ร่างเล็กเดินไปตามถนนที่มืดมิด อาศัยเพียงแสงจันทร์และแสงโคมที่มีอยู่เพียงประปรายเป็นเครื่องนำทาง เด็กชายใช้ท่าเท้าเดินไปอย่างไม่รีบร้อนแต่ก็รวดเร็วอย่างยิ่ง ไม่นานหมิงชูก็มาถึงประตูผี ประตูเมืองทางทิศตะวันตกที่จะเปิดอยู่ตลอดเวลาไม่เคยปิด เพราะชาวยุทธ์ไปมาไม่เกรงใจผู้ใด อีกทั้งชาวบ้านที่เข้ามาทำงานในเมืองจนถึงดึกดื่นก็มีไม่น้อย คนเหล่านี้ไม่ใช่บ่าวไพร่ในจวนหรือร้านใด เป็นกลุ่มคนที่ขายแรงงานซึ่งหาได้ยากในเมืองใหญ่ ทั้งนี้เป็นเพราะว่า ร้านรวงต่างๆ ในเมืองหลงซานขาดความพร้อมในการเลี้ยงดูบ่าวไพร่จำนวนมาก การจ่ายค่าจ้างเล็กๆ น้อยๆ แทนการเลี้ยงดูจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะถึงอย่างไรค่าจ้างแรงงานทั่วไปก็มีค่าเทียบได้กับหมั่นโถวสองสามลูกเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีชาวบ้านจำนวนหนึ่งที่เข้าเมืองมาทำงานรับจ้างชั่วคราวอีกด้วย ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะมารับจ้างซ่อมแซมอาคารที่เสียหายจากการต่อสู้ของชาวยุทธ์ คนเหล่านี้พอตกเย็นก็จะวางมือจากงาน รับค่าจ้างแล้วก็แยกย้ายกันไป ที่ดีหน่อยก็จะรีบกลับบ้าน แต่พวกที่แวะกินดื่มก็มีมากเช่นกัน และอีกสถานที่ที่พวกเขานิยมไปหาความสำราญกันก็คือที่ประตูผี บ่อนพนันที่คึกคักที่สุดในหลงซาน
“อ้าว! นั่นเสี่ยวเทียนไม่ใช่หรือ? ไปเที่ยวเล่นที่ไหนมา เหตุใดจึงกลับบ้านเอาป่านนี้?”
หมิงชูยังไม่ทันจะก้าวเข้าไปในซุ้มประตู นายทหารผู้หนึ่งก็ส่งเสียงทักขึ้น ชายผู้นี้เป็นบุตรชายของเพื่อนบ้านที่หมิงชูคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี ตอนนี้เขาเป็นทหารในสังกัดกองกำลังป้องกันเมืองของหลงซาน
“วันนี้ข้าไปช่วยงานที่โรงเตี๊ยมไผ่เขียวมาขอรับพี่จิ้ง”
เด็กน้อยประสานมือตอบ ทหารยามคนอื่นเมื่อเห็นว่าเขาเป็นเด็ก และยังรู้จักกับทหารยามผู้หนึ่งด้วยจึงปล่อยให้ผ่านไปได้โดยไม่ซักถามอะไรมากนัก
หมิงชูก้าวเดินไปโดยไม่สนใจผู้คนที่นั่งล้อมกันเป็นวงรอบโต๊ะเตี้ยๆ ตลอดแนวกำแพง เสียงเฮดังสลับไปกับเสียงเขย่าชามใส่ลูกเต๋า กลิ่นสุราและยาสูบคละคลุ้งไปทั่วบริเวณจนเด็กน้อยแทบจะสำลัก หมิงชูกลั้นหายใจและเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เมื่อออกจากประตูผีมาได้แล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะรีบบ่ายหน้าสู่ทิศตะวันออกอันเป็นทิศที่ตั้งของบ้านสกุลเทียนทันที
ถนนรอบนอกไม่มีโคมไฟจุดไว้อย่างในเมืองจึงเหลือเพียงแสงจันทร์นำทางเท่านั้น นัยน์ตาสีเปลือกไม้จ้องมองไปเบื้องหน้า ใต้แสงสลัวของดวงจันทร์หมิงชูมองเห็นได้ชัดเจนเพียงในระยะสิบก้าวเท่านั้น แต่เดินไปได้ไม่เท่าไรก็ได้ยินเสียงประหลาดจากทางด้านหลัง เด็กชายพลันเก็บหมั่นโถวลูกเล็กเข้าไปในพกเสื้อ มือน้อยหักกิ่งไม้จากพุ่มไม้ข้างทางมากิ่งหนึ่ง สองเท้าที่ก้าวเดินตามแบบแผนพลันเปลี่ยนไป กลายเป็นการก้าวย่างแบบกึ่งเดินกึ่งกระโดด มือก็แกว่งกิ่งไม้เล่นไปมา คล้ายเด็กน้อยที่กระโดดโลดเต้นเล่นไปตามประสา
ทว่าสองหูและสองตากลับตื่นพร้อมอย่างเต็มที่ หมิงชูมั่นใจว่าไม่ได้ฟังผิดไป แม้จะแผ่วเบาแต่ก็มีเสียงฝีเท้าติดตามเขามาแน่นอน หมิงชูแสร้งทำเป็นไม่รู้ตัว แกว่งไม้ในมือซ้ายไปพลางใช้มือขวาลิดใบและกิ่งแขนงที่ไม่จำเป็นออกไปพลาง ค่อยๆ เปลี่ยนกิ่งไม้ให้กลายเป็นอาวุธไปทีละนิด ทีละน้อย และแล้วสิ่งที่คาดการณ์เอาไว้ก็เกิดขึ้น
“นี่ไอ้หนู ส่งเงินมาซะดีๆ”
พลันร่างผอมเกร็งของชายในชุดผ้าฝ้ายซอมซ่อก็ก้าวออกมายืนขวางเส้นทางของเด็กชายเอาไว้ การแต่งตัวที่เหมือนยาจกนั้นไม่สะดุดตาเท่ากับดาบเล่มใหญ่ที่สะพายอยู่ข้างเอวของชายผู้นั้น อีกทั้งนัยน์ตาคมดุจเหยี่ยวที่ทอประกายดุดันอย่างน่ากลัวนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะมองข้ามไปได้โดยง่าย
หมิงชูเกลียดการเดินทางยามค่ำคืนเพราะแบบนี้เอง กลางวันเขาจะพกเงินกี่พวงก็ไม่มีปัญหา ทว่าพอบ่อนประตูผีเปิดแล้ว มีเงินแม้เพียงอีแปะเดียวก็ถือเป็นความผิด สีหน้าหิวกระหายเงินทองของคนตรงหน้าทำให้หมิงชูรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย ไม่ว่าท่านแม่จะสรรหาเรื่องผีอะไรมาเล่าให้ฟัง ผีชนิดเดียวที่เด็กกลัวที่สุดก็คือผีพนัน
“ข---ข้า ข้าไม่มีเงิน” เด็กน้อยหดคอห่อไหล่ก้าวถอยหลังไปด้วยหวั่นเกรง สองแขนกอดอกเอาไว้ราวกับจะปกป้องถุงเงินน้อยๆ ของตน ท่าทางเช่นนั้นทำให้ผีพนันยิ้มเยาะออกมา มันคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กน้อยเช่นนี้คงชิงเงินมาได้ไม่ยากนัก
“อย่ามาโกหก!” มันตวาดลั่น “ข้าได้ยินเจ้าคุยกับทหารพวกนั้นหมดแล้ว!” เพราะได้ยินบทสนทนาของเด็กน้อยกับทหารยาม ชายผู้ถูกผีพนันเข้าสิงจึงสะกดรอยตามมาด้วยหวังจะแย่งชิงเงินค่าจ้าง
“ข---ข้าไม่ให้!” เด็กน้อยกอดอกแน่น สองเท้าก้าวถอยหลังไปอีก หมิงชูย่อเข่าเล็กน้อยเตรียมใช้ท่าเท้าทันทีหากว่ามีอะไรเกิดขึ้น ประสาทของเขาตื่นพร้อมเต็มที่ แม้ชายตรงหน้าจะมีกลิ่นสุราฉุนกึก คล้ายดื่มสุราไปมากแล้ว แต่หมิงชูก็ไม่อาจประมาทได้
พอผีพนันเมามายเห็นว่าเด็กน้อยไม่ยินยอมจะมอบเงินให้ มันก็ชักดาบออกจากฝักแล้วพุ่งเข้าใส่เด็กน้อยทันที ดาบใหญ่ตวัดฟาดฟันผ่านอากาศเป็นประกายสีเงินในราตรี ส่งเสียงดุดันจนขนหลังคอของเด็กชายลุกชัน กระนั้นหมิงชูก็สามารถขยับเบี่ยงตัวหลบได้ทันท่วงที แรงลมที่พัดผ่านร่างของเขาไปนั้นคล้ายกับลมที่เกิดขึ้นจากพลังปราณของมารเฒ่าอยู่บ้าง แต่ก็เทียบกันไม่ติด
เด็กน้อยใช้ท่าเท้าก้าวถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว มือซ้ายข้างที่ถือกิ่งไม้ยื่นมาด้านหน้าเล็กน้อย ส่วนมือขวาก็กำเป็นหมัดอยู่ข้างสะโพกพร้อมป้องกันช่วงล่างของตน
หมิงชูตั้งท่าได้ไม่ถึงอึดใจร่างผอมเกร็งของผีพนันก็พุ่งเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้มันปลดปล่อยลมปราณเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ฝุ่นดินรอบเท้าของมันฟุ้งกระจายขึ้นในอากาศ ก่อเกิดเป็นรูปร่างล่องลอยอยู่เหนือพื้นดิน
น่าเสียดายที่แสงจันทร์ไม่สว่างพอที่จะทำให้มองเห็นฝุ่นเหล่านั้นได้ถนัด หมิงชูนึกขัดใจไม่น้อยกับทัศนวิสัยที่ย่ำแย่ยามค่ำคืน การรับมือกับผู้ใช้พลังปราณไม่ใช่เรื่องง่าย เด็กน้อยหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ เพ่งสมาธิไปที่การโจมตีของศัตรู เขาไม่อาจต่อต้านหรือจู่โจมกลับหาไม่แล้วคงได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน เด็กชายทำได้เพียงหลบเลี่ยงเท่านั้น นี่คือสิ่งที่หมิงชูได้เรียนรู้จากการรับมือกับอารมณ์แปรปรวนของมารเฒ่า
ประกายดาบสีเงินพุ่งตรงเข้ามาพร้อมลมหอบหนึ่ง เด็กน้อยก้าวเท้าเบี่ยงตัวไม่ต่อต้านราวกับไผ่ลู่ลม ทว่าพอได้จังหวะก็แตะปลายไม้ลงบนใบดาบ ปัดออกไปเล็กน้อยพร้อมกับวาดขาเตะข้อพับเข่าของผีพนันอย่างรวดเร็ว กระบวนท่านี้หมิงชูไม่จำเป็นต้องออกแรงมาก แต่ก็สามารถทำให้ผีพนันล้มหน้าคะมำลงไปได้ พอเจ้าผีพนันล้มลงไปแล้ว เด็กชายก็รีบคว้าดาบใหญ่มาจากมือของมันทันที สองมือน้อยกำด้ามดาบแน่น เงื้อขึ้นสุดล้าแล้วเหวี่ยงลงเต็มแรง ใช้ด้านไร้คมฟาดใส่ท้ายทอยของผีพนันอย่างไม่คิดออมแรง เพราะถึงอย่างไรเรี่ยวแรงของเด็กก็ไม่มากมายอะไรอยู่แล้ว
ผีพนันยังคงมึนงงและสับสน สมองที่ถูกครอบงำด้วยฤทธิ์สุราไม่อาจประมวลผลได้ดีนัก ยังไม่ทันที่จะโคจรพลังปราณคุ้มกันร่างกาย ท้ายทอยของมันก็ถูกฟาดโดยแรงจนสลบไป
เช้าวันต่อมาจอมยุทธ์ที่ถูกผีพนันเข้าสิงก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดศีรษะ แต่เขาก็จดจำไม่ได้เลยว่าตนมานอนอยู่กลางทางเช่นนี้ได้อย่างไร
ฝ่ายเด็กน้อยที่รอดพ้นจากเงื้อมือของผีพนันเมามายไปได้อย่างหวุดหวิดก็รีบรุดกลับบ้านโดยไม่คิดหันกลับมามองผลงานของตนอีกเป็นครั้งที่สอง