บ่ายวันนั้นหมิงชูพูดคุยกับบิดาเรื่องการเลี้ยงสัตว์และมอบเงินทั้งหมดให้แก่บิดาก่อนจะหอบเสบียงขึ้นเขาไปอีกครั้ง มารดาของเขาเตรียมเสื้อผ้าและของใช้อีกเล็กน้อยให้เด็กชายนำติดตัวขึ้นเขาไปด้วย ซึ่งหมิงชูก็รับมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เด็กชายใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็มาถึงกระท่อมน้อยที่มารเฒ่าพำนักอยู่
“ผู้อาวุโส ผู้น้อยกลับมาแล้วขอรับ”
หมิงชูส่งเสียงไปก่อนตัว ร่างเล็กๆ วิ่งเข้าไปในกระท่อมดินรูปร่างพิกลเพราะสร้างโดยคนที่ไม่ใช่ช่างฝีมือหลังนั้น กล่าวรายงานด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นเหลือประมาณว่า
“ข้าเอาสมุนไพรไปขาย ได้เงินมาตั้งห้าเหรียญทองแดงเลยนะขอรับ ข้าซื้ออาหารมาให้ผู้อาวุโสเยอะแยะเลย”
สีหน้าดีอกดีใจกับเงินห้าเหรียญทองแดงของเด็กน้อยทำให้เฒ่าหมื่นพิษแค่นหัวเราะออกมาคำหนึ่ง ในสายตาของเขาเด็กน้อยผู้นี้ช่างน่าสมเพชนัก เพียงเศษเงินเล็กน้อยกลับดีอกดีใจราวกับได้ทอง
“เศษเงินเพียงเท่านั้นนับเป็นกระไรได้? เจ้ารีบจัดสำรับมาให้ข้าได้แล้ว”
มารเฒ่าที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ขยับเปลี่ยนมานั่งในท่าสบายๆ พร้อมกับสั่งการด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ครั้นเด็กน้อยได้ยินก็รีบจัดอาหารใส่จานให้ผู้อาวุโสทันที จานเหล่านี้ก็เป็นมารดาของเขาเองที่เตรียมเอาไว้ให้ พร้อมกับเสื้อผ้าของผู้ใหญ่และเด็ก กับเครื่องนอนอีกจำนวนหนึ่งด้วย
“เจ้าซื้อจานมาด้วยรึ? รอบคอบดี”
มารเฒ่าอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชมความรอบคอบของเด็กน้อย ความจริงแล้วเขาจะไม่กล่าวชมผู้ใดโดยง่าย แต่เมื่อเห็นเด็กชายมีความคิดความอ่านรอบคอบไม่เหมือนเด็ก เฒ่าหมื่นพิษก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา
“ของเหล่านี้ข้านำมาจากบ้านขอรับ นอกจากนี้ยังมีเสื้อผ้ากับผ้าห่มด้วย ข้าไม่กล้าไปซื้อใหม่เพราะเกรงว่าจะเป็นการเปิดเผยที่อยู่ของผู้อาวุโส หวังว่าผู้อาวุโสจะเข้าใจนะขอรับ”
หมิงชูจงใจไม่บอกว่าผู้ที่จัดเตรียมของเหล่านี้มาคือแม่ของตน เขาคิดว่าในเมื่อต้องสละข้าวของที่มีอยู่น้อยนิดมาให้ชายชราใช้แล้ว ก็สมควรจะใช้ประโยชน์จากมันให้ถึงที่สุด หมิงชูเชื่อว่าการที่เขารับสมอ้างว่าเป็นความคิดของตัวเอง และแสดงความตั้งใจที่จะเก็บเรื่องของเฒ่าเอาไว้เป็นความลับเช่นนี้ จะเอื้อประโยชน์ให้เขาสามารถหาประโยชน์จากมารเฒ่าได้ง่ายขึ้น
คิดแล้วเด็กชายก็ลอบถอนหายใจ ตั้งแต่เจอมารเฒ่าผู้นี้มันก็คิดถึงแต่ผลกำไรคล้ายพ่อค้าหน้าเลือดเหล่านั้นมากขึ้นทุกที
‘ช่างสิ ตาเฒ่านี่ก็ไม่ได้น่าสงสารสักหน่อย’
หมิงชูบอกกับตัวเองเช่นนั้น และสลัดความคิดไร้สาระเหล่านั้นทิ้งไปเสีย
ความจริงแล้วเดิมทีเด็กชายคิดจะช่วยเหลือผู้เฒ่าโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ทว่าพอถูกลมปราณผลักกระเด็นไปถึงสามครั้งสามครา ทั้งยังถูกมารเฒ่ากล่าววาจาชั่วร้ายใส่ ความเห็นอกเห็นใจก็พลันมลายหายไปจนสิ้น เด็กน้อยจำได้ดีว่ามารเฒ่าเรียกตัวเองว่าปรมาจารย์หมื่นพิษ และเขาก็ไม่ได้เก็บตัวถึงขนาดไม่เคยได้ฟังเรื่องเล่าของมารเฒ่าหมื่นพิษแห่งยุทธภพมาก่อน
หมิงชูรู้ว่าเฒ่าหมื่นพิษเป็นใคร และสามารถทำอะไรได้บ้าง แม้จะไม่ทราบรายละเอียดทั้งหมด แต่เด็กชายก็มีข้อมูลมากพอสำหรับการวางแผนตักตวงผลประโยชน์จากมารเฒ่า
สิ่งที่หมิงชูหมายตาเอาไว้มีสองสิ่ง หนึ่งคือความรู้ด้านสมุนไพรที่มารเฒ่าแตกฉานเป็นอย่างดี สองคือทักษะการปรุงยาพื้นฐานซึ่งเด็กชายได้เรียนรู้ไปแล้วตอนที่ปรุงยาถอนพิษถ้วยแรกให้แก่มารเฒ่า หมิงชูเป็นเด็กอัจฉริยะมีความทรงจำดั่งภาพวาด มีหรือที่ทำสิ่งใดไปครั้งหนึ่งแล้วจะจดจำไม่ได้? ตอนนี้หมิงชูมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าหากเขามีตำรับยาและเครื่องชั่งอยู่ในมือ เขาก็ย่อมสามารถปรุงยาได้โดยไม่มีข้อผิดพลาด
ส่วนผลประโยชน์อื่นๆ นั้นหมิงชูไม่ได้วางแผนเอาไว้โดยเฉพาะ เด็กชายคิดเพียงว่าหากมีโอกาสก็จะตักตวงทุกสิ่งจากตาเฒ่าจอมหยิ่งผยองผู้นี้ จะได้มากได้น้อยจากที่ตั้งใจไว้ก็แล้วแต่โชคชะตาและความสามารถของตน
“เจ้าไปชงชามาทีสิ”
หลังจากทานอาหารไปได้สักพักชายชราก็สั่งออกมาอีก แท้ที่จริงแล้วเฒ่าหมื่นพิษชื่นชอบการดื่มชาเป็นอย่างมาก สองวันมานี้เขาไม่ได้เรียกร้องอยากดื่มชาเลยด้วยทราบดีว่าเด็กน้อยไม่มีทางหามาให้ได้ แต่ตอนนี้เด็กน้อยเพิ่งกลับมาจากในเมือง ย่อมต้องมีใบชาติดตัวมาด้วยอย่างแน่นอน
“เอ่อ...ผู้น้อยไม่ได้เตรียมใบชามาด้วยขอรับ”
มารเฒ่าหนวดกระตุกทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เขาตบแคร่แรงเสียจนจานชามกระเด้งลอยขึ้นจากโต๊ะ หมิงชูใจหายวาบ นึกกลัวเหลือเกินว่าจานชามบ้านตนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ครอบครัวเขาใช่ว่าจะร่ำรวย ภาชนะกระเบื้องเคลือบเก่าๆ เหล่านี้จะกล่าวว่าเป็นสมบัติที่แพงที่สุดในบ้านสกุลเทียนก็ย่อมได้
“เหลวไหล! ไปถึงโรงเตี๊ยมไยไม่ซื้อชามาด้วยเล่า!”
เสียงตวาดของชายชราดังจนกระท่อมน้อยสะเทือนไปทั้งหลัง หมิงชูผงะถอยไปถึงสองก้าว แต่ก็ไม่ได้ล้มลง เขารู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะมีภูมิคุ้มกันอารมณ์ของตาเฒ่าบ้างแล้ว ถึงแม้ว่ามารเฒ่าจะไม่ได้แฝงพลังปราณออกมากับเสียงด้วยก็ตาม
“ผ---ผู้น้อยไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโสจะดื่มชานี่ขอครับ ขออภัยขอรับ”
เด็กน้อยประสานมือค้อมศีรษะกล่าวขออภัยด้วยเสียงสั่นเครือ
มารเฒ่าได้ยินก็ร้อง “เพ้ย!” อย่างขัดใจ กล่าวตำหนิเสียยืดยาวว่า “ผู้คนตื่นนอนแล้วไม่ดื่มชาได้อย่างไร ทานอาหารแล้วไม่ดื่มชาได้อย่างไร อ่านหนังสือแล้วไม่ดื่มชาได้อย่างไร ก่อนนอนไม่ดื่มชาได้อย่างไร จะทำสิ่งใดล้วนขาดชาไม่ได้ บิดามารดาเจ้าไม่สั่งสอนรึ?”
หมิงชูฟังตาเฒ่าพล่ามไปก็นึกเถียงในใจไปว่ากฎที่กล่าวมานั้นดูจะเป็นกฎของมารเฒ่าผู้เดียวเสียมากกว่า
“เจ้าลงเขาไปซื้อชามาให้ข้าเดี๋ยวนี้”
แล้วตาเฒ่าก็สั่งอย่างเอาแต่ใจ จนเด็กน้อยแทบจะถลึงตาใส่ การเดินทางไปกลับรอบหนึ่งกินเวลาเกือบสองชั่วยาม มันกลับมาถึงกระท่อมน้อยเมื่อยามโหย่วหากต้องลงเขาไปซื้อชา กว่าจะกลับมาถึงมิล่วงเข้ายามจื่อหรอกหรือ?