“ผู้อาวุโส หากข้าลงไปตอนนี้ กว่าจะกลับมาถึงผู้อาวุโสมิเข้านอนแล้วหรือขอรับ?”
หมิงชูก้มหน้าก้มตาถามออกไป ท่าทางนอบน้อมของเขาช่วยบรรเทาอารมณ์กรุ่นโกรธของมารเฒ่าลงได้มากทีเดียว ปรมาจารย์หมื่นพิษชมชอบให้ผู้คนก้มหัวให้แก่ตน เมื่อหมิงชูแสดงท่าทางเคารพและหวั่นเกรงเช่นนี้ มารเฒ่าก็โกรธไม่ได้นาน
“เอาเถอะ พรุ่งนี้เจ้าค่อยไปซื้อชามาก็แล้วกัน”
ในที่สุดชายชราก็ล้มเลิกความคิดที่จะดื่มชาในวันนี้ แต่แล้วก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าเจ้าเด็กน้อยนี่ไม่น่าจะรู้เรื่องชาเลยแม้สักนิด จึงกล่าวกำชับเพิ่มเติมว่า
“หาชาดีที่สุด และป้านชาที่ดีที่สุดมาให้ข้า ต้องจ่ายเท่าไรข้าก็ไม่เกี่ยง”
‘แต่ข้าเกี่ยง!’
เด็กน้อยตะโกนลั่นในใจ ตาเฒ่าหน้าเหม็นนี่พูดออกมาได้ว่าราคาเท่าไรก็ยินดีจ่าย ทั้งหยูกยาอาหารที่เขาดื่มกินอยู่ในตอนนี้ก็เป็นตัวเขาที่ลงแรงทั้งนั้นมิใช่หรือ? ครั้นจะเอาเครื่องประดับติดตัวมารเฒ่าไปขายโรงรับจำนำก็เกรงว่าความลับที่มารเฒ่าหลบรักษาตัวอยู่ที่นี่จะแตก ตั๋วเงินมารเฒ่านี่ก็ไม่มีติดตัวเลยแม้สักใบ แล้วเขาจะไปหาเงินมากมายมาจากไหน?
“เช่นนั้นพรุ่งนี้ผู้น้อยจะเบิกเงินจากผู้อาวุโสไปซื้อชาและป้านน้ำชานะขอรับ”
แม้ในใจจะก่นด่าว่าอย่างไร หมิงชูก็ปั้นหน้าใสซื่อกล่าวรับคำโดยง่าย ฝ่ายมารเฒ่าพอได้ยินคำของเด็กน้อยก็ชะงักไป เขาเพิ่งระลึกได้ว่าตัวเองไม่มีเงินติดตัวเลยแม้แต่อีแปะเดียว เฒ่าหมื่นพิษหลงลืมไปเสียสนิทจึงทำตัวตามความเคยชิน พอคิดได้แล้วชายชราก็ปรายตามองเด็กน้อยตรงหน้าอย่างชั่งใจ
เด็กน้อยนี่แม้จะตัวเล็กแต่ก็แข็งแรงและขยันขันแข็งอย่างยิ่ง ทั้งยังว่าง่ายรู้ความผิดไปจากเด็กวัยเดียวกัน
‘หากเส้นลมปราณของมันไม่พิการข้าคงรับเป็นศิษย์ไปแล้ว’
มารเฒ่าครุ่นคิดกับตัวเอง ความสัมพันธ์ของพวกเขาในตอนนี้ไม่ใช่ศิษย์อาจารย์ และก็ไม่ใช่นายกับบ่าว เด็กน้อยเพียงเชื่อฟังคำของเขาด้วยความเกรงกลัวเท่านั้น
“เอาเถอะ พรุ่งนี้ไม่ต้องซื้อชาแล้ว”
ในที่สุดมารเฒ่าก็เปลี่ยนใจ แม้จะเป็นมารแต่เขาไม่หน้าหนาพอที่สั่งเด็กน้อยยาจกไปซื้อชาและป้านชาราคาแพงมาให้ อย่างไรก็ตามความอยากดื่มชาก็ยังไม่จางหายไปไหน มารเฒ่าจึงกล่าวขึ้นว่า
“พรุ่งนี้ยามอวิ๋น เจ้าออกไปเก็บยอดชามาก็แล้วกัน เจ้าเคยเก็บใบชาหรือไม่?”
“ไม่เคยขอรับ” เด็กน้อยส่ายหน้า ทว่าในใจกลับกำลังกระโดดโลดเต้นราวกระต่ายป่า ดูเหมือนว่าเขาจะได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ข้อที่สามจากมารเฒ่าแล้ว
พอมารเฒ่าได้ยินว่าหมิงชูไม่มีความรู้เกี่ยวกับชาเลยสักนิด เขาก็รีบสั่งให้เด็กน้อยนั่งลงกับพื้น และบอกกล่าวความรู้เรื่องชาของตนให้เด็กน้อยฟังโดยละเอียด ที่เฒ่าหมื่นพิษต้องลงทุนทำถึงเพียงนี้ก็เพราะรู้ตัวว่ายังต้องพักรักษาตัวอีกนาน เขาอยากดื่มชาดีๆ ตลอดระยะเวลานั้นจึงตั้งใจถ่ายทอดความรู้เรื่องชาของตนให้เด็กน้อยอย่างเต็มที่ ด้วยหวังว่าเด็กน้อยจะสามารถชงชารสเลิศให้ตนได้ ฝ่ายหมิงชูก็ตั้งใจจดจำความรู้ที่ได้รับถ่ายทอดอย่างเต็มที่ เขาตั้งใจยิ่งกว่าตอนฟังเรื่องสมุนไพรเสียอีก ทั้งนี้ก็เพราะในสมองน้อยๆ ของหมิงชูคิดไตร่ตรองดีแล้วว่าความรู้นี้จะไม่ทำให้มันอดตาย
ใบชาเก็บไว้ได้นาน ยิ่งชาผู่เอ๋อร์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เก็บไว้นานเท่าไรก็ยิ่งล้ำค่าขึ้นเท่านั้น มารเฒ่าบอกแก่เขาว่าชาผู่เอ๋อร์อายุสิบปีนั้นมีราคาสูงถึงหนึ่งเหรียญทองเลยทีเดียว แค่คิดว่าอีกสิบปีข้างหน้าเขาจะสามารถหาเงินได้มากกว่าหนึ่งเหรียญทอง หมิงชูก็แทบจะกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ไม่อยู่แล้ว นี่ยังไม่นับรวมถึงความจริงที่ว่ากิจการโรงน้ำชาก็เป็นอีกกิจการหนึ่งที่น่าจะทำกำไรได้ไม่เลวเลยทีเดียว
เวลาบนเขาผ่านไปอย่างรวดเร็วไม่นานก็ผ่านไปถึงสี่เดือนแล้วเด็กน้อยเทียนหมิงชูได้ศึกษาเรื่องชาจนแตกฉาน ส่วนหนึ่งเขาเรียนรู้จากปรมาจารย์หมื่นพิษ และอีกส่วนหนึ่งได้มาจากการลองผิดลองถูกของตัวเอง นอกจากความรู้เรื่องชาและสมุนไพรแล้ว หมิงชูยังลอบจดจำกระบวนท่าวิชายุทธ์ของมารเฒ่าเอาไว้ด้วย แม้ตัวเขาจะไม่สามารถเดินลมปราณได้ แต่ก็ใช่ว่าจะฝึกฝนการต่อสู้ไม่ได้ ทุกๆ วันยามที่ออกไปหาใบชาป่า สองเท้าเล็กๆ ก็จะก้าวไปตามแบบแผนที่จดจำมาจากมารเฒ่า ท่าเท้าที่เฒ่าหมื่นพิษใช้ออกยามฝึกฝนประจำวันนั้นมีหลากหลาย แต่หมิงชูเลือกฝึกท่าเท้าที่เพิ่มความเร็วเพียงท่าเดียว สมองของเขาแม้จะจดจำสิ่งต่างๆ ได้เป็นอย่างดี แต่ร่างกายของมันไม่เป็นเช่นนั้น การมุ่งฝึกไปทีละอย่างจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
หมิงชูใช้เวลาฝึกท่าเท้าอยู่สองเดือนก็คล่องแคล่ว พอเข้าเดือนที่สามเขาก็เหลาไม้ไผ่เป็นกระบี่ ฝึกฟาดฟันกิ่งไม้เลียนแบบมารเฒ่าอย่างมุ่งมั่น ท่าใดที่ใช้ออกแล้วติดขัดเขาก็จัดการปรับเปลี่ยนเสียใหม่ให้เหมาะกับตัวเอง เด็กชายฝึกเพลงกระบี่อยู่อีกสองเดือนก็แตกฉาน ตลอดเวลาเพลงกระบี่ของมารเฒ่าก็ถูกดัดแปลงเพิ่งเติมไปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม หมิงชูจึงตั้งชื่อวิชาของมันเสียใหม่ว่า “เพลงกระบี่ตัดยอดชา” เพื่อเป็นการขอบคุณต้นชาทั้งหลายที่สละกิ่งก้านให้เขาใช้ฝึกฝน
ฝ่ายมารเฒ่าหลังจากกบดานอยู่ถึงสี่เดือนพิษในร่างก็ถูกขับออกจนหมด ปรมาจารย์หมื่นพิษจึงได้ฤกษ์ออกจากที่กบดานแห่งนี้เสียที
“เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่?”
มารเฒ่าเอ่ยถามเด็กน้อยที่ใช้ชีวิตร่วมกันมาหลายเดือนจนเกิดเป็นความผูกพัน เขาคิดว่าหากเด็กน้อยตอบตกลง ก็จะให้หมิงชูเป็นเด็กรับใช้ประจำตัว ถึงตำแหน่งจะไม่สูงนักแต่ชีวิตของเขาย่อมสบายกว่าที่เป็นอยู่แน่นอน ทว่ามารเฒ่าก็ต้องผิดหวังเมื่อเด็กน้อยผสานมือตอบกลับมาอย่างฉะฉานว่า
“ผู้น้อยต้องการอยู่ทดแทนคุณบิดามารดา คงเดินทางไปกับผู้อาวุโสไม่ได้ขอรับ ขอบคุณผู้อาวุโสที่หวังดีกับผู้น้อยขอรับ”
“อืม...เช่นนั้นก็ขอให้โชคดี”
กล่าวจบร่างสูงใหญ่ในชุดผ้าฝ้ายเก่าๆ ก็อันตรธานหายไปจากสายตาของเด็กน้อย หมิงชูกะพริบตาครั้งหนึ่งก็ลดมือที่ประสานกันลง การเคลื่อนไหวของมารเฒ่าเมื่อครู่นี้ใช่ว่าเขาจะมองตามไม่ทันเสียทีเดียว อย่างไรก็ตามในเมื่อบอกลากันแล้วมันก็ไม่นึกอาลัยอาวรณ์ เด็กชายยังคิดว่าดีเสียอีกที่มารเฒ่าจากไปได้เสียที เขาอยากกลับบ้านจะแย่อยู่แล้ว
“เอาล่ะ กลับบ้านดีกว่า”
เด็กน้อยกล่าวออกมาด้วยสีหน้าปลอดโปร่ง เขาจากบ้านมานานไม่รู้ว่าตอนนี้ พ่อ แม่ และ น้องสาวจะเป็นเช่นไรบ้าง