อารมร์
7.39 น.เสียงเครื่องยนต์ เอพริลเลีย สี่สูบรุ่น RSV4 R เร่งผ่าความเร็วแล้วเร่งเป็นจังหวะ บนทางอิฐบล็อกหน้าคฤหาสน์หลังงามบ่งบอกถึงความมั่นคงของผู้อาศัย ก่อนจะเบรกพรืด!! ลากเป็นทางยาวทิ้งรอยไว้
เสียงเร่งเครื่องเสมือนเสียงเตือน ให้คนภายในคฤหาสน์ เตรียมตัวรับมือผู้มาเยือน อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า โดมคนใช้ที่สนิทที่สุดด้วยเล่นกันมาตั้งแต่วัยเด็กและวัยไล่เลี่ยกันจึงเปรียบเสมือนเพื่อนสนิท วิ่งออกมารับหน้าก่อนใคร
“คุณราเชนทร์ กลับมาแล้วหรือครับ ผมดีใจจัง” น้ำเสียงฟังดูตื้นเต้นดีใจ แต่ภายในใจตุ้บๆต่อมๆ เตรียมตัวหลบพายุลูกใหญ่
จะไม่ให้ใจเต้นเหมือนหนูตกใจแมวได้อย่างไร เกือบสองเดือนที่คุณหนูเจ้าของบ้านไม่เหยียบย่างเข้ามา แล้วสัปดาห์นี้ที่คฤหาสน์ก็มีสมาชิกเพิ่มขึ้นมา หรือว่าจะมาเพราะเรื่องนี้... โดมคิดอย่างหวั่นใจ
“พ่อล่ะ?” น้ำเสียงฟังดูห้วนและก็สั้นอย่างเคยไม่ว่ากี่เดือนหรือเป็นปี โดมคลายสีหน้ายิ้มยิงฟัน
“ยุ...” โดมอ้าปากจะตอบ ก็ค้างเติ่ง เมื่อคนถามจอดรถเข้าที่เรียบร้อย ลงจากรถเดินปาดหน้าไปเฉย คนที่เหลือได้แต่เกาหัวแกรกๆ มองตามหลัง แล้วออกตัววิ่งตามไป
“คุณท่าน รับประทานอาหารอยู่ครับ”
“หึ... คุณพ่อกินข้าวเช้าด้วยหรือ” น้ำเสียงกึ่งประชด โดมก้มหน้าเงียบ ไม่แน่ใจว่าคำถามนั้นต้องการคำตอบหรือไม่ และคำถามต่อมาทำให้โดมเสียวสันหลังวาบ
“คงเสวยสุขกันดีสินะ ถึงได้ลุกมากินข้าวเช้าได้” นี่คือสิ่งที่ราเชนทร์จำฝังใจ เมื่อวัยเด็ก
‘พ่อฮะ กินข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อยสิฮะ’ เด็กชาย วัยสิบขวบ ลงทุนมายืนรออยู่หน้าขั้นบันได เผื่อวันนี้คนเป็นพ่อจะเปลี่ยนจากที่เดินรีบร้อน มือถือกระเป๋า มืออีกข้างรีบแต่งเนคไทบนคอเสื้อให้เข้าที่เข้าทาง จะหันมาลูบศีรษะเบาๆก้มลงมาพูดคุย ยอกเย้าพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้าบ้างสักครั้ง
แต่สิ่งที่เห็นตลอดหลายปีคือ ชายวัยทำงานรูปงามแต่งตัวภูมิฐานรีบร้อนออกทำงาน เป็นภาพชินตา
‘พ่อรีบ มีประชุมเช้า ลูกก็ให้โดมกินเป็นเพื่อนก่อนสิ’ พูดพลางเท้าก้าวออกจากบ้านไม่ได้หันมามองหรอก ว่าเด็กสิบขวบจะมองแผ่นหลังภายใต้เสื้อสูทด้วยความรู้สึกอย่างไร
โดมกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ ไม่แน่ใจอาการคุณหนูของตัวเองนัก เมื่อรู้ว่าคุณพ่อปรับเปลี่ยนตัวเองในทางที่ดี จากที่รับกาแฟเช้าแล้วไปทำงาน มันแปลกตรงไหน?
เท้าหนายังคงเดินต่อ จุดหมายคือพบใครบางคน โดมทำหน้าที่เดินตามอย่างคนใช้ที่ดี มีบ้างเหลือบมองแผ่นหลังหนาอย่างหวั่นๆ
เสียงพูดคุยพร้อมกับเสียงดังกระทบช้อนจานเบาๆ บอกให้รู้ว่าภายในมีคนอื่นร่วมอยู่ด้วย และทุกคนกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร และบรรยากาศนั้น กำลังอบอวลด้วยความสุขอบอุ่น เมื่อมีเสียงหัวเราะแทรกขึ้นในระหว่างสนทนานั้น
“มีความสุขกันดีนะครับ”
บุคคลมาใหม่ส่งเสียงทักทายขึ้นก่อน และนั้นทำให้การพูดคุยในโต๊ะกินข้าวเงียบชะงัก ราชิตที่นั่งหัวโต๊ะเหลือบมอง เหมือนรออยู่แล้ว
“มาได้แล้วหรือ” เสียงทุ้มทักทายลูกชายกลับไป พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังขา
สองสาวหันมองสบตากัน แม้จะรู้มาบ้างว่าสองพ่อลูกไม่ค่อยลงรอยกัน ตามข่าวซุบซิบในแวดวงสังคม เป็นแค่การขายข่าว แต่เมื่อเจอเข้าจริงๆ จึงรู้ว่า เรื่องทุกอย่างมีเค้าความจริงอยู่บ้าง
เถอะ! ราเชนทร์ที่ไม่เคยอยู่ในช่วงอารมณ์นี้กับครอบครัวหน้าเบ้กับคำถาม พร้อมกันนั้น เขาได้ประจักษ์ต่อสายตา สองสาวหน้าตาละมายคล้ายกันนั่งเก้าอี้ถัดกันไป เขาฟังข่าวมาไม่ผิด!
“หรือไม่อยากให้ผมมาล่ะ” สายตาเต็มไปด้วยคำถาม ผิดหวัง เย้ยหยัน อยู่ในที สบตาผู้เป็นพ่อ
“ทำไมถามแบบนั้นล่ะ” ราชิตถามกลับสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่แปลกหากเขาและบุตรชายพูดจาไม่ลงรอยกันเพราะหลายปีมานี่ ราเชนทร์ตั้งตัวต่อต้านทุกอย่างที่เขาสั่ง
“ก็เห็นหายไป”
“ก็เป็นเรื่องปกติของผม ที่พ่อก็รู้อยู่แล้ว”
“เอ่อๆ พ่อรู้ แต่วันนี้มาก็ดีแล้ว พ่อจะแนะนำ คุณปองรัก...” ราชิตเว้นคำพูดไว้เพราะคิดว่า ลูกชายคงรู้แล้ว เมื่อข่าว ‘นักธุรกิจใหญ่แต่งเมียสาวคราวลูก’ พาดหน้าหนึ่งให้นักธุรกิจรุ่นเดียวกันอิจฉาตาร้อนกันเล่น มาหลายวัน
“แล้วนี่หนูใจปอง รู้จักกันไว้” น้ำเสียงบ่งบอกถึงความปลื้มปีติ แต่คนฟังอย่างราเชนทร์กับเบะปาก แล้วพูดขึ้นอย่างไม่ใยดี
“ผมรอพ่อด้านนอกนะครับ” น้ำเสียงห้วนตอบกลับไป โดยจิกสายตาเหลือบมองผู้หญิงสาวที่หน้าละม้ายคล้ายกันอีกครั้ง ครั้งนี้เขาจ้องลึก อย่างสังเกต ให้รู้ว่าใครเป็นใคร คนที่นั่งติดกับพ่อน่าจะพี่สาวซึ่งนั้นคือ แม่เลี้ยงเขา ส่วนอีกคนที่นั่งถัดไป คงเป็นน้องสาว
ราชิตหน้าเจื่อน สองพี่น้องหน้าชา ไม่คิดว่าญาติฝ่ายสามีจะตัดไมตรีเช่นนั้น ผู้อาวุโสในบ้านเลยเปลี่ยนเรื่อง
“กินอะไรมาหรือยัง นั่งลงก่อนสิ เตือน! ตักข้าวต้มให้คุณราเชนทร์ซิ” ถามบุตรชาย พร้อมหันไปสั่ง แม่บ้านคนสนิทที่ยืนบริการอยู่แล้ว
เตือนยิ้มรับ กุลีกุจอตั้งท่าจัดเตรียม
“ไม่กิน” ราเชนทร์บอกปัด น้ำเสียงฟังดูว่าไม่พอใจ จะด้วยสาเหตุใดไม่มีใครรู้ได้ แต่คนนอก อย่าง ปองรักและใจปอง รู้สึกตะขิดตะขวงใจ แม้จะรับรู้มาบ้างว่า ราชิตมีลูกชายที่ไม่ลงรอยกัน แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะแสดงออกต่อหน้าเธอกับพี่สาว อย่างไม่ไว้หน้า คนเป็นพ่อเลย
“สักนิดก็ยังดี เดี๋ยวลืมฝีมือป้ากันพอดี” น้ำเสียงผู้สูงวัยเอ่ยอย่างอ้อนให้ ด้วยความเคยชิน ก็แกเลี้ยงมากับมือ ตั้งแต่แบเบาะเพราะแม่บังเกิดเกล้าเสียชีวิตตั้งแต่คลอดราเชนทร์ หน้าที่เลี้ยงดู จึงตกมาอยู่ที่เตือนแม่หม้ายลูกติด
ใบหน้าคมเข้มที่เหมือนไม่มีน้ำล่อเลี้ยงตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในคฤหาสน์หลังงาม มีรอยยิ้มบางๆผุดขึ้น และนั้นป้าเตือนก็เป็นสุขแล้ว นางยิ้มรับกับรอยยิ้มที่หายากนั้น
“ผมไม่เคยลืม แต่วันนี้ไม่หิว กินไม่ลง กลัวจะสำรอกเสียของป่าวๆ”
มืออวบอ้วนถือทัพพีหยุดชะงัก รอยยิ้มคนสูงวัยค่อยๆหุบลง การปฏิเสธและคำพูดนั้น ทำเอาหลายคนสะอึก นี่เท่ากับเขาไม่ยอมรับการร่วมโต๊ะกับคนแปลกหน้า
สองพี่น้องสาวแอบกลืนน้ำลายเหนี่ยวๆลงคอ เตือนได้แต่ส่ายหน้า รู้นิสัยถือดี ที่อีกฝ่ายสร้างขึ้น เพื่อเป็นเกราะ ให้ตัวเอง แต่เธอก็มีความห่วงใยอยู่เต็มเปี่ยม
“พี่รัก ปองอิ่มแล้ว” คนที่เคยเงียบมาตลอดสุดทน ลุกขึ้นจนเสียงขาเก้าอี้ครูดไปกับพื้นเสียดยาว ปองรักตะครุบมือน้องสาวไว้ ส่งสายตาบอกเป็นนัยๆว่าใจเย็นๆ น้องสาวจึงจำใจนั่งลงอย่างเดิม ดูสถานการณ์ต่อ แต่เธอตั้งใจ ยอมเสียมารยาทหากถูกอีกฝ่ายแสดงท่าทีรังเกียจอีก แม้เป็นลูกชายของพี่เขยก็ตาม
“ไม่มีมารยาท” ไม่ใช่เสียงคนร่วมโต๊ะ ใจปองหน้าชา ความไม่ชอบขี้หน้า ผุดขึ้นในความรู้สึกทันที ราชิตเริ่มรู้สึกไม่พอใจอาการ พูดขวานผ่าซาก ไม่ไว้หน้าตน ของลูกชายขึ้นมาครามครัน
“แกไม่กิน ก็ออกไปรอพ่อข้างนอก” น้ำเสียงสะบัดใส่อารมณ์ ชายหนุ่มกัดฟันกรอด พ่อไล่เขาต่อหน้าคนอื่นหรือเนี่ย!?
“เดือดร้อนแทนกันจังนะครับ” คำยอกย้อน ทำเอาเมียสาวอย่างปองรักนั่งไม่ติด จับมือสามีแก่คราวพ่อไว้ด้วยความหวั่นใจ ราชิตผ่อนลมหายใจเข้าออกสงบจิตให้เย็นลง ด้วยเกรงใจเมียสาวคราวลูก
“ผมก็อิ่มแล้วเหมือนกัน” ราชิตตัดใจจบเรื่อง