เช้าวันรุ่งขึ้น ภูวนัยต้องลากคาร์ลให้ไปเยี่ยมมารดาซึ่งอยู่บ้านอีกหลังด้วยความจำใจ แม้จะรู้ว่าคาร์ลไม่เคยคิดที่จะไปเหยียบบ้านของมารดาเลยก็ตาม ขณะที่นั่งอยู่บนรถคาร์ลก็ทำสีหน้าไม่สนใจต่อสิ่งใด จนบิดาเอ่ยถามขึ้น
“ยิ้มหน่อยสิลูก” ภูวนัยพยายามพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะเอื้อมมือแตะที่หัวไหล่คาร์ลเบาๆ แต่เขากลับเมินหน้าหนีออกนอกรถเสียอย่างนั้น
“ผมไม่ได้อารมณ์ดี จะให้ผมเอาอารมณ์ที่ไหนมายิ้ม” คาร์ลบอกน้ำเสียงเรียบ ทำเอาภูวนัยถึงกับถอนหายใจ
“คาร์ล” ภูวนัยครางเรียกชื่อบุตรชายเบาๆ พลางส่ายหน้า
“ถึงบ้านคุณแม่แล้วเราค่อยคุยกันครับ” คาร์ลพยายามข่มอารมณ์ของตัวเองเช่นกัน เพราะอย่างน้อยเขาก็รู้ว่ากำลังคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้อีกแล้ว ภูวนัยจึงต้องเงียบไม่เอ่ยถามอะไรอีก
ไม่นานนักรถคันหรูก็เลี้ยวเข้ามาในบริเวณบ้านหลังใหญ่ ที่สามารถเรียกว่าคฤหาสน์ได้เลยทีเดียว ขณะที่เจ้าของบ้านออกมารอต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว รถคันหรูจึงจอดเลียบหน้าทางขึ้นบ้าน คนแรกที่ลงจากรถคือคาร์ล เมื่อเขาลงมาได้จึงเดินเข้าไปสวมกอดมารดา พร้อมกับหอมแก้มเบาๆ ตามธรรมเนียมฝรั่ง
“Hi mum. How are you? คาร์ลทักทายมารดาเป็นภาษาอังกฤษด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่บิดาที่ฟังอยู่รู้ได้ทันทีว่าคาร์ลกำลังประชดด้วยภาษาอังกฤษมากกว่า เพราะมารดาพูดไทยได้
“Am fine honey” มารดาตอบกลับยิ้มๆ
“I miss mum very much” คาร์ลบอกอย่างเอาใจอีกครั้ง แต่ภูวนัยกลับแทรกขึ้น
“Miss you too honey”
“คาร์ล พูดไทยซิ” ภูวนัยบอกด้วยเสียงเข้มไม่พอใจ คาร์ลทำราวกับว่าไม่อยากจะพูดกับแม่ตัวเอง
“สวัสดีครับคุณแม่ สบายดีนะครับ” คาร์ลจำต้องทักทายมารดาเป็นภาษาไทยอย่างที่บิดาต้องการ แต่น้ำเสียงของเขายามที่พูดกับมารดาช่างดูสุขุมนุ่มลึกและน่าเกรงขามซะจริง แต่ยามโมโหเถอะพ่อคุณเอ๊ย
“ถนัดพูดยังไงก็พูดเถอะ ทำไมคุณต้องดุล่ะคะ” เจนน่าหันมาเอ็ดสามีเสียได้
“แต่พ่อไม่ชอบ เหมือนประชด” ภูวนัยว่า ทว่าคาร์ลกลับยักไหล่อย่างไม่แยแส
“เอาน่าคุณก็ แม่คิดถึงจังเลยลูก ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”
“คิดถึงจริงเหรอครับ” คาร์ลถามกลับน้ำเสียงเรียบจนมารดางง พร้อมกับมองหน้าภูวนัย
“ก็เราไม่ได้เจอกันตั้งนานนี่ลูก” มารดาบอกไปตามซื่อ
“ครับคุณแม่ แล้วนี่พี่ผมทำไมไม่อยู่ที่นี่ด้วยล่ะครับ” คาร์ลคงหมายถึงการมาต้อนรับสินะ
“จัดของเสร็จก็ไปนั่งทำงานต่อที่ริมสระน่ะลูก” เจนน่าบอกอย่างยิ้มๆ ดีใจที่ลูกคนเล็กเอ่ยถามถึงพี่ชายบ้าง
“ไปหาพี่สิลูก” บิดาบอกแต่ก็หวั่นใจไม่เบา จะเป็นเรื่องดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่บอกให้คาร์ลไปหาพี่
“ครับคุณพ่อ” ว่าแล้วคาร์ลก็ไม่รอช้ารีบเดินตรงไปที่สระว่ายน้ำ ที่พี่ชายกำลังนั่งทำงานอยู่กับโน้ตบุ๊คคู่ใจ ก่อนจะหยุดยืนอยู่ด้านหลังพี่ชาย
“ไม่เจอกันนานนะคริน” คาร์ลเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบแต่ดุดันเหมือนจะข่ม ผู้ที่ถูกเรียกชื่อละมือจากการทำงานลุกขึ้นเต็มความสูง พร้อมกับหันหน้าไปเผชิญกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังทันที
“นึกว่าคุณพ่อจะมาคนเดียวซะอีก” ผู้เป็นพี่ชายถามอย่างอ่อนโยน พร้อมกับยิ้มให้บางๆ
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าทั้งคู่กำลังคุยกับตัวเองอยู่หน้ากระจก เพราะตั้งแต่หัวจรดเท้าของทั้งคู่แทบแยกแยะไม่ออกว่าใครเป็นใคร ใครคือคิริน และใครคือคาร์ลกันแน่ นอกซะจากคนที่สนิทที่สุดถึงแยกออก เพราะดูจากนิสัยที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ด้วยทั้งคู่เป็นพี่น้องฝาแฝด แต่ถูกจับแยกจากกันและเลี้ยงกันคนละแบบ คนพี่คือคิรินอยู่กับมารดา ทำให้อุปนิสัยอ่อนโยนเรียบร้อยเหมือนผู้หญิง คนน้องคาร์ลอยู่กับบิดาซึ่งเป็นคนมีอิทธิพล ทำให้คาร์ลผลักดันตัวเองจนกลายเป็นเจ้าพ่อเหมือนบิดาไปเสียอย่างนั้น หรือจะเป็นมากกว่านั้นด้วยซ้ำ
“ทำไม ไม่อยากให้ฉันมาเหรอ” คาร์ลถามอย่างเหยียดๆ และยิ้มอย่าง เจ้าเล่ห์
“เปล่า ปกตินายไม่ค่อยอยากมา” คิรินตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนเดิม
“วันนี้ว่าง ฝากท้องด้วยละกัน” คาร์ลบอกเสียงเรียบ ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะทำงานแทนพี่ชาย
“งานหนักน่าดูสิท่า” แม้จะไม่อยากถามแต่ก็ต้องถามตามมารยาทสิ คิรินคิด
“ก็ไม่เท่าไหร่หรอก ฉันลืมถามนายว่าสบายดีใช่ไหม” คิรินถามอีกครั้ง แต่หน้าอย่างนี้หรือเรียกว่าสบาย คาร์ลไม่เคยสบายดีเลยต่างหาก แต่คิรินก็ต้องถามเพื่อเป็นมารยาทเช่นกัน
“อย่ามาทำเป็นถามให้ตัวเองดูดี เพราะว่าหน้าฉันมันอมทุกข์แบบนี้มานานแล้ว ยังคิดว่าสบายดีอย่างนั้นเหรอ” คาร์ลว่าด้วยน้ำเสียงดุ จนคิรินผ่อนลมหายใจออกเบาๆ ทั้งที่ไม่อยากทะเลาะกันเลย
“คาร์ลเราเข้าบ้านกันนะ” คิรินบอกก่อนจะเดินนำไป เพราะไม่อยากเถียงอะไรแล้ว
“ที่นี่มันก็บ้านฉันเหมือนกัน ฉันต้องรอให้นายเชิญด้วยหรือไง” คาร์ลว่าให้อย่างไม่พอใจ ความจริงแล้วคาร์ลไม่เคยพอใจพี่ชายคนนี้เลย ไม่อยากจะคุยกันเสียด้วยซ้ำ
“งั้นก็ตามสบายละกัน” คิรินบอกอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเดินจากไปเพื่อเลี่ยงที่จะไม่ทะเลาะ เพราะรู้จักนิสัยคาร์ลดี และพี่คนนี้ก็ขึ้นชื่อว่าให้เกียรติทุกคนแม้กระทั่งน้องชายตัวเอง ให้ทุกอย่างแม้กระทั่งความรัก ยอมแม้กระทั่งเป็นเบี้ยล่างให้น้องชาย
“สวัส
ดีครับคุณพ่อ” คิรินทักทายบิดาพร้อมกับยกมือไหว้ เมื่อเดินเข้ามาถึงห้องรับแขก
“ไงคริน ลูกสบายดีนะ” บิดาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ซึ่งต่างจากเวลาพูดกับคาร์ลลิบลับ
“ครับ สบายดี” คิรินตอบอย่างสุภาพเช่นกัน
“ไม่เปลี่ยนเลยนะเราเนี่ย” ภูวนัยคงหมายถึงอุปนิสัยใจคอที่ยังเรียบร้อยเหมือนผู้หญิง
“เจอคาร์ลแล้วสินะ” บิดาถามอีกครั้ง
“ครับ” คิรินตอบสั้นๆ พร้อมกับปรับสีหน้าให้เรียบขึ้น
“ไม่ชวนน้องเข้ามาเลยล่ะลูก จะได้ทานอะไรกัน” เจนน่าแทรกขึ้น
“เดี๋ยวก็ตามมาครับคุณแม่” ยังพูดไม่ทันขาดคำ คาร์ลก็เดินมาพอดี
“มีคนพูดถึงผมเหรอครับ” คาร์ลถามเสียงขรึมทันทีเมื่อเดินเข้ามาในบ้าน สายตาคมกริบยังคงมองไปยังพี่ชายอย่างเฉยชา
“คาร์ลมานี่มาลูก แม่เตรียมของโปรดไว้ด้วยนะ” มารดาบอกอย่างเอาใจก่อนจะเดินไปหาแล้วรั้งแขนให้เดินไปที่ห้องอาหาร ขณะที่ทุกคนเดินตามมาเช่นกัน
“จริงเหรอครับ” สีหน้าของคาร์ลค่อนข้างเยาะหยัน เมื่อมารดาเอาใจเขาเป็นพิเศษกว่าที่เอาใจพี่ชาย
“งั้นวันนี้ผมต้องเจริญอาหารแน่เลย” เวลานี้คาร์ลกลายเป็นคนช่างอ้อนขึ้นมาทันที ต่อหน้าพี่ชายที่มองมา แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าแววตาที่คาร์ลสื่อออกมาน่ะมันคืออะไร เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้
“ครินลงมือทำด้วยตัวเองนะ” มารดาบอกอย่างยิ้มๆ
“คุณแม่น่าจะรู้มานานแล้วว่ามีลูกสาว ไม่ได้มีลูกชายเสียหน่อย” คาร์ลยังไม่หยุดเหน็บแนมพี่ชายอยู่ดี
“คาร์ล ว่าพี่อย่างนั้นได้ยังไง” ภูวนัยอดไม่ได้ที่จะตำหนิ นี่ดีเท่าไหร่แล้วที่คิรินยอมทุกอย่าง
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณพ่อ” คิรินยังคงแก้ต่างให้เหมือนเดิม
“นั่นไงครับ เขายอมรับเองนะ” คาร์ลใช้น้ำเสียงเย้ยหยันเหมือนเดิมเช่นกัน
“คาร์ลหยุดพูด!” บิดาเริ่มทำเสียงดุใส่
“คุณแม่ดูสิครับ คุณพ่อกำลังทำเสียงดุอ่ะ” ได้ทีคาร์ลก็หันไปอ้อนมารดาทันที
“ไม่เอาน่า คุณก็รู้ว่าตาคาร์ลพูดเล่น” เข้าข้างกันเข้าไปเถอะ บิดาคิด
“เราทานข้าวกันดีกว่า” เจนน่ารีบตัดบทก่อนที่สงครามจะเกิดอะไรขึ้น จากนั้นทุกคนจึงร่วมรับประทานอาหาร
“คาร์ลทานอะไรดีลูก แม่ตักให้” เจนน่าชักจะเอาใจคาร์ลเกินหน้าเกินตาไปหน่อยแล้ว จนคิรินลอบมองหน้า ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเลย เพราะว่าอย่างน้อยคาร์ลกับมารดานานๆ เจอกันที
“ทอดมันปลาครับคุณแม่” คาร์ลบอกและประจวบเหมาะกับที่คิรินกำลังจะตักพอดี เพราะว่ามันวางอยู่ตรงหน้า แต่แล้วมารดาดันยกทั้งจานไปให้คาร์ลซะนี่ คาร์ลจึงยิ้มอย่างเป็นต่อ
“ครินพ่อตักทอดมันให้เอาไหมลูก” บิดารู้ดีว่าคาร์ลกำลังแกล้งพี่ชายอยู่
“ไม่เป็นไรครับคุณพ่อ” คิรินก็ยังคงสุภาพเหมือนเดิมขนาดโดนแกล้ง และยังไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่ภูวนัยน่ะรู้ดี และกว่าการสังสรรค์จะจบลงก็ใช้เวลายันเย็น คนที่เหนื่อยและไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองก็เห็นจะเป็นคิริน เพราะกว่าที่เขาจะได้พักผ่อนและไม่ได้รับมือกับสงครามประสาทที่น้องชายทำ
“แล้วผมจะมาใหม่นะเจน” ภูวนัยหันมาร่ำลาภรรยาขณะที่กำลังจะก้าวขึ้นรถ
“ค่ะคุณ แล้วมาหาแม่บ่อยๆ นะคาร์ล อย่าให้แม่ต้องคิดถึงนาน” ยังไม่วายที่เจนน่าจะแสดงความรักที่มีต่อคาร์ลจนออกนอกหน้า
“ครับคุณแม่ เอาไว้ถ้าว่างผมจะมานอนด้วย”คาร์ลทิ้งคำเน้นๆ พลางมองหน้าที่ชายด้วยแววตาคมกริบน่ากลัว
“รักษาสุขภาพครับคุณพ่อ นายด้วย” คิรินเอ่ยกับบิดาแต่ก็ไม่ลืมที่จะบอกน้องชายแสนจองหองของตัวเอง
“ดูแลชีวิตนายให้ดีก็แล้วกัน” คาร์ลนฌ็
ดันตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่น่าคิด และน่ากลัวจนทำให้ผู้เป็นบิดารีบเรียกขึ้นรถ
“คาร์ลขึ้นรถ” ภูวนัยตัดบททันที
จากนั้นคาร์ลจึงก้าวขาขึ้นรถพร้อมกับทิ้งสายตาอำมหิตเอาไว้กับพี่ชาย เขาทำราวกับว่าเกลียดกันมาสักร้อยชาติ มันช่างดูชิงชังเคียดแค้นอย่างบอกไม่ถูก คิรินไม่อยากสบตาคู่นั้นเลย เพราะมันทำให้เขารู้สึกไม่ดีและไม่อยากคิดอะไรมาก