หมิงชูยังคงไปกลับระหว่างบ้านกับโรงเตี๊ยมอยู่อีกหลายสัปดาห์ จนกระทั่งล่วงเข้าสู่ฤดูหนาว พ่อบ้านลู่จึงบอกให้เด็กชายพักที่โรงเตี๊ยม เจ็ดวันจึงจะให้กลับบ้านครั้งหนึ่ง และหมิงชูก็จะได้รับเงินค่าแรงทุกๆ เจ็ดวันด้วย
ตอนนี้เด็กน้อยกลายมาเป็นเสี่ยวเอ้อตัวน้อยไปเสียแล้ว เนื่องจากเถ้าแก่ลู่เห็นว่าเด็กชายมีอัธยาศัยดีทั้งหน้าตาก็น่ารักน่าเอ็นดู แขกไปใครมาก็ยิ้มแย้มให้ค่าขนมหมิงชูเสียทุกรายไป แน่นอนว่าค่าขนมเหล่านั้นเด็กชายต้องส่งมอบให้พ่อบ้านลู่อย่างไม่อาจบิดพลิ้ว
ทุกๆ วันเทียนหมิงชูจะตื่นขึ้นตั้งแต่ปลายยามอิ๋นทำธุระส่วนตัวแล้วรีบไปช่วยงานในครัว ครัวของโรงเตี๊ยมไผ่เขียวนั้นแบ่งออกเป็นสองส่วนคือครัวร้อนที่ใช้ปรุงอาหาร กับครัวเย็นที่ใช้เตรียมเครื่องปรุงและวัตถุดิบต่างๆ ครัวเย็นมีอยู่ด้วยกันหลายห้อง ทั้งห้องทำเต้าหู้ ห้องตากเนื้อ และอื่นๆ หมิงชูได้ประจำอยู่ที่ห้องเส้น ซึ่งเป็นห้องสำหรับทำเส้นบะหมี่และเส้นก๋วยเตี๋ยว หน้าที่ของเขาคือการทำเส้นก๋วยเตี๋ยวที่ไม่ต้องอาศัยทักษะหรือเรี่ยวแรงมากนัก แค่ผสมแป้งให้ถูกหลักและใช้ไม้ที่เตรียมไว้ช่วยนวดแป้งให้เข้าที่เท่านั้น
“อรุณสวัสดิ์ขอรับพี่จ้าว พี่ซ่ง” เด็กน้อยกล่าวทักทายพี่ชายทั้งสองที่มาถึงก่อนตนเพียงครู่ ตอนนี้ทั้งสองกำลังผสมแป้งบะหมี่กันอยู่
“อรุณสวัสดิ์ วันนี้เสี่ยวกู้ไม่สบาย เจ้าคงต้องเหนื่อยหน่อยนะ” อาซ่งกล่าวพลางส่งยิ้มให้เด็กน้อยอย่างเอ็นดู เสี่ยวกู้ที่พูดถึงคือบ่าวเด็กวัยสิบปีที่มีหน้าที่ทำเส้นก๋วยเตี๋ยวเช่นเดียวกันกับหมิงชู
“อา...แบบนี้ข้าคงทำไม่ทันแน่ๆ” เด็กน้อยทำสีหน้ายุ่งยากใจ ขณะเดินตรงไปที่อ่างผสม และเริ่มลงมือผสมแป้งอย่างขะมักเขม้น
“ไม่ต้องกังวลไป หากพี่ทำเสร็จแล้วจะช่วยเจ้าเอง”
พี่ชายสกุลซ่งกล่าวแล้วก็ออกแรงนวดก้อนแป้งของตนอย่างคล่องแคล่ว แป้งบะหมี่นี้จำเป็นต้องนวดให้ดีเพราะไม่เช่นนั้นแล้วจะไม่สามารถนำมายืดจนกลายเป็นเส้นเล็กๆ ได้
“ใช่ๆ เจ้าไม่ต้องกังวลไปเสี่ยวเทียน ข้ากับอาซ่งจะช่วยเอง” พี่ชายสกุลจ้าวเองก็กล่าวยืนยันมาอีกคน
“ขอบคุณขอรับ!” พอได้ยินว่าจะมีคนช่วยหมิงชูก็ยิ้มร่า รีบทำงานของตนอย่างรวดเร็ว ไม่นานแป้งก้อนแรกก็พร้อมแล้วสำหรับการนวด หมิงชูวางก้อนแป้งลงบนโต๊ะที่โรยผงแป้งเอาไว้ก่อนแล้ว สองมือเล็กๆ นวดแป้งอย่างคล่องแคล่วจนได้ที่ จากนั้นก็หยิบไม้นวดแป้งอันเป็นไม้เนื้อแข็งที่ถูกเหลาเป็นท่อนกลมไร้เสี้ยนมาทำการนวดในขั้นสุดท้าย เด็กชายควงไม้นวดแป้งอย่างชำนาญ กด นวด คลึง และรีดแป้งสีขาวเป็นแผ่นบาง หลังจากพับหลายๆ ทบโดยโรยผงแป้งไม่ให้ติดกันแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการตัดให้เป็นเส้น ขนาดของมีดที่ใช้นั้นใหญ่กว่ามือเล็กๆ ของหมิงชูมาก แต่เขาก็สามารถใช้งานมันได้อย่างไม่ติดขัด ตลอดหนึ่งชั่วยามเด็กน้อยเร่งทำงานอย่างขยันขันแข็งโดยมีพี่ชายทั้งสองมาช่วยเหลือในตอนท้าย จนในที่สุดก็ได้เส้นก๋วยเตี๋ยวสีขาวถึงสิบถาดใหญ่ เพียงพอแล้วสำหรับใช้ในหนึ่งวัน ทั้งนี้ก็เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วลูกค้าจะสั่งบะหมี่ ข้าว หรือหมั่นโถว ไม่นิยมสั่งก๋วยเตี๋ยวสักเท่าไร
พอล่วงเข้ายามเฉินเด็กน้อยก็ล้างแป้งออกจากมือ และรีบรุดไปยังโรงต้มน้ำที่ตั้งอยู่หลังโรงเตี๊ยม หมิงชูหยิบอ่างดินเผาที่วางซ้อนกันอยู่มุมหนึ่งของห้องมาตักน้ำร้อนใส่ลงไป หยิบผ้าผืนเล็กมาพาดไว้บนบ่า เสร็จแล้วก็ถือทั้งหมดเดินไปรอที่หน้าห้องของลูกค้าที่ตนรับผิดชอบ
เนื่องจากหมิงชูยังเล็กนักพ่อบ้านลู่จึงจัดให้เขาคอยดูแลลูกค้าขาจรที่ไม่มีความสำคัญมากนัก เด็กชายเคยเจอลูกค้าอารมณ์ร้ายมาแล้วหลายคน เขาเกือบจะเจ็บตัวอยู่หลายครั้งแต่ก็เอาตัวรอดไปได้ทุกที
สำหรับวันนี้หมิงชูไม่รู้ว่าลูกค้าของเขาเป็นคนเช่นไร เด็กน้อยจึงได้แต่เปิดหูเปิดตาคอยระวังไม่ให้ต้องเจ็บตัวเท่านั้น
“เสี่ยวเอ้อ!” เป็นอีกครั้งที่เด็กน้อยต้องเผชิญกับเสียงแฝงพลังปราณของผู้ฝึกยุทธ์ สองเท้ารีบก้าวถอยเพื่อลดแรงปะทะในทันที ส่วนสองมือก็คอยประคองอ่างน้ำในมือเอาไว้ไม่ให้น้ำกระฉอก
“มาแล้วขอรับ” เด็กชายส่งเสียงขานออกไปก่อนจะใช้ศอกเลื่อนเปิดประตูออก “เชิญนายท่านล้างหน้าก่อนนะขอรับ” หมิงชูกล่าวพร้อมกับยกอ่างดินเผามาประจำที่โดยไม่ลืมปิดประตูตามหลังด้วย
นายท่านที่เขาต้องดูแลในวันนี้เป็นจอมยุทธ์หนุ่มแต่งกายด้วยชุดผ้าฝ้ายเก่าๆ แต่พอดูให้ดีแล้วจะเห็นว่าเนื้อผ้านั้นดีกว่าผ้าฝ้ายทั่วไปมาก ดูไปก็คล้ายกับคุณชายเจ้าสำราญที่ปลอมตัวมาท่องเที่ยวอยู่เหมือนกัน
“โอ้! เสี่ยวเอ้อที่นี่เป็นเสี่ยวเอ้อจริงๆ ด้วย” คุณชายท่านนั้นพอมองเห็นเสี่ยวเอ้อตัวน้อยก็หลุดอุทาน และพูดเช่นนั้นออกมา เขาจงใจเน้นคำว่า “เสี่ยว” เป็นพิเศษและยังหัวเราะปิดท้ายอีกด้วย ท่าทางเป็นชายอารมณ์ดีที่ไม่น่าจะมีพิษมีภัยอะไร
“บ่าวจะไปเอาน้ำชามาให้นะขอรับ นายท่านจะรับอาหารเช้าในห้องหรือจะไปที่ห้องอาหารขอรับ?”
“ไปเอาชามากาหนึ่งก็พอ เดี๋ยวสายๆ ข้าจะออกไปทานเอง” ชายผู้นั้นตอบง่ายๆ พลางลุกขึ้นยืนและบิดขี้เกียจอย่างเกียจคร้าน
“เช่นนั้นนายท่านต้องการสั่งอาหารก่อนเลยหรือไม่ขอรับ?” หมิงชูถามต่อไปตามหน้าที่ รู้สึกโล่งใจไม่น้อยที่คุณชายท่านนี้ไม่ได้มีนิสัยชอบกลั่นแกล้งผู้คน
“เตรียมของขึ้นชื่อเอาไว้สักสองสามอย่าง กับข้าวเปล่าสองถ้วยก็พอ”
“ทราบแล้วขอรับ” หมิงชูค้อมศีรษะรับคำแล้วก็หันกายเดินออกไป ก่อนจะกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมชารสเข้มสำหรับบ้วนปาก และก้านหลิวที่แช่มาในน้ำร้อน หมิงชูรอให้คุณชายท่านนั้นเคี้ยวกิ่งหลิว และบ้วนปากให้เสร็จเรียบร้อยก่อนจึงค่อยเก็บอ่างน้ำและผ้ากลับออกไป
ตลอดเวลาเด็กน้อยทำงานอย่างคล่องแคล่วสายตามองต่ำไม่ได้สนใจสีหน้าและแววตาของคุณชายท่านนั้นเลยแม้แต่น้อย ทว่าหากเด็กชายคิดจะสังเกตสักนิดก็คงเห็นว่าสายตาของคุณชายท่านนั้นจับจ้องมาที่ตนอย่างไม่วางตา ราวกับจะจับผิดอะไรบางอย่าง
คล้อยหลังบ่าวน้อยไปไม่นาน ร่างสูงของคุณชายเจ้าสำราญก็นั่งลงที่โต๊ะพลางรินชารสเข้มดื่มดับกระหาย ต้าหลงวางถ้วยชาลงพลางหรี่ตาอย่างครุ่นคิด
เด็กน้อยเมื่อครู่รูปร่างท่าทางเข้าที ก้าวย่างแผ่วเบาเหมือนผู้ฝึกยุทธ์ แต่เขาไม่อาจสัมผัสถึงลมปราณของเด็กผู้นั้นได้เลย ผิวพรรณแม้จะคล้ำแดดไปบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับหยาบกร้าน น่าแปลกที่เขาเป็นเพียงบ่าวน้อยผู้หนึ่ง หากมีคนบอกว่าเด็กผู้นี้เป็นลูกหลานตระกูลใหญ่ต้าหลงก็คงเชื่อโดยไม่คิดติดใจสงสัย
‘น่าเสียดายที่เด็กนั่นเอาแต่ก้มหน้า’ ต้าหลงถอนหายใจพลางวนนิ้วไล้ขอบถ้วยชาเล่น ริมฝีปากบางยกยิ้มน้อยๆ ดูเหมือนว่าการออกมาเที่ยวเล่นในครั้งนี้จะไม่น่าเบื่อเหมือนครั้งก่อนๆ เสียแล้ว