เด็กน้อยยอมให้บ่าวชายร่างใหญ่จับจูงกลับไปยังร้านขายโอสถแต่โดยดี เขาแสร้งทำเสียงสะอื้นไปตลอดทาง สูดน้ำมูกปาดน้ำตาอย่างน่าสงสารยิ่งนัก และเมื่อไปถึงพบว่าเถ้าแก่กำลังรออยู่ด้วยสีหน้าที่ลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง
“เด็กน้อย ข้าจะจ่ายเงินให้เจ้าไม่ให้ขาดไปแม้แต่อีแปะเดียว แต่เจ้าห้ามบอกเรื่องที่เกิดขึ้นให้ผู้อาวุโสท่านนั้นทราบเด็ดขาด”
เถ้าแก่รีบสั่งกำชับเด็กชายให้ปิดเรื่องที่เกิดขึ้นไว้เป็นความลับทันทีเพื่อไม่ให้จอมยุทธ์อาวุโสท่านนั้นตามมาเอาเรื่องเขาทีหลัง หมิงชูฟังแล้วก็แสร้งเอียงศีรษะคล้ายไม่เข้าใจ ตอบกลับไปว่า
“แต่ข้ากลับไปช้าเช่นนี้ ผู้อาวุโสต้องถามแน่ หากข้าไม่ตอบผู้อาวุโสจะต้องลงโทษข้าแน่ๆ”
กล่าวแล้วก็แสร้งบีบน้ำตาออกมาอีกสองหยด คล้ายจะบอกเป็นนัยว่าเขากลัวการถูกลงโทษมากกว่าสิ่งใดทั้งนั้น หมิงชูไม่ชอบนิสัยเถ้าแก่ร้านขายโอสถอยู่แล้ว เรื่องอะไรเขาจะยอมทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายโดยง่าย
“เพ้ย! เจ้าก็อ้างเรื่องอื่นไปเสียก็สิ้นเรื่อง!”
เถ้าแก่อ้วนโวยวาย ทว่าหมิงชูก็ยังคงยืนยันคำเดิม
“ต---แต่ ท่านแม่บอกว่าถ้าโกหกจะต้องกลืนเข็มพันเล่ม”
เสียงเล็กๆ อันสั่นเครือตอบกลับไปอย่างไร้เดียงสา บรรดาบ่าวในร้านต่างอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเอ็นดูเด็กน้อยผู้นี้ เถ้าแก่เองแม้จะไม่นึกเอ็นดูแต่ก็เชื่อสนิทใจว่านี่เป็นการแสดงออกของเด็กโง่คนหนึ่งเท่านั้น
“ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าโกหก ข้าบอกให้เจ้าไม่พูดต่างหากเล่า นี่แน่ะ! พอผู้อาวุโสถาม เจ้าก็อ้างไปเรื่องอื่นเสีย ห้ามพูดเรื่องในร้านนี้ออกไปเด็ดขาดเข้าใจหรือไม่?”
“แต่...”
เมื่อเห็นเด็กน้อยยังลังเลไม่กล้าพูดปด ชายชราเจ้าเล่ห์ก็ยัดเหรียญทองแดงจำนวนหนึ่งใส่มือเด็กน้อยพร้อมกับบอกว่า
“เชื่อข้าสิ ข้าหวังดีต่อเจ้าและครอบครัวหรอกจึงได้แนะนำเช่นนี้ เจ้าเข้าใจหรือไม่”
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”
เด็กน้อยกำเหรียญในมือแน่น หนึ่งเหรียญทองแดงมีค่าเท่ากับสิบอีแปะก็จริง แต่ใช่ว่าเด็กชายจะเคยมีโอกาสได้หยิบจับเหรียญทองแดงจริงๆ เช่นนี้ ครั้นเมื่อได้กำเหรียญทองแดงในมือหมิงชูจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น และนั่นก็ช่วยเสริมให้เขาดูเหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสามากขึ้นไปอีก
“ดีๆ”
เถ้าแก่เห็นเด็กน้อยยอมเชื่อฟังก็ยิ้มร่า และเริ่มทำการค้าตามที่ตั้งใจเอาไว้ทันที เขาบรรจงแยกสมุนไพรออกเป็นกองๆ ชั่งน้ำหนักอย่างละเอียด และยังสั่งเสมียนร้านจดเป็นบัญชีสำหรับให้เด็กน้อยนำกลับไปด้วย
การชั่งน้ำหนักสมุนไพรนั้นเป็นงานละเอียดอ่อนและซับซ้อน ระหว่างที่เถ้าแก่กับคนของเขาทำงานอยู่นั้น ไม่มีใครคิดจะหันมาบอกอธิบายให้เด็กน้อยฟังเลยแม้แต่คนเดียว หมิงชูจึงได้แต่ลอบสังเกตการกระทำของคนเหล่านั้นอย่างตั้งใจ
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยามการขายสมุนไพรที่ร้านขายยาก็เสร็จสิ้นลง เด็กน้อยในชุดผ้าป่านสีหม่นเดินออกมาจากร้านด้วยสีหน้าแช่มชื่นอย่างปิดไม่มิด ในอกเสื้อของเขามีถุงเงินตุงๆ ซุกเอาไว้ สมุนไพรเหล่านี้ขายได้ราคาดีทีเดียว ตอนนี้ในถุงเงินใบน้อยของเทียนหมิงชู มีเหรียญอีแปะสี่พวง เหรียญทองแดงอีก ๒๐๐ เหรียญ และยังมีเหรียญเงินอีกหนึ่งเหรียญด้วย
ชาวบ้านสามัญในเมืองเล็กๆ เช่นนี้มีหรือจะได้หยิบจับเหรียญเงิน เพียงเหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อเต็มทีแล้ว เพราะราคาข้าวของและพืชผลต่างๆ ที่ขายกันในตลาดล้วนสามารถซื้อหาได้ด้วยเงินอีแปะ จะมีก็เพียงที่โรงเตี๊ยมและร้านค้าใหญ่ๆ เท่านั้นที่ต้องจ่ายออกด้วยเหรียญทองแดงหรือเหรียญเงิน ส่วนเหรียญทองนั้นหากไม่ใช่ข้าราชการหรือนายทหารระดับสูง ก็ต้องเป็นคหบดีไม่ก็เชื้อพระวงศ์จึงจะมีไว้ในครอบครอง
‘ท่านแม่ต้องให้นมฮวาเอ๋อร์ สมควรได้ทานอาหารดีๆ หากเลี้ยงแพะสักตัวกับพวกไก่ไข่ก็คงจะดีไม่น้อย’
หมิงชูครุ่นคิดกับตัวเอง แพะตัวหนึ่งราคาสิบเหรียญทองแดง ลูกแพะราคาตัวละเจ็ดเหรียญทองแดง ส่วนไก่หากซื้อเป็นลูกเจี๊ยบมาก็ราคาตัวละไม่กี่อีแปะ ด้วยเงินที่มีอยู่เขาน่าจะหาสัตว์ทั้งสองชนิดมาเลี้ยงได้อย่างไม่ยากเย็นนัก อย่างไรก็ตามรายจ่ายจำเป็นในบ้านก็ยังมีอีกมาก บิดาของเขายังบาดเจ็บจำเป็นต้องใช้เงินในการรักษา และการอาละวาดของสัตว์อสูรทำให้บ้านของพวกเขาเสียหายไปมาก ผนังและหลังคาทะลุเป็นรูจนพวกเขาต้องใช้กระสอบคลุมปิดเอาไว้เป็นการแก้ขัด กระเบื้องหลังคาที่แตกไปหลายแผ่นยังไม่ได้ซื้อหามาทดแทน ผนังบ้านส่วนที่พังนั้นหมิงชูคิดว่าเขากับบิดาสามารถช่วยกันซ่อมได้เพราะเป็นผนังดินที่ปั้นได้ง่ายอยู่แล้ว แต่กระเบื้องหลังคาอย่างไรก็คงต้องซื้อหามาใหม่ เสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาวก็ไม่เคยพอเลยสักปี
“เฮ้อ!”
ยิ่งคิดเด็กชายก็ยิ่งปวดหัว มือน้อยๆ ยกขึ้นเกาศีรษะพลางคิดว่าเรื่องวุ่นวายเหล่านั้นเขาจะให้บิดาเป็นผู้ตัดสินใจ หมิงชูคิดว่าตนแค่ปั้นหน้ายิ้มบอกบิดาว่าอยากเลี้ยงแพะเอาไว้ให้แม่ได้ดื่มน้ำนม และอยากได้ผ้าห่มอุ่นๆ ให้น้องสาวเท่านั้นก็พอแล้ว เพราะถึงอย่างไรตัวเขาก็เป็นเพียงเด็กน้อยผู้หนึ่ง จะไปจัดการเรื่องใหญ่ๆ เหล่านั้นก็ดูจะเกินตัวไปสักหน่อย ลำพังแค่ขึ้นเขาไปหาของป่าได้ด้วยตัวคนเดียวก็เก่งเกินวัยแล้ว
‘ว่าแต่ ตาเฒ่านั่นจะมีประโยชน์อย่างอื่นอีกไหมนะ?’
เด็กน้อยเอียงศีรษะครุ่นคิด เขาลงแรงดูแลตาเฒ่าไปไม่น้อย ถึงขนาดสร้างกระท่อมเล็กๆ ให้พักนอน ถึงสภาพมันจะดูไม่ดีสักเท่าไรก็ตาม หมิงชูคิดว่าถ้าเขาไม่ตักตวงกำไรจากตาเฒ่าให้มาก เขาก็คงเป็นคนโง่เต็มที ถึงอย่างไรตาเฒ่าอารมณ์ร้ายผู้นั้นก็ประกาศตนว่าเป็นปรมาจารย์หมื่นพิษ เชื่อว่าต้องมีประโยชน์มากกว่านี้เป็นแน่