"กระดูกแตก! อุบัติเหตุเหรอ? ต้องใช้เวลานานเลยนะกว่าจะกลับไปทำงานได้ตามปกติ"
ไม่ต้องถามเจิ้งซูอี้ก็พอจะรู้ว่างานที่ชาวบ้านทำก็ล้วนแต่เป็นงานในคอมมูน แต่การที่กระดูกแตกแบบนี้ต้องส่งผลกระทบต่อครอบครัวของคนในชนบทไม่น้อย ไม่ทำงานก็ไม่มีแต้มงาน พอไม้มีแต้มงานก็ไม่มีส่วนแบ่งอาหาร แล้วทีนี้จะเอาอะไรกิน?
"ไม่ใช่อุบัติเหตุหรอกค่ะ มันคือการกระทำที่ตั้งใจของแม่เลี้ยงสามี กลับไปครั้งนี้ฉันอยากจะจัดการให้มันจบเหมือนกัน สามีฉันทนถูกกระทำมานานแล้ว ถ้าลูกของฉันโตมาแล้วต้องถูกกระทำแบบนี้ฉันคงทนไม่ได้แน่ ๆ เอ่อ ขอโทษด้วยนะคะที่เอาเรื่องในบ้านมาพูด"
"อย่าคิดมาก แต่น้องสาวบอกว่าผ่าตัดเมื่อวาน ฉันขอถามได้ไหมว่าเกิดเรื่องตอนไหนและที่ไหน เผื่อพวกเราจะช่วยอะไรได้เป็นการตอบแทน"
"คุณหมอไม่ต้องตอบแทนอะไรฉันหรอกค่ะ พวกเราไม่ได้มีอะไรติดค้างกัน"
เจิ้งซูอี้รู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่เด็กสาวตรงหน้าตอบปฏิเสธเธอ ทั้งที่คนอื่นต่างวิ่งเข้าหาเธอกับสามีเพื่อแสวงหาผลประโยชน์อยู่ร่ำ ๆ
"เอาเถอะ พี่แค่ถูกชะตากับเธอ ถ้าอย่างนั้นเธอลองเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เราฟังสักหน่อย ถือเป็นการได้ระบายไปในตัว"
รองผู้อำนวยการสาวดึงตัวลู่หนิงเหมยไปนั่งที่ม้านั่งใกล้ ๆ พร้อมกับหว่านล้อมให้เธอได้ระบายความในใจออกมา แม้จะเป็นเรื่องในครอบครัว แต่ถ้ามีช่องว่างก็อาจจะเอาผิดคนทำได้
"เรื่องมันเกิดที่แปลงนารวมค่ะ เมื่อวานฉันทำห่อข้าวให้สามีไปกินตอนกลางวัน ซึ่งปกติสามีของฉันจะไม่ได้รับอนุญาตให้ไปกินอาหารร่วมกับครอบครัวใหม่ของพ่อ เขาจึงกินข้าวคนเดียวมาตลอด แต่พออีกฝ่ายเห็นว่าห่อข้าวของสามีฉันมีเนื้อแห้งก็เลยจะมาแย่งเอา"
"..." "..."
"แต่พอสามีฉันแข็งข้อไม่ยอมให้ เพราะฉันกำชับกับเค้าว่าต้องกินมันให้หมด แม่เลี้ยงก็เลยไม่พอใจ พอถึงตอนลงไปทำงาน นางก็ไปขอสับเปลี่ยนกับคนอื่นมายืนใกล้ ๆ สามีของฉัน จากนั้นใช้จอบขุดดินสับเข้าที่หน้าแข้งตอนที่เค้าเผลอ เรื่องก็เป็นอย่างนี้แหละคะ โชคดีที่หัวหน้าหมู่บ้านช่วยพาพวกเรามาส่งที่โรงพยาบาล"
รองผู้อำนวยการสาวหันไปมองหน้าสามี ไม่นานเขาก็ปลีกตัวเดินออกไปโดยที่ไม่บอกกล่าวอะไร
"แค่อาหารทำไมต้องทำร้ายกันขนาดนี้ จิตใจทำด้วยอะไร?"
"แต่ฉันคิดว่าเป็นเพราะสามีฉันต่อต้านมากกว่าค่ะ เค้ายอมเป็นฝ่ายถูกกระทำมาตลอด 20 ปี ปล่อยให้แม่เลี้ยงรังแกต่าง ๆ นานา แต่จู่ ๆ ก็แข็งข้อ มันเลยทำให้แม่เลี้ยงโมโห"
"ถึงจะแบบนั้นก็เถอะ แต่เธอรู้ไหมเวลาที่เจตนาและทำร้ายร่างกายคนอื่นในเวลาทำงานมันผิดกฎ เพราะฉะนั้นเธอไม่ต้องห่วง เรื่องนี้สามีฉันไปจัดการแล้ว ว่าแต่เธออายุเท่าไหร่ ทำงานในแปลงนารวมเหมือนกันเหรอ?"
หนิงเหมยถึงกับอ้าปากค้างในสิ่งที่ได้ยิน นี่สินะคือคนที่มีอำนาจในมือของแท้ ทำในสิ่งที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วต่างจากชาวบ้านอย่างเธอ ที่ต้องทำอะไรแต่ละครั้งก็คิดแล้วคิดอีก
"ฉันอายุ 20 ปีค่ะ ก่อนหน้านี้เป็นลูกจ้างอยู่ที่ร้านขายของในเมือง พอแต่งงานก็กลับไปอยู่บ้าน ฉันเพิ่งคลอดลูกได้ 3 เดือนตอนนี้ก็เลยอยู่บ้านเลี้ยงลูกค่ะ"
"ฉันชื่อเจิ้งซูอี้ เป็นพี่เธอ 8 ปี เรียกฉันว่าพี่ซูอี้ก็ได้ ว่าแต่เธออยากจะมาทำงานในโรงพยาบาลไหมล่ะ พี่ช่วยเธอได้นะหนิงเหมย"
"ฉันยังต้องอยู่ดูแลลูกกับสามีค่ะ ขอบคุณพี่ซูอี้มากนะคะ แต่ฉันยังไม่สามารถทำงานประจำได้ในตอนนี้ เมื่อครู่ตอนอยู่ที่ห้องจ่ายยาฉันได้ยินแม่บ้านพูดกันว่าที่นี่กำลังหาคนจัดซื้ออาหารเข้าโรงพยาบาล เป็นเรื่องจริงไหมคะ?"
เจิ้งซูอี้ไม่ได้แปลกใจที่หนิงเหมยจะถามแบบนั้น เพราะเธอกับบิดาเป็นคนประกาศเรื่องนี้ออกไปด้วยตัวเอง ทั้งยังเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องรีบแก้ปัญหาก่อนที่โรงพยาบาลจะเสียชื่อเสียงไปมากกว่านี้
"ใช่จ้ะ ว่าแต่ทำไมถึงถามเรื่องนี้เหรอ หรือเธอรู้จักใครที่สามารถจัดหาสิ่งของพวกนี้ได้ ถ้ามีต้องรีบบอกพี่เลยนะ"
"ฉันขอถามได้ไหมคะว่าต้องใช้อะไรบ้าง แล้วต้องการให้ฉันหาให้วันละเท่าไหร่"
"หลักก็เป็นเนื้อสัตว์วันละ 20 กิโล ข้าววันละ 40-60 กิโล ผักสดแล้วก็ผลไม้ อาจจะมีเครื่องปรุงต่าง ๆ ตามที่แม่ครัวต้องใช้"
"แล้วต้องส่งของตอนไหนคะ ส่งทุกวันหรือกี่วันครั้ง"
"เดิมทีก็เอาตามที่เถ้าแก่ซ้งสะดวก แต่ถ้าเป็นไปได้พี่ก็อยากให้มาส่งทุกวัน หรือไม่ก็ 2 วันครั้งนึง ของจะได้สดใหม่ ถึงที่นี่จะมีตู้แช่ให้เก็บของสดก็จริง แต่พวกผักก็เหี่ยวเฉาลงถ้าผ่านไปหลายวัน"
หนิงเหมยที่ได้ยินแบบนั้นก็ดีใจจนเนื้อเต้น ที่เธอต้องถามปริมาณก่อนจะรับปากก็เพราะกลัวว่าของที่เธอเอาออกมาได้แต่ละวันมันจะไม่เพียงพอ เมื่อได้ยินเช่นนั้นเธอก็ได้แต่ยิ้มกริ่มในใจ เพราะเนื้อสดที่เธอเตรียมไว้สามารถนำออกมาได้ไม่ต่ำกว่าวันละ 200 กิโล ยังไม่รวมข้าวสารที่เธอไปเหมามาอีกเป็นตัน ๆ
"ฉันจัดหาได้ค่ะพี่ซูอี้ แต่ฉันขอเข้ามาส่งของ 2 วันครั้งหนึ่งได้ไหมคะ"
"เธอพูดจริงเหรอหนิงเหมย ถ้าเธอหาสินค้าได้จริง ๆ ก็เป็นเรื่องดีกับพี่เลยนะ ว่าแต่เนื้อหมูเธอจัดหาได้ในราคาเท่าไหร่ ต้องใช้คูปองไหม คุณภาพของดีรึเปล่า?"
"ฉันจะเอาสินค้ามาให้พี่ดูก่อนก็ได้ค่ะ ส่วนราคาก็เอาตามที่เถ้าแก่ซ้งเคยจัดหาให้ ที่สำคัญไม่ต้องใช้คูปองค่ะ"
"ตกลง ถ้าอย่างนั้นรอให้เธอจัดการเรื่องที่บ้านให้เสร็จก่อน พร้อมเมื่อไหร่ก็มาหาพี่ที่นี่ ว่าแต่ซัก 1 สัปดาห์น่าจะเสร็จใช่ไหม เดี๋ยวพี่จะให้สามีเข้าไปช่วยเธอด้วยตัวเอง รับรองได้ว่าเธอต้องจัดการแม่เลี้ยงได้แน่ ๆ"
"ขอบคุณมากค่ะพี่ซูอี้ พอสามีของฉันออกจากโรงพยาบาลได้ ฉันจะรีบจัดการทุกอย่างให้เสร็จแล้วเริ่มส่งของให้พี่ทันทีค่ะ แต่ตอนนี้ฉันหายไปนานแล้ว คงต้องรีบขึ้นไปหาสามีกับลูกก่อนนะคะ"
"ตายแล้ว คุยเพลินจนลืมเวลาไปเลย เอาไว้ว่าง ๆ พี่จะแวะไปหา ต้องไปทักทายครอบครัวของเธอสักหน่อยจะได้คุ้นเคยกัน"
"ยินดีต้อนรับเสมอค่ะพี่ซูอี้ ฉันขอตัวก่อนนะคะ"
"จ้ะ ๆ"
ทั้งสองคนแยกกันที่โถงชั้นล่างของโรงพยาบาล หนิงเหมยเดินขึ้นบันไดไปที่ห้องพักฟื้นของสามีด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม แววตาของเธอเต็มไปด้วยความหวังอันแรงกล้า ไม่เกิน 1 เดือนนี้ครอบครัวของเธอต้องเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นแน่ ๆ
แอดดด
"หายไปไหนมาซะนานเลยลูก รู้ไหมว่าอาเฉินแทบจะลุกจากเตียงลงไปตามลูกอยู่แล้วนะ"
แม่ลู่เอ่ยถามลูกสาวทันทีที่หนิงเหมยเดินเข้ามาถึง ส่วนโจวอี้เฉินพอได้เห็นหน้าภรรยาก็มีสีหน้าที่ดีขึ้น ราวกับว่าหมดห่วงที่เห็นเธอกลับมา เพราะเกรงว่าเธอจะหนีเขาไปในตอนที่เขากำลังบาดเจ็บ และไม่สามารถทำประโยชน์อะไรได้
"ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะคะ ฉันแค่ไปคุยธุระเรื่องงานมา ทำหน้าอย่างกับโดนเมียทิ้งไปได้"
"ก็คิดว่าจะโดนทิ้งจริง ๆ"
คำพูดของอี้เฉินแผ่วเบาแต่หนิงเหมยกลับได้ยินชัดทุกอย่าง เธอเดินเข้าไปใกล้ ๆ สามีแล้วก้มลงหอมแก้มเขาต่อหน้ามารดาโดยไม่เขินอาย
ฟอดดด
"เป็นคนขี้น้อยใจแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ"
"ไอหยา! อาเหมยทำอะไรแบบนั้นลูก"
แม่ลู่ถึงกับร้องเสียงหลงเมื่อเห็นลูกสาวแสดงความรักต่อสามีอย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งคนในยุคสมัยนี้เขาไม่ทำกัน แม้แต่การถูกเนื้อต้องตัวกันยังเป็นเรื่องที่ไม่สมควรหากเป็นหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงาน
ส่วนโจวอี้เฉินเองก็ได้แต่ยิ้มค้างไม่ยอมหุบ ประหนึ่งว่าสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมาย
"คะ..คุยงาน คุยงานอะไรเหรออาเหมย รอให้พี่หายดีก่อนไม่ดีกว่าเหรอ เดี๋ยวพี่จะเป็นคนออกไปทำงานเอง เธอจะได้อยู่บ้านเลี้ยงลูก พี่อยากให้ลูกได้กินนมแม่ต่ออีกสักหน่อย"
"งานนี้ไม่ได้ทำทั้งวันหรอกพี่ ฉันแค่ทำหน้าที่จัดหาอาหารเข้ามาส่งให้โรงพยาบาลก็เท่านั้น"
"จัดหาอาหาร! นั่นมันงานยาเลยนะอาเหมย"
"จริงอย่างที่อาเฉินบอก ลูกจะไปหาของพวกนั้นมาจากที่ไหน แค่ชาวบ้านจะกินแต่ละมื้อยังยากเลยนะลูก"
แม่ลู่กับโจวอี้เฉินต่างก็ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ว่าด้วยเรื่องอาหารในยุคนี้หายากแค่ไหนใคร ๆ ก็ย่อมรู้ ที่ลูกสาวของนางตัดสินใจเช่นนี้ไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ
"แม่กับพี่อี้เฉินไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น ฉันมีแหล่งหาอาหารมาส่งให้โรงพยาบาลได้ทุกวันแน่นอน เชื่อใจฉันได้"
"..." "..."
แม่ลู่กับลูกเขยได้แต่หันมามองหน้ากันอย่างจนใจ สุดท้ายคงต้องให้ปล่อยให้หนิงเหมยทำตามที่ต้องการ
"ฉันอยากจะถามว่าแม่กับพี่อี้เฉินเคยคิดจะย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองไหมคะ ปลายปีนี้จะมีการแบ่งที่ดินให้ชาวบ้านได้ทำกิน แต่แปลงนารวมก็ยังมีเหมือนเดิมนะคะ เพียงแต่ไม่ได้บังคับเหมือนแต่ก่อน ใครอยากไปก็ได้ หรืออยากทำการเพาะปลูกในที่ของตัวเองก็ได้ ฉันเลยอยากรู้ว่าทุกคนคิดเห็นยังไง?"
"อาเหมย น้องรู้ได้ยังไงว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่มันเรื่องใหญ่เลยนะ"
"จริงด้วยลูก เรื่องพวกนี้อย่าเอาไปพูดกับคนอื่นเชียวนะ"
โจวอี้เฉินถึงกับรู้สึกเป็นห่วงภรรยาขึ้นมาทันที ขนาดเขาเองที่ไปทำงานในคอมมูนทุกวันยังไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน แล้วหนิงเหมยที่อยู่แต่บ้านจะรู้เรื่องนี้ได้ยังไง
"เอาเป็นว่ามันจะเกิดขึ้นจริง ว่าแต่แม่กับพี่อี้เฉินอยากอยู่ที่ไหน ฉันอยากรู้ก่อนจะตัดสินใจลงหลักปักฐาน"
คนที่ได้ฟังคำพูดที่หนักแน่นของหนิงเหมยต่างก็รู้สึกว่าเธอโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รู้จักคิดถึงใจเขาใจเราไม่เอาแต่ใจตนเหมือนเมื่อก่อน
"พี่อยู่ที่ไหนก็ได้ที่มีอาเหมยกับลูก"
"แม่..คือแม่แล้วแต่ลูก แต่แม่ขอเข้าไปหาลูกกับหลานบ้างเป็นครั้งคราวได้ไหม?"
"แม่หมายความว่ายังไง? แม่จะไม่ไปอยู่กับพวกเราเหรอจ๊ะ"
สีหน้าของมารดาที่ดูกระอักกระอ่วนทำให้หนิงเหมยเริ่มต้องคิดหนัก
"แม่กับน้องทำเป็นแต่งานในไร่นา พวกเราไม่กล้าไปเป็นภาระให้อาเหมยหรอกลูก อีกอย่างแม่ก็ชินกับการใช้ชีวิตอยู่ที่หมู่บ้านมากกว่า"
คราวนี้หนิงเหมยตัดสินใจได้แล้วเธอจะปักหลักอยู่ที่หมู่บ้านของมารดาผู้ให้กำเนิด ส่วนเรื่องการศึกษาของเสี่ยวอันยังพอมีเวลาให้จัดการในภายหลัง แต่ตอนนี้เรื่องสุขภาพและการเป็นอยู่ของแม่ถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดที่เธอต้องใส่ใจ ท่านจะไม่ชินกับการเข้าไปอยู่ในเมืองก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะทั้งชีวิตของท่านอาศัยและเติบโตอยู่แต่ในชนบทเท่านั้น
ได้เวลาไปเอาคืนนังแม่เลี้ยงตัวร้ายแล้ว