ในเวลาเย็นหลังจากที่หญิงสาวต่างวัยทั้งสองกำลังปิดร้านขายข้าวแกงเล็กๆ ที่ต่อเติมตรงหน้าบ้านของตนอยู่ ก็มีแขกแปลกหน้ามาที่บ้าน
ชายใส่ชุดแจ็กเกตสีดำสองคนที่ยืนจังก้าตรงหน้า ท่าทางน่ากลัวและการแต่งตัวคุมโทนสีดำทั้งตัวนั้น ทำให้เธอแทบก้าวขาไม่ออก วิราพรกับมารดาถึงกับตัวสั่นด้วยความกลัว
“พ่อเธอเป็นหนี้อยู่หนึ่งแสน ดอกเบี้ยเจ้านายก็ไม่ได้คิดแพงเลยด้วยซ้ำ ตามกฎหมายทุกอย่าง แต่ก็ขาดส่งมาตั้งแต่กู้ไปเมื่อสามเดือนก่อน วันนี้ถ้าไม่มีเงินกลับไปสักสองหมื่น คงรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ชายคนแรกพูดเสียงดังโผงผางน่ากลัว
“พะ พะ พ่อฉันเลิกกับแม่มาหลายปีแล้ว บ้านหลังนี้มีฉันอยู่กับแม่แค่สองคน พวกฉันไม่รับรู้อะไรด้วยหรอก กลับไปเถอะ” เธอบอกเสียงสั่นด้วยความกลัว
หากเป็นในนิยายแน่นอนว่าผู้หญิงที่อ่อนแออย่างเธอจะต้องโดนจับตัวไปเพื่อขัดดอก แต่ในชีวิตจริงคงโดยฆ่าปาดคอไม่ก็ส่งไปขายซ่องเพื่อล้างหนี้ก็ได้
“เอาไงดีวะ” ชายทั้งสองหันไปปรึกษากัน แล้วหันมามองเธออย่างพิจารณา
“ฉันไม่ไปเป็นเมียขัดดอกใครนะ” เธอรีบร้องบอกเสียงสั่น
“ดูหนังมากไปไหม เจ้านายเราไม่เอาหรอก ดูสภาพ” ชายอีกคนพูดอย่างดูแคลน เมื่อมองดูวิราพรในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นกับใบหน้าที่ไร้สีสันแต่งแต้ม
“ฉันกับลูกไม่มีเงินหรอกพ่อคุณ ก็ได้แต่ขายข้าวราดแกงไปวันๆ ตามสภาพที่เห็นนั่นแหละ อีกอย่างฉันกับเขาก็เลิกกันไปนานแล้ว ไปตามหาที่อื่นเถอะนะ” อรชรอ้อนวอนขอความเห็นใจ จับมือลูกสาวที่ยืนตัวสั่นเทาไม่แพ้กัน
“เอาไงดีเอ”
“กลับไปก่อนไหมบี”
นายเอและนายบีปรึกษากันเหมือนกับตัวการ์ตูนผลไม้ วิราพรอยากขำแต่ก็ขำไม่ออก เพราะท่าทางที่ดุดันและน่ากลัวนั่น
“พวกเราจะกลับไปบอกเรื่องนี้กับนาย และสืบเรื่องนี้ว่าเขาไม่ได้กลับมาที่นี่จริงหรือเปล่า ถ้าโกหกหรือเบี้ยวหนี้ล่ะก็ โดนถล่มร้านเละแน่” นายเอกล่าวขู่ด้วยท่าทางที่น่ากลัว
“ปะ ไปสืบเลย พวกเราไม่ได้โกหก” วิราพรบอกพวกเขา
ทั้งสองมองหน้ากันอีกรอบแล้วเดินกลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติกแบบสตาร์ทมือคันสีชมพูแถบขาวที่ไม่เข้ากับเสื้อผ้าและการแต่งกายของพวกเขาเลยสักนิด
“ไอ้เลว เลิกกันไปหลายปีแล้ว ดูพ่อแกสิวิ มันกล้าดียังไงใส่ที่อยู่ร้านไปให้พวกทวงหนี้ สาธุ ขอให้คนทวงหนี้ตามเจอแล้วยิงมันทิ้งด้วยเถอะ” มารดาของวิราพรพูดแล้วยกมือไหว้แช่งอดีตสามีด้วยความโมโห
“แม่ อย่าไปแช่งพ่อเลย พ่อคงมีความจำเป็นนั่นแหละ”
“ติดหะ..”
“แม่!” วิราพรรีบร้องขึ้นมาก่อนที่มารดาจะพูดออกเสียง
“เออ ติดกีเด็กนะสิ กู้เงินไปให้ทำอะไรอีกล่ะคราวนี้ หน็อย ไอ้เ*******ู” อรชรพูดด้วยความโมโห
วิราพรส่ายหน้าเบาๆ หันไปมองหน้าร้านแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอกที่คนทวงหนี้ไม่ได้ย้อนกลับมา แต่เมื่อคิดถึงคำพูดดูถูกก็รับไม่ได้ที่เขาดูถูก ‘สภาพ’ ของเธอ ว่าเจ้านายของเขาคงไม่ชายตาแล ก็อดที่จะแอบโมโหไม่ได้
“รีบปิดร้านรีบเข้าบ้านเถอะ เดี๋ยวย้อนมาอีกจะซวยเอา” อรชรบอกลูกสาวที่กำลังยืนเหม่ออยู่
“จ้าแม่” เธอตอบรับแล้วรีบเก็บของ พลางคิดในใจว่าหากสองคนนั้นกลับมาอีกเธอจะทำอย่างไรดี
**********************
หลายวันแล้วยังไม่มีวี่แววของนักเลงทวงหนี้มาที่ร้านของเธอ อรชรกับวิราพรจึงสบายใจและขายข้าวราดแกงตามปกติของตนไป
ในช่วงเที่ยงที่คนแน่นร้าน อรชรและวิราพรจึงไม่ได้สังเกตว่าตอนนี้มีใครกำลังจ้องมองพวกเธออยู่ด้วยสายตาที่ดูเหมือนจับผิด
เวลาผ่านไปจนถึงช่วงบ่ายที่ลูกค้าเริ่มบางตาลงแล้ว วิราพรก็สะกิดมารดาให้ดูชายหนุ่มที่โต๊ะสาม เขานั่งอยู่ตั้งแต่เที่ยง ทานข้าวราดแกงไปสองจาน จนป่านนี้ก็ยังไม่ยอมลุกไปไหน
“ไปถามสิ ไม่มีเงินจ่ายเหรอ ไม่ลุกไปไหนสักที” อรชรบอกลูกสาว
วิราพรดูจากการแต่งการของเขา เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตา เนกไทสีเทาเข้มมีลวดลายทแยงขวาง กางเกงสแลคสีดำและเข็มขัดหนังสีน้ำตาลเข้ม รองเท้าคัตชูเงาวับ และมีแฟ้มเอกสารวางข้างกาย เธอก็พยักหน้าเข้าใจในสถานการณ์ทันที
เธอเดินไปหาเขาที่โต๊ะแล้วถามอย่างสุภาพ “เอ่อ ลูกค้าจะรับอะไรเพิ่มไหมคะ เห็นนั่งนานแล้ว”
“ไม่ ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ ไม่ทราบว่าพอมีเวลา..”
“ไม่ซื้อค่ะ” วิราพรรีบปฏิเสธออกไปทันที
วิรุตแปลกใจที่อยู่ๆ เธอก็โพล่งออกมาแบบนี้
“ฉันไม่ซื้อประกันใดๆ เพราะฉันกับแม่ซื้อครบแล้ว ทั้งประกันอุบัติเหตุและประกันชีวิต เครื่องกรองน้ำเราก็ไม่สนใจ เพราะที่บ้านเรามีแล้วและร้านที่มาติดตั้งก็ดูแลดีมากไม่อยากเปลี่ยนไปใช้ยี่ห้ออื่น” เธอพูดเร็วจนเขาไม่มีจังหวะแทรกพูดทัน
“เดี๋ยวๆ ฟังผมก่อน คือว่า...”
“ไม่ต้องบรรยายสรรพคุณค่ะ สรุปแล้ว จะมาขายอะไรฉันก็ไม่ซื้อนะคะ” เธอพูดขึ้นมาแล้วมองเขาด้วยสายตาที่ดูเอือมระอา
“นี่ ช่วยฟังผมพูดให้จบก่อนได้ไหมครับ” เขาขึ้นเสียงใส่เธอแล้วลุกขึ้นยืน
คนในร้านที่ตอนนี้เหลืออยู่สองโต๊ะก็หันมามองด้วยความสนใจว่ากำลังเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“ก็บอกว่าไม่ซื้อ” วิราพรยืนยันเสียงแข็ง
“นี่คุณเห็นผมเป็นอะไร”
“เซลขายเครื่องกรองน้ำ ไม่ก็ประกัน”
“เสื้อตัวนี้ราคาเหยียบหมื่น เนกไทผมก็สามพันกว่า เข็มขัดนี่เจ็ดหมื่นห้า รองเท้าผมสี่หมื่นสอง คุณมองเป็นเซลขายเครื่องกรองน้ำ นี่ไม่รู้อะไรเลยใช่ไหม” วิรุตพูดขึ้นเสียงกร้าว เริ่มหงุดหงิดมากขึ้นทุกทีแล้ว แค่เขาไม่ได้สวมสูททับเพราะร้อน ก็ถูกมองเป็นอย่างอื่นไปแล้ว
“แล้วสรุปมาขายอะไร” เธอกอดอกถามเขาอย่างยียวน
“ผมคือเจ้าหนี้ของพ่อคุณ ผมมาที่นี่เพื่อที่จะมาขอความร่วมมือจากคุณในการตามทวงหนี้ เข้าใจนะครับคุณลูกสาวของลูกหนี้” วิรุตพูดแล้วยกยิ้มอย่างสะใจที่เห็นใบหน้าซีดเผือดของวิราพร
ลูกค้าทั้งสองโต๊ะที่เหลือทานเสร็จพอดีแล้วรีบจ่ายเงินออกจากร้านไปก่อนจะเกิดเรื่อง
“จะ เจ้าหนี้ งะ งั้นเหรอคะ” เธอถามเขาเสียงสั่น แล้วถอยหลังไปให้ห่างจากเขาอีกสองก้าว
อรชรที่ได้ยินก็เข้ามายืนข้างลูกสาว มองชายหนุ่มวัยสามสิบหกตรงหน้า ที่ดูอย่างไรก็เหมือนเซลแมนมากกว่าคนปล่อยเงินกู้
“เชิญนั่งลงก่อนสิครับ” เขาผายมือให้สองแม่ลูกนั่งลงตรงหน้าเขา
ทั้งสองมองหน้ากันเลือกที่จะทำตามที่เขาบอกแล้วต่างคนต่างกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้
“ผมสืบมาแล้วว่านายจักรไม่ได้กลับมาที่นี่เลยหลังจากที่เขามีอีกบ้าน แต่ว่าเขายังมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านนี้ และใช้เอกสารของป้ามาเป็นผู้ค้ำประกัน ป้าจึงมีส่วนเกี่ยวข้อง ดังนั้นป้าพอจะทราบไหมครับว่าเขาย้ายไปอยู่ไหน เพราะไม่อย่างนั้นป้าต้องใช้หนี้แทนเขา” เขาพูดจาหว่านล้อมให้ทั้งคู่เชื่อว่าพวกเธอต้องจ่ายหนี้แทน
“ไม่รู้หรอกว่าที่ไหน รู้แค่ว่าอยู่ในกรุงเทพนี่แหละ แล้วพ่อหนุ่มปล่อยเงินไปได้ยังไงตั้งเป็นแสน แค่มีคนเซ็นค้ำนี่นะเหรอ” อรชรถามวิรุตด้วยความสุภาพกลับ เมื่อเขาพูดจาดีและสุภาพมา จึงเชื่อว่าเขาน่าจะไม่ใช่พวกเจ้าหนี้โหดอะไร
“จริงๆ เขาเอาทะเบียนรถมาค้ำครับ แล้วพอเราตามหารถเพื่อที่จะไปยึดก็ไม่เจอ เลยมาตามที่อยู่นี้ แต่ก็พบว่าเขาไม่ได้อยู่แล้ว” วิรุตบอกไปตามความจริง
สองแม่ลูกหันหน้าไปมองกันด้วยความดีใจ นั่นหมายความว่าเขาเชื่อแล้วว่าจักรไม่ได้อยู่ที่นี่ และคงไม่ตามมาระรานพวกเธอ
“แต่ก็อย่างที่บอกครับ เขาใช้เอกสารของป้ามาค้ำประกันด้วย ดังนั้นป้ากับลูกสาวคงต้องมีส่วนในการใช้หนี้คืนของคุณจักร” เขาหลอกพวกเธอไป ทั้งๆ ที่จริงแล้วจักรใช้เพียงเล่มทะเบียนรถเท่านั้น
“แล้วพวกฉันต้องทำยังไง ฉันไม่ยอมจ่ายเงินแทนมันหรอกนะ” อรชรยืนยันเสียงแข็ง กว่าพวกเธอจะขายข้าวแกงจนหมดหนี้และมีเงินเก็บขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ จะไม่ยอมเอาเงินเก็บที่มีไปจ่ายหนี้ให้อดีตสามีที่นอกใจไปหาคนอื่นแน่
“ถ้าอย่างนั้น ผมมีข้อเสนอครับ” วิรุตบอกแล้วมองไปทางวิราพรอย่างเจ้าเล่ห์ เขาจะไม่ยอมเสียเงินหนึ่งแสนไปฟรีๆ แน่
“ฉันไม่แต่งงานล้างหนี้แทนพ่อหรอกนะ” เธอบอกเขาเมื่อเห็นสายตาเจ้าเล่ห์แบบนั้น
“เดี๋ยวถามผมก่อนผมจะเอาคุณไหม” วิรุตพูดดูแคลนเธอเหมือนที่ลูกน้องของเขาทำไม่มีผิด
วิราพรชักสีหน้าใส่เขาโดยที่ไม่สนใจว่าเขาคือเจ้าหนี้ เพราะดูท่าทางที่ไม่ได้โหดร้าย ลูกน้องกิ๊กก๊อก และการปล่อยกู้ที่ไม่รอบคอบนี้ คงเป็นเจ้าพ่อเงินกู้มือใหม่แน่ๆ
“แต่ว่าผมจะใช้แผนนั้นล่อพ่อคุณออกมา” เขาพูดแล้วยกยิ้มที่มุมปาก
“ยังไง” เธอถามเขาเสียงห้วน แล้วลดท่าทีลงเมื่อวิรุตมองเธอด้วยสายตาที่ดุดัน ที่เธอทำตัวตีเสมอเขาที่น่าจะอายุห่างกันสิบปีได้
“ผมสืบมาแล้ว คุณจักรรักลูกสาวมาก เขาจะมาหาคุณในวันเกิดทุกปี นี่อีกสามวันก็จะวันเกิดคุณแล้ว ผมจะให้คุณไปอยู่ที่บ้านผมตั้งแต่วันนี้ ให้ป้าบอกเขาว่าผมเอาตัวลูกสาวเขาไปล้างหนี้ รับรองว่าเขาต้องรีบไปต่อรองกับผมแน่” วิรุตบอกด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“จะเอาฉันไปเป็นตัวล่อ แต่ว่าไม่ได้พิศวาสอะไร ว่างั้นเถอะ” เธอถามเขาเสียงเรียบ รู้ว่าแผนของเขานั้นอาจได้ผล แต่มันก็เป็นหนทางสุดท้ายจริงๆ
“ทำแบบนี้ลูกสาวป้าก็เสียชื่อเสียงนะสิ ถึงได้ผลแต่กลับมาชาวบ้านก็พูดนินทาเอาได้ แล้วป้าก็ต้องขาดรายได้ช่วงนี้อีก” อรชรบอกอย่างเป็นกังวล
“ถ้าไม่รับข้อเสนอนี้ ก็ใช้หนี้แทนได้นะครับ ผมไม่ถือ”
“งั้นก็ได้นะ แต่ป้ามีข้อแม้” อรชรบอกแล้วมองหน้าวิราพรที่กำลังนั่งนิ่งฟังอยู่
“ว่ายังไงครับ ผมรอฟังอยู่” วิรุตถามแล้วยิ้มอย่างเป็นต่อ
“ถ้าแผนของคุณสำเร็จป้าจะถือว่าช่างมัน แต่ถ้าไอ้จักรมันไม่ไป คุณต้องรับผิดชอบชื่อเสียงของวิ คุณกล้ารับปากไหมล่ะ” อรชรมีข้อแม้กับเขา ทำให้วิรุตลดยิ้มลงแล้วมองดูวิราพร หญิงสาวหน้าตาธรรมดาแต่งตัวเชยๆ อย่างชั่งใจ
“เอ่อ ครับ ผมรับปาก” เขารับปากออกไป
‘เจ้าหนี้มือใหม่จริงๆ นั่นแหละ ข้อตกลงบ้าๆ แบบนี้ ตกลงเฉยเลย บ้าไปแล้ว’ วิราพรนึกในใจ
เจ้าหนี้ของเธอช่างดูแตกต่างกับเจ้าหนี้ในละครเสียจริงๆ
‘ดูถูกกันดีนัก ดีล่ะ จะยั่วให้ทนไม่ไหวเลย’ เธอนึกในใจอย่างมาดมั่น อยากเป็นนางเอกในนิยายที่ได้เจ้าหนี้หล่อๆ แบบเขามาเป็นสามี
**********************