพูดพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ในใจก็คิดว่าคงต้องรีบไปซื้อเกลือมากักตุนเอาไว้มากกว่าเดิมเสียแล้ว
หลังจากสองพ่อลูกตกลงกันได้ ภารกิจต่อไปก็คือการเกลี้ยกล่อมให้ฮูหยินตระกูลเทียนเห็นดีด้วย นับเป็นงานที่หนักหนาไม่น้อยแต่สองพ่อลูกก็ทำสำเร็จ วันรุ่งขึ้นฮูหยินเทียนจึงพาบุตรชายไปฝากฝังแก่พ่อบ้านลู่ผู้ดูแลกิจการทั้งหมดของโรงเตี๊ยมไผ่เขียว
พ่อบ้านลู่เห็นหมิงชูเป็นเด็กหน้าตาน่ารักท่าทางเฉลียวฉลาดก็นึกเอ็นดูอยู่หลายส่วน ประกอบกับรู้จักมารดาของเด็กชายเป็นอย่างดีเขาจึงตัดสินใจรับหมิงชูเข้าทำงาน โดยจะให้หมิงชูทำงานทั่วไปก่อน แล้วค่อยโยกย้ายไปตามความถนัดอีกทีหนึ่ง
“วันนี้เจ้าไปช่วยงานอาหวงก่อนก็แล้วกัน”
พ่อบ้านกล่าวแล้วก็หันไปตะโกนบอกลุงหวงที่กำลังจ่ายเงินให้แก่ชาวบ้านที่นำของป่ามาขาย ฝ่ายหมิงชูก็คำนับรับคำสั่งแล้วรีบวิ่งไปช่วยงานลุงหวงทันที
เนื่องจากหมิงชูกับลุงหวงคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วการทำงานในวันแรกจึงผ่านไปได้ด้วยดี เด็กน้อยช่วยคัดแยกของป่าที่ชาวบ้านนำมาขาย และขนของไปเก็บ ตลอดทั้งวันเขาวิ่งวุ่นไปมาระหว่างประตูตะวันตกกับโรงเก็บของ ไม่ได้ย่างเท้าเข้าไปภายในโรงเตี๊ยมแม้แต่ก้าวเดียว
บ่าวไพร่ที่ได้พบเห็นหมิงชูต่างก็รู้สึกเอ็นดูเด็กชายด้วยกันทุกคน ทั้งนี้ก็เป็นเพราะความขยันขันแข็งบวกกับอัธยาศัยที่ดีของเขานั่นเอง
พอถึงยามซวีงานรอบนอกก็ไม่มีอะไรอีก แต่ภายในโรงเตี๊ยมนั้นกลับวุ่นวายมากขึ้นกว่าเดิม พ่อบ้านลู่คิดว่าเด็กน้อยน่าจะเหน็ดเหนื่อยเต็มทีจึงวางมือจากงานของตน และเดินไปยังสถานที่ที่หมิงชูทำงานอยู่ เขาตั้งใจจะออกมาบอกกล่าวแก่เด็กชายให้ไปพักได้ เพราะโรงเตี๊ยมไผ่เขียวมีเรือนนอนสำหรับบ่าวไพร่ที่กว้างขวาง เด็กตัวเล็กๆ เช่นหมิงชู เพียงแค่ปูผ้าที่มุมหนึ่งก็นอนได้แล้ว ทว่าพอได้เห็นใบหน้าที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อของเด็กชายแล้วก็พลันชะงักไป
แม้แต่บ่าวเด็กๆ ที่ซื้อตัวมา เมื่อคราวมาอยู่แรกๆ ก็ยังเอาแต่ร้องไห้หาบิดามารดา ทั้งๆ ที่พวกเขาเหล่านั้นไม่มีบ้านให้กลับไป แล้วจะนับประสาอะไรกับเด็กที่มีมารดาผู้แสนใจดีรอคอยอยู่ที่บ้าน ยิ่งคิดชายชราก็ยิ่งหนักใจ หากเด็กน้อยผู้นี้เป็นเพียงบ่าวธรรมดาเขาคงตัดสินใจได้ง่ายกว่านี้
“อันที่จริงเจ้าควรจะพักรวมกับพวกบ่าว แต่เห็นแก่ที่แม่เจ้าเป็นคนเก่าคนแก่ของเรามานาน ข้าจะอนุญาตให้กลับบ้านได้ พรุ่งนี้ยามเหม่าค่อยมาใหม่ ห้ามมาสายเข้าใจหรือไม่?”
สุดท้ายพ่อบ้านก็ใจอ่อน ถึงอย่างไรหมิงชูก็ยังไม่ถึงวัยที่จะมาทำงานเช่นนี้ ผ่อนปรนให้สักนิดก็คงจะไม่เป็นเรื่องใหญ่เกินไปนัก
“ผู้น้อยเข้าใจแล้ว ขอบคุณท่านพ่อบ้านมากขอรับ”
เด็กน้อยผสานมือคารวะแล้วจึงขอตัวกลับบ้าน พ่อบ้านลู่ยังใจดีมอบหมั่นโถวลูกหนึ่งให้หมิงชูนำไปกินระหว่างทางด้วย หมิงชูจึงจากโรงเตี๊ยมไผ่เขียวมาพร้อมรอยยิ้มและหมั่นโถวหนึ่งลูก ในพกเสื้อของเขายังมีเงินค่าจ้างของวันนี้จำนวนยี่สิบอีแปะ แม้จะเทียบไม่ได้กับการขายของป่า แต่ในแง่ของความสม่ำเสมอและมั่นคงแล้วนับว่าดีกว่ามาก เพราะในฤดูหนาวหมิงชูจะไม่สามารถขึ้นเขาไปเก็บของป่าได้นั่นเอง