ณดารู้สึกหงุดหงิด อาการไม่ตอบสนองของอีกฝ่าย หวังว่าเขาไม่ตายด้าน!หากเป็นเช่นนั้นเธอพร้อมจะรักษาให้เอง แล้วเธอก็รีบสลัดความรู้สึกนั้นทิ้งไป แล้วหันมาสนใจเพื่อนสาว
“เอ่อ...” โดนมุกไม่ได้เตี๋ยมกันเอาไว้ สาวใจเร็วอย่างแพมออกอาการเหวอไปเหมือนกัน แต่เพราะอยู่ในวงการหน้าสื่อมานานจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะปรับเปลี่ยนสีหน้าและความคิดเพื่อเอาตัวรอดได้
“แม้ก็งานมันรุ่มนิ แล้วนี้ก็รีบมาทำงานอีกแล้ว” เธอเล่นด้วยเสียงอ่อย เหมือนจงใจให้ใครๆรู้สึกว่าเธอมุ่งแต่ทำงานจนตัวเป็นเกรียว
“งั้นเดี๋ยวเราไปเก็บเสื้อผ้าแล้วลงไปกินข้าวกันดีกว่า เอ่อ ยังไงเชิญคุณทั้งสองคนด้วยนะคะ” เมื่อเพื่อนทอดสะพานไปไม่ถึงใจ เพื่อนรักในทีมเดียวกันจึงมัดมือชกอีกฝ่ายให้เอง
“เอ่อ ...” คล้ายน้ำท้วมปากขึ้นมาเสียดื้อๆ
“เป็นการขอบคุณ น่ะค่ะ” แพมเอ่ยขึ้นบ้าง ราเชนทร์ทำหน้าครุ่นคิดแต่ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ อีกฝ่ายจึงสรุป
“งั้นเจอกันลอบบี้ด้านล่างอีกชั่วโมงนะคะ” ชายหนุ่มมองหน้ากันเป็นเชิงปรึกษาแล้วขจรก็เป็นฝ่ายเอ่ยคำรับออกไป
“ครับ อีกชั่วโมง” ราเชนทร์ไม่ได้ค้านเมื่อขจรตอบรับ เพราะคิดว่าไม่เสียหายอะไร ในเมื่อเขาเองก็รู้สึกหิวขึ้นมาจริงๆ เมื่อนึกได้ว่า สามสี่ชั่วโมงที่ซัดตรงถึงที่หมาย โดยก่อนหน้ากินข้าวไปได้เพียงนิดเดียวเท่านั้น
แล้วกลุ่มสาวสวยก็แยกออกไปยังชั้นห้องของตัวเอง โดยสาวแพมทิ้งสายตาหวานหยดให้กับชายหนุ่มที่โดนใจเธอไว้แต่แรก
“ร้ายจริง” ขจรเปรยออกมาเบาๆแต่เพื่อนรักยังอุตส่าห์ได้ยิน จึงถามกลับเสียงขุ่น
“ฉันหรือเขาที่ร้าย”
“ทั้งคู่แหละ”
ขจรทิ้งค้อนแล้วเดินนำออกไป “อ้าวไอ้นี่” ราเชนทร์ได้แต่ส่งเสียงลอดไรฟัน พร้อมสายตาเหี้ยมตามหลังไป
ขจรก้าวเท้าช้าลงเมื่อถึงหมายเลขห้องพัก พร้อมเปิดประตูเข้าไปโดยราเชนทร์เดินตามเข้ามาติดๆ “นายว่าฉันร้ายแทนที่จะเป็นผู้หญิงพวกนั้น” ขจรกดขำเอาไว้ ไม่คิดว่าเพื่อนจะติดใจประโยคนั้น ทั้งที่เมื่อก่อนเพื่อนไม่ได้เป็นคนคิดเล็กคิดน้อยกับคำพูดที่เกี่ยวกับผู้หญิง
“หรือไม่จริง นี่ยังไม่รู้จักกันเลย แต่นัดกันกินข้าวซะแล้ว แบบนี้จะไม่ให้เรียกว่าร้ายแล้วเรียกว่าไงดี” ขจรทำสีหน้าจริงจัง อีกฝ่ายชักสีหน้า
“แล้วไอ้... ตัวไหนตอบรับไปวะ” เสียงทุ้มคำรามลั่น คนที่แหย่หนวดเสือ ปั้นหน้ายิ้มขำแล้วรับคำสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน
“เออว่ะ กูเอง”
“ร้าย... ผู้หญิงเดี๋ยวนี้เป็นอะไรกันไปหมด” ประโยคเหมือนพูดขึ้นมาลอยๆไม่ต้องการคำตอบจากใครก่อนจะทอดมองไปยังกระจกบานใสบานใหญ่ มองเห็นทิวทัศน์ ร่มไม้เขียวขจีบนผืนที่เกือบร้อยไร่ สดชื่นผ่อนคลาย หากเทียบกับเมืองหลวงที่เขาอาศัยมานานหลายปีเขาถวิลหาบรรยากาศแบบนี้มากกว่าในเมืองที่เต็มไปด้วยแสงสีสิวิไล ผู้คนต่างแต่งเสริมเติมหน้ากากใส่กัน รักเห็นแก่ตัวขวนขวายสิ่งบันเทิงเพิ่มความอยากให้กับความอยากมีอยากได้ โดยลืมนึกถึงศักดิ์ศรีที่ตนเองควรมี เถอะ...
ยามนี้ แม้จะยืนอยู่บนผืนป่า กลางธรรมชาติที่ไม่ได้ถูกบุกเบิกด้วยน้ำมือมนุษย์ จิตใจคนมองก็ไม่ได้รื่นรมย์ตามบรรยากาศที่ผ่านสายตา เมื่อภาพใบหน้าของสองสาวพี่น้องแวบผ่านเข้ามา
บ้าเอ้ย!
“ใจลอยไปหาน้องแพมแล้วหรือวะ” เสียงแทรกดังเข้ามา ทำลายภวังค์ ใบหน้าคมเข้มหันขวับ
“น้องแพมไหน?”
“อ้าวมีนัดกับเขา ดันลืมชื่อ สงสัยอีกนานกว่าจะจูนกันเจอ” อาจจะจริงเพราะเขาไม่ได้สนใจหล่อน
“งั้นนายก็จูนกันเองก็แล้วกัน” ราเชนทร์เอ่ยบอกทาง คำพูดโดนใจทำเอาขจรฉีกยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นอย่างนึกสนุก
“จริงหรือวะ หากหล่อนเล่นด้วยกะข้า ข้าฟาดไม่เลี้ยง เอ็งอย่ามาเสียดายทีหลังละกัน” ราเชนทร์ได้แต่ส่ายหน้ากับคำพูดคะนองปาก โดยทำสีหน้าเพ้อฝัน จนน่าถีบ ก่อนจะขอตัวอาบน้ำ เมื่อคิดว่าท้องเริ่มต้องการสารอาหาร
ณ ห้องพักรวม 034 เสียงกรี๊ดดังแข่งกันจนแก้วหูแทบแตก “ขอบใจมากยัยบี หากไม่ได้แก ฉันไม่รู้นะนึกแผ่นอะไร ให้เขาติดกับ” น้ำเสียงที่ยังมีอาการตื่นเต้นอยู่เอ่ยบอกเพื่อนสาว
“เพื่อนกัน หากเหยื่อติดเบ็ดแล้ว แกอย่าลืมพวกฉันก็แล้วกัน เห็นบอกว่าพ่อรวยแถมมีร้านจัดแต่งโมดิฟาย เป็นของตัวเองด้วยละ แต่ออกมาอยู่ข้างนอก คงรักอิสระ ทีนี่ละ...อึยยย ไม่อยากจะคิดละแพมเอ้ย สะดวกแกละ” สะดวกที่ว่าคือไม่อยู่ในสายตาของผู้หลักผู้ใหญ่ อย่างที่พวกหนุ่มสาวรักอิสระทำกัน
“พวกอีโก้สูงไม่ว่า” เพื่อนสาวที่เงียบมาโดยตลอดเอ่ยขึ้น แพมตวัดสายตามองไม่ชอบในนัก
“ไม่ออกความคิดเห็นก็ไม่มีใครว่าแกหรอกยัยรส”
“ก็แค่บอก เผื่อจะได้ตั้งรับทัน”
“ขอบใจ”
น้ำเสียงฟังดูไม่พอใจรสจึงจัดการลากกระเป๋าจัดการเก็บเสื้อผ้าแขวนเข้าที่ โดยเหลือบมองสองเพื่อนสาวที่หัวเราะคิกคัก กับมโนที่วาดฝันเรื่องราวที่ยังมาไม่ถึง อย่างสนุกปาก เหมือนกับว่า เหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นไปตามที่พวกเธอคาดหวัง
“นัดกับเขา อีกหนึ่งชั่วโมงไม่ใช่หรอ นี้ก็กินเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วนะ” อดไม่ได้รสจึงเตือนเพื่อนสาวทั้งสองที่ไม่มีท่าทีจะหยุดฝันเฟื่องซะที
“ว้ายจริงด้วย” เสียงแพมอุทานพร้อมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูให้แน่ใจ
“เพราะแกเลยยัยบีนำคุย” คนโดนกล่าวโทษหน้าเหวอ รสได้แต่เอามือปิดปากกลั่นหัวเราะ ทำดีได้ดีซะที่ไหน
บีมองแผ่นหลังบอบบางที่รีบกุลีกุจอรื้อกระเป๋า วางชุดที่อยู่ในกระเป๋าชุดแล้วชุดเล่าจนหมด เสื้อกล้ามที่ขาวรัดรูปเพ้นท์ตัวหนังสืออังกฤษและกางเกงยีนสีเข้มสั้นจู๋ ถูกหยิบขึ้นมาทาบบนตัว แล้วหันหน้าไปยังเพื่อนสาว เพื่อขอความคิดเห็น “พวกแกว่าเป็นไงบ้าง” สองสาวพยักหน้าเมื่อคิดว่า คนสวยแต่อะไรก็สวย อีกอย่างเตรียมเสื้อผ้าแต่ยังไม่มีใครอาบน้ำกันเลยสักคน แพมจึงรีบวางเสื้อผ้าแล้วเข้าห้องน้ำก่อนใคร