เมื่อตะวันลอยสูงขึ้นอากาศก็อบอุ่นกว่าเดิมเล็กน้อย หมอกสีขาวพลิ้วไหวอยู่ในอากาศราวกับผ้าแพรเนื้อบาง ยามนี้หิมะยังไม่ตก แต่บนยอดหญ้าก็ปรากฏเกล็ดน้ำแข็งบางๆ เกาะอยู่ทั่ว เกล็ดน้ำแข็งสะท้อนแสงตะวันเป็นประกายแวววาวแลดูงดงามยิ่งนัก อย่างไรก็ตามอากาศยามนี้ก็เย็นเสียจนผู้ฝึกยุทธ์ต่างต้องโคจรลมปราณเพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้อบอุ่น
ที่ริมระเบียงชั้นสองอันเปิดโล่งของโรงเตี๊ยมไผ่เขียว มีโต๊ะตัวหนึ่งถูกจับจองไว้ทั้งๆ ที่ในเวลาอย่างนี้ผู้คนต่างชมชอบที่จะอยู่ภายในอาคารมากกว่าจะออกมารับลมหนาวที่ริมระเบียงเช่นนี้ ผู้ที่นั่งจิบชาอยู่อย่างสบายใจนั้นเป็นชายหนุ่มรูปงามในชุดผ้าฝ้ายเรียบง่าย ทว่าความธรรมดาของเสื้อผ้าก็ไม่อาจกลบรัศมีสูงส่งจากตัวเขาลงได้เลย จอมยุทธ์หนุ่มยกถ้วยชาขึ้นจิบพลางทอดสายตาลงไปยังชั้นล่าง เฝ้ามองเสี่ยวเอ้อตัวน้อยผ่านช่องว่างตรงกลางของชั้นด้วยความสนใจยิ่ง
ร่างเล็กๆ ในชุดผ้าฝ้ายสีหม่นวิ่งวุ่นส่งอาหารไปทั่ว สองขาสั้นๆ เคลื่อนไหวคล่องแคล่วอย่างเหลือเชื่อ ใบหน้าที่ก่อนนี้ต้าหลงไม่มีโอกาสได้พิจารณาอย่างดีก็กระจ่างแจ้งแก่สายตา ชัดเจนเสียจนแทบจะวาดออกมาเป็นรูปได้ เสี่ยวเอ้อตัวน้อยมีใบหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอมแดงคล้ายสีสนิม คิ้วหนาโก่งเล็กน้อยขับให้ใบหน้าดูจริงจังขึ้นหลายส่วน กระนั้นจมูกรั้นๆ กับริมฝีปากที่คลี่ยิ้มตลอดเวลาก็ทำให้ใบหน้าของเด็กชายดูสดใสไร้เดียงสาเป็นยิ่งนัก
“นี่เถ้าแก่ให้เด็กตัวกะเปี๊ยกอย่างเจ้ามาส่งอาหารด้วยหรือ?” ต้าหลงเอ่ยทักเมื่อเด็กน้อยมาเติมน้ำชาให้กับเขา บนใบหน้าของชายหนุ่มปรากฏรอยยิ้มล้อเลียนขึ้นรอยหนึ่ง ทั้งยังหลุดหัวเราะออกมาด้วย เพราะภาพของเด็กชายตัวน้อยที่ศีรษะโผล่พ้นโต๊ะมาเพียงครึ่งนั้นน่าขันเกินไปจริงๆ
“ขอรับ เถ้าแก่บอกว่าบ่าวทำงานได้ดี จึงให้ทำงานนี้ขอรับ” หมิงชูพยายามไม่ใส่ใจรอยยิ้มล้อเลียนของคุณชายตรงหน้า เขาเติมน้ำร้อนลงในกาน้ำชาของลูกค้าแล้วก็ขอตัวออกมา
แต่เดินไปไม่ทันไรตะเกียบคู่หนึ่งก็พุ่งแหวกอากาศตรงมาทางเขา หมิงชูก้าวเท้าถอยหลังและผินหน้าหลบเล็กน้อยโดยสัญชาตญาณ นัยน์ตาสีเปลือกไม้สะท้อนภาพตะเกียบคู่หนึ่งพุ่งผ่านหน้าไปอย่างเฉียดฉิว แรงลมจากการพุ่งตัวของตะเกียบปะทะเข้ากับใบหน้าบ่งบอกให้ทราบว่ามันถูกซัดมาด้วยพลังปราณไม่สามัญ หมิงชูลอบกลืนน้ำลายเมื่อเห็นว่าตะเกียบทั้งคู่ปักทะลุเข้าไปในผนังถึงหนึ่งชุ่น เมื่อหันไปมองหาที่มาของตะเกียบคู่นั้นก็พบว่าลูกค้าสองคนกำลังต่อยตีกันอยู่ที่ชั้นล่าง
‘อา...พวกเขาพังโต๊ะกันอีกแล้วหรือ?’ เด็กน้อยเป่าลมพรูออกจากปากอย่างเบื่อหน่าย ผู้ฝึกยุทธ์พวกนี้ช่างมีงานอดิเรกที่น่าตายเสียจริง เอะอะก็ต่อยตี เอะอะก็พังข้าวของ เอะอะก็ล้างแค้น เอะอะก็สั่งสอน มีแต่เรื่องไร้สาระทั้งนั้น
‘ที่ท่านแม่บอกว่าหากศีรษะกระทบกระเทือนมากแล้วจะเป็นบ้าท่าทางจะเป็นเรื่องจริงเสียแล้ว’ เด็กน้อยคิดพลางย่อตัวหลบขาโต๊ะขนาดเท่าแขนของผู้ใหญ่ที่ลอยผ่านศีรษะไป ไม้ท่อนนั้นกระแทกกับผนังเบื้องหลังจนแตกเป็นเสี่ยงๆ เด็กชายไม่สนใจเสาไม้เบื้องหลัง สายตาจับจ้องไปยังสิ่งที่กำลังพุ่งตรงมา พลันมือน้อยก็ยกขึ้น หมิงชูใช้ปลายนิ้วแตะก้นจานที่ร่อนตามขาโต๊ะมาติดๆ โยกไปด้านหลังเล็กน้อยก่อนจะวนเป็นรูปครึ่งวงกลมย้อนแรงกลับคืน แล้วก็จับจานใบนั้นเอาไว้ได้อย่างง่ายดา
“ไม่ร้าวแฮะ โชคดีจัง” หมิงชูพลิกจานกระเบื้องเคลือบอย่างดีไปมาพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างพอใจ แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรต่อ จอกน้ำชาก็ปลิวตามจานมาอีกใบ เด็กชายพองแก้มพ่นลมออกทางจมูกอย่างขัดใจ เขายกมือซ้ายข้างที่ถนัดขึ้น กำรวบนิ้วทั้งสี่จนเหลือเพียงนิ้วชี้ สายตาเพ่งมองจอกชาที่หมุนควงอยู่กลางอากาศ แล้วก็สอดนิ้วเข้าไปด้านใน หมุนทวนผ่อนแรงตามหลักการของตัวเองอีกครั้ง แล้วถ้วยชาใบงามก็มาอยู่ในมือของเขาอย่างปลอดภัย
“เฮ้อ!” เด็กน้อยถอนหายใจออกมาอย่างเสียดายเมื่อเห็นจอกชาอีกหลายใบแตกกระจายอยู่บนพื้นเบื้องล่าง แม้โรงเตี๊ยมไผ่เขียวจะคึกคักและร่ำรวยที่สุดในเหมืองหลงซาน แต่เครื่องเคลือบสีสันสดใสนี้ต้องนำเข้ามาจากเมืองอันห่างไกล ราคาของมันไม่ใช่น้อยๆ และก็ไม่แน่เสมอไปว่าจอมยุทธ์ที่ก่อเรื่องวุ่นวายในร้านจะยินยอมชดใช้ค่าเสียหาย บ่อยครั้งที่พวกนั้นต่อยตีกันแล้วก็จากไป ทิ้งให้พ่อบ้านลู่นั่งน้ำตาตกในอย่างน่าเวทนายิ่ง
หมิงชูกอดจานและจอกชาไว้ด้วยแขนซ้าย มือขวาถือกาน้ำร้อนใบโต ค่อยๆ ย่องลงจากชั้นสอง หลบพลังปราณที่ถูกบีบอัดเป็นกลุ่มก้อนเพื่อซัดใส่ศัตรูแต่พลาดเป้าไปพลาง คอยระวังไม่ให้ถูกเศษวัสดุในร้านกระแทกใส่ไปพลาง ในที่สุดเด็กชายก็สามารถหลบเข้าไปในครัวได้สำเร็จ
ทว่าหากเสี่ยวเอ้อตัวน้อยเหลียวหลังกลับมามองสักนิดก็จะเห็นว่ามีคนผู้หนึ่งจ้องมองการกระทำของตนอย่างไม่วางตา
บนระเบียงชั้นสองนัยน์ตาคมดุจเหยี่ยวของต้าหลงจับจ้องร่างน้อยๆ ในชุดสีเทาไปจนลับตา เขามองเห็นทุกอย่างทั้งท่วงท่าในการคว้าจับจานและถ้วยชา ไปจนถึงทักษะการหลบหลีกของร่างเล็ก และนั่นก็ทำให้ชายหนุ่มประหลาดใจเป็นอย่างมาก
ในโลกที่มีผู้ฝึกยุทธ์อยู่ทั่วไปเช่นนี้การจะพบเห็นเด็กน้อยมีฝีมือเกินวัยย่อมไม่แปลกอันใด แต่เด็กชายคนนั้นหาใช่คุณชายน้อยจากตระกูลใหญ่ หรือศิษย์ในสำนักใดสำนักหนึ่งไม่ เขาเป็นเพียงบ่าวในโรงเตี๊ยมห่างไกลแห่งหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งยังไม่มีคลื่นพลังปราณแผ่ออกมาจากร่างกายให้สามารถรู้สึกได้อย่างที่ควรจะเป็น นี่นับว่าผิดปกติเป็นอย่างมาก เพราะธรรมดาแล้วผู้ฝึกยุทธ์จะรับรู้ถึงพลังปราณในร่างของผู้ฝึกยุทธ์ด้วยกันได้แม้ว่าจะน้อยแค่ไหนก็ตาม และต่อให้เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์เพียงใดก็ไม่อาจซุกซ่อนพลังปราณของตนได้อย่างหมดจด อย่างน้อยภายในระยะหนึ่งก้าวก็ต้องสัมผัสได้ ดังนั้นการที่ต้าหลงไม่สามารถรับรู้ถึงพลังปราณของเด็กน้อยที่มีฝีมือเช่นนี้ได้จึงนับว่าเป็นเรื่องแปลกอย่างยิ่ง
‘หรือเด็กนั่นจะฝึกแต่ท่าร่างไม่ได้ฝึกโคจรพลังปราณ?’ คิ้วกระบี่ของต้าหลงขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด หากเด็กน้อยไม่เคยฝึกโคจรพลังปราณมาก่อน ลมปราณในร่างก็จะไม่แตกต่างไปจากผู้ไร้วรยุทธ์เลย และนั่นก็จะัอธิบายได้ว่าเหตุใดเขาจึงสัมผัสพลังปราณของเด็กน้อยไม่ได้
แต่เมื่อคิดเช่นนั้นต้าหลงก็พบข้อติดขัดอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือหากเด็กน้อยไร้ซึ่งพลังปราณ เขาก็ไม่น่าจะหลบหลีกการโจมดีด้วยปราณที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าได้ ยิ่งไปกว่านั้นชาวยุทธ์สองคนที่กำลังตีกันด้วยเรื่องผิดใจไร้สาระนั่นก็มีฝีมือไม่เบา คนหนึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยของสำนักคุ้มภัยพยัคฆ์ทมิฬที่ว่ากันว่าฝีมือเทียบชั้นกับองครักษ์แห่งวังหลวงได้อย่างสูสี และอีกคนก็เป็นถึงศิษย์สำนักเจ็ดอสรพิษอันเลื่องชื่อ
“น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ” ต้าหลงกล่าวกับตัวเองพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี นัยน์ตาสีหมึกทอประกายแวววาวราวกับเด็กที่เห็นของเล่นถูกใจ