1
เมืองหลงซานเป็นเมืองเล็กๆ ในแคว้นหลงมันเป็นหนึ่งในสามเมืองที่มีอาณาเขตติดต่อกันกับป่าหงหลง ป่าที่ขึ้นชื่อว่าอันตรายและเต็มไปด้วยสัตว์อสูร บางคราสัตว์อสูรในป่าก็ออกมาสร้างความวุ่นวายแก่ชาวบ้านจนมีผู้คนบาดเจ็บไปไม่น้อย เรือกสวนไร่นาที่เสียหายก็มีมากไม่แพ้กัน แต่ก็เพราะป่าแห่งนี้เช่นกันที่ทำให้ชาวเมืองมีรายได้ไม่ขาดมือ
สัตว์อสูรทุกตัวจะมีแก่นพลังอยู่ภายในร่างกาย แก่นพลังนี้เป็นประโยชน์ต่อการฝึกฝนของผู้ฝึกยุทธ์อย่างมาก จอมยุทธ์ทั่วหล้าจึงแวะเวียนมาที่เมืองซึ่งมีอาณาเขตติดกับป่าหงหลงอย่างไม่ขาดสาย และหนึ่งในเมืองเหล่านั้นก็คือเมืองหลงซาน เมืองเล็กๆ ห่างไกลแห่งนี้จึงคึกคักเต็มไปด้วยผู้คนอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่โรงเตี๊ยมไผ่เขียวอันเป็นโรงเตี๊ยมอันดับหนึ่งของเมือง และโรงประมูลไท่เกาที่เป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนสินค้าต่างๆ ของชาวยุทธ์
เทียนหมิงชูเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในเมืองหลงซาน แท้จริงแล้วเขาเป็นเด็กกำพร้า มารดาตกตายไปตั้งแต่ตอนที่เขายังเป็นทารก ส่วนบิดาแท้ๆ ของเขานั้นไม่มีผู้ใดรู้ว่าเป็นใคร ผู้คนทราบแต่ว่ามารดาของเด็กชายมาจบชีวิตลงที่เมืองหลงซานเพียงลำพัง และสองสามีภรรยาสกุลเทียนซึ่งไม่มีบุตรสืบสกุลได้รับเลี้ยงเด็กชายในฐานะลูกบุญธรรมเท่านั้น
ปีนี้เทียนหมิงชูมีอายุได้หกปี และเริ่มช่วยงานครอบครัวที่นอกเหนือไปจากงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ได้แล้ว ทุกๆ วันเด็กน้อยจะรีบตื่นแต่เช้า ช่วยงานมารดาในครัวอย่างแข็งขัน ก่อนจะตามบิดาไปทำงานในไร่ ช่วยรดน้ำ พรวนดินพืชผักในแปลงอย่างขยันขันแข็ง เขาไม่เคยปริปากบ่น หรือออกไปเล่นซนเหมือนเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน สิ่งเดียวที่เด็กชายสนใจ คือการช่วยเหลืองานของบิดามารดาอย่างสุดความสามารถเท่านั้น
ตั้งแต่อายุได้ห้าขวบเทียนซานผู้เป็นบิดาจะพาหมิงชูไปเก็บของป่าบนเขามาขายในเมืองทุกๆ สัปดาห์ ภูเขาที่สองพ่อลูกพากันขึ้นไปนั้นไม่ได้อยู่ในเขตป่าหงหลงจึงไม่มีสัตว์อสูรอาศัยอยู่ มีเพียงสัตว์และพืชพันธุ์ที่พบเห็นได้ตามป่าทั่วไปเท่านั้น ชาวบ้านคนอื่นๆ ต่างก็ขึ้นเขามาหาของป่ากันเป็นประจำ แต่ยามใดที่ฝูงนกส่งเสียงระวังภัยดังก้องไปทั้งป่า เมื่อนั้นชาวบ้านทั้งหลายก็จะพากันหลีกหนีไปให้ไกล เพราะมันเป็นสัญญาณที่บอกว่ามีสัตว์อสูรหลุดออกมาจากป่าหงหลงนั่นเอง
เทียนซานสอนทุกอย่างที่ควรรู้เกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดในป่าให้บุตรชาย คราแรกแรกเขาเพียงแค่อยากให้บุตรชายมีความรู้ติดตัวเอาไว้ใช้เลี้ยงชีพเมื่อเติบใหญ่เท่านั้น แต่ใครจะคาดคิดว่าเวลาที่หมิงชูต้องใช้ความรู้เหล่านั้นจะมาถึงเร็วยิ่งนัก เรื่องทั้งหมดมันเริ่มมาจากเหตุการณ์ที่เหมือนกับฝันร้ายนั่น
เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนเมืองหลงซานถูกสัตว์อสูรบุกเข้าจู่โจม เล่าลือกันว่าเป็นเพราะชาวยุทธ์กลุ่มหนึ่งขโมยไข่ของมันมา ทำให้สัตว์อสูรตนนั้นคลุ้มคลั่ง มันอาละวาดไปทั่วและฝ่าม่านพลังที่ล้อมรอบป่าหงหลงออกมา กว่าทหารประจำเมืองและชาวยุทธ์จะช่วยกันกำราบสัตว์อสูรตนนั้นลงได้ บ้านเรือนก็เสียหายไปหลายหลัง ผู้คนได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ชาวเมืองเดือดร้อนกันหลายครอบครัว และครอบครัวสกุลเทียนก็เป็นหนึ่งในนั้น
เทียนซานได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง และขาก็หักจนต้องดามไม้เอาไว้ไม่อาจเดินเหินได้โดยสะดวก เรื่องราวในบ้านจึงต้องให้ฮูหยินเทียนเป็นผู้จัดการดูแลทั้งหมด แต่นางก็อ่อนแอนัก อีกทั้งยังมีบุตรสาววัยไม่ถึงหนึ่งขวบปีให้ต้องดูแล แม้นางจะสามารถทำหน้าที่ภรรยาได้เป็นอย่างดีไม่มีขาดตกบกพร่อง แต่กำลังของนางก็มีจำกัดนัก
ดังนั้นเทียนหมิงชูจึงไม่อาจอยู่เฉยได้ เด็กชายรับหน้าที่ดูแลสวนและที่นาของบ้านแทนบิดา แต่ถึงหมิงชูจะพยายามช่วยงานที่บ้านอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถหาเงินได้เพียงพอต่อความต้องการ เรื่องเสบียงอาหารนั้นบ้านสกุลเทียนพอมีข้าวเปลือก ผักดองและอาหารแห้งอยู่บ้าง ทว่าพวกเขาก็จำเป็นต้องซื้อยามารักษาเทียนซาน และยังต้องซ่อมแซมบ้านที่เสียหายจากการบุกทำลายของสัตว์อสูรด้วย ดังนั้นเทียนหมิงชูในวัยหกขวบปีจึงตัดสินใจขึ้นไปเก็บของป่าบนเขา คราแรกสองสามีภรรยาสกุลเทียนก็คัดค้าน แต่เด็กชายก็ยืนกรานว่าสามารถดูแลตัวเองได้ หลังจากเกลี้ยกล่อมอยู่นานผู้เป็นบิดามารดาก็ยินยอมปล่อยให้ลูกน้อยขึ้นเขาไปเพียงลำพัง พวกเขาทำได้เพียงภาวนาให้สถานการณ์บนเขายังคงเงียบสงบและปลอดภัยเหมือนเช่นหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
แต่ใครจะคาดคิดว่าเด็กน้อยจะไปพบกับเฒ่าหมื่นพิษเข้าโดยบังเอิญ มารร้ายแห่งยุทธภพผู้นี้ฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตา และไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลใดๆ ด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามนับว่าโชคของหมิงชูยังดีอยู่บ้างที่ตาเฒ่าไม่คิดจะสังหารเขา และเด็กน้อยเองก็ฉลาดพอที่จะไม่ขัดใจตาเฒ่าอารมณ์ร้อนผู้นั้น
หลังจากพบกันครั้งแรก เด็กน้อยก็ติดอยู่บนเขาถึงสองวันสองคืน จนคนที่บ้านคิดว่าเขาตกตายไปเสียแล้ว ทว่าพอถึงวันที่สามหมิงชูก็หาข้ออ้างลงจากเขาได้สำเร็จ
“นายท่าน ท่านทานแต่ปลาย่างกับผักป่าทุกวันไม่เบื่อบ้างหรือขอรับ?”
หมิงชูถามขึ้นในเช้าวันที่สาม ขณะที่นำปลาย่างกับผักป่าสดๆ มาให้เฒ่าหมื่นพิษ
“เฮอะ! แล้วเจ้าทำอย่างอื่นเป็นด้วยรึ?”
ตาเฒ่าแค่นหัวเราะอย่างดูแคลน สำหรับเขาแล้วเจ้าเด็กไร้ค่านี่ทำอะไรไม่ได้เรื่องเลยสักอย่าง หากเด็กน้อยไม่เชื่อฟังเขาเป็นอย่างดี เฒ่าหมื่นพิษก็คงจะลงมือสังหารไปนานแล้ว
“บ่าวทำไม่เป็น แต่ในเมืองมีโรงเตี๊ยมชื่อดังอยู่ขอรับ ข้าคิดว่าอาหารที่นั่นน่าจะถูกปากนายท่าน”
หมิงชูก้มหน้าอธิบาย ไหล่ลู่ตัวสั่นดูหวั่นเกรงโทสะของผู้อาวุโสเป็นอย่างมาก
“เจ้ามีเงินซื้อ?”
ตาเฒ่าเลิกคิ้วถาม ก่อนจะปรายตามองสภาพ ราวกับยาจกของเด็กน้อยอย่างดูถูก
“บ่าวจะเอาของป่าเหล่านี้ไปขาย คาดว่าน่าจะซื้อกับข้าวอย่างดีได้สักอย่างสองอย่างขอรับ”
แม้เสียงจะสั่นไปบ้างแต่เด็กน้อยก็กล่าวถ้อยคำทั้งหมดออกมาได้อย่างครบถ้วนไม่ติดขัด พอกล่าวจบก็ปิดปากขบฟันแน่น ศีรษะน้อยๆ ยังคงก้มไม่ยอมเงย ท่าทางคล้ายหวาดกลัวว่าจะถูกดุด่า
ตาเฒ่าหมื่นพิษเห็นเช่นนั้นก็แสยะยิ้ม เขาชอบใจนักเวลาที่เห็นผู้อื่นแสดงท่าทางหวาดกลัวจนตัวสั่น มือเหี่ยวๆ ยกขึ้นลูบเคราสีขาวของตนช้าๆ ใช้สายตาดูแคลนมองของป่าในตะกร้าไผ่สานของเด็กน้อย ในนั้นมีผักป่า เห็ด และรังผึ้ง จำนวนค่อนข้างมากแต่หาใช่ของที่มีราคาสูงไม่
“ของพวกนั้นจะขายได้สักกี่อีแปะกันเชียว?”
เฒ่าหมื่นพิษกล่าวพลางส่ายหน้า แต่เมื่อเหลือบมองปลาย่างเสียบไม้ในมือของตนแล้วก็ลอบถอนหายใจ เขาเองก็เบื่ออาหารพื้นๆ นี่แล้วเหมือนกัน
“หากจะเอาขยะพวกนี้ไปขาย สู้เจ้าหาสมุนไพรไปขายไม่ดีกว่าหรือ?”
ว่าแล้วมารเฒ่าก็ร่ายยาวถึงชื่อสมุนไพรและราคาที่ใช้ซื้อขายกัน จนสมองน้อยๆ ของหมิงชูแทบจะจดจำไม่ไหว เด็กชายถึงกับลอบถอนหายใจที่แผนของตนได้ผลดีเกินคาดเช่นนี้
ถูกแล้ว ทั้งหมดแผนการของหมิงชู แผนที่จะช่วยให้เขาได้กลับบ้าน และได้รับค่าตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ จากการช่วยชีวิตมารเฒ่าแห่งยุทธภพเอาไว้ ทั้งร่างกายและเสียงอันสั่นเทาก็หาได้เกิดจากความกลัวไม่ แท้ที่จริงมันเป็นผลจากการกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถของหมิงชูเท่านั้น
แค่คิดว่าปรมาจารย์หมื่นพิษถูกหลอกจนเชื่อสนิทใจแล้วเด็กชายก็อดที่จะขำไม่ได้จริงๆ
เด็กน้อยยืนฟังผู้เฒ่าจนจบ จากนั้นก็ค้อมคารวะอย่างนอบน้อมและสะพายตะกร้าขึ้นหลังออกท่องป่าหาสมุนไพรอย่างรีบเร่ง มันสัญญากับเฒ่าหมื่นพิษเอาไว้ว่าจะรีบกลับมาก่อนมืด หากกลับมาไม่ทันคงโดนตาเฒ่าลงโทษอีกเป็นแน่