เช้าวันรุ่งขึ้นลู่หวังเหล่ยต้องรีบกลับไปที่หมู่บ้านแต่เช้า เพื่อแจ้งลางานกับหัวหน้าหมู่บ้านและคณะกรรมการในคอมมูน ทางด้านคนที่อยู่โรงพยาบาล พออี้เฉินกับทุกคนตื่นขึ้นในช่วงเช้ามืด หนิงเหมยก็แยกตัวออกไปทำของกินมาให้ทั้งสองคนโดยการใช้วิธีเดิม
"อาเหมย ไม่เห็นต้องซื้อกับข้าวมาเยอะขนาดนี้ พี่กินอาหารที่โรงพยาบาลจัดให้ก็ได้"
"นั่นสิลูก แม่ว่ามันเยอะเกินไปนะ"
แม่ลู่กับลูกเขยที่เลี้ยงเสี่ยวอันน้อยอยู่ในห้อง เมื่อเห็นหนิงเหมยกลับเข้ามาในห้องพร้อมกับกล่องอาหารหลายกล่องและกล้วยอีก 1 หวีก็รู้สึกปวดใจไม่แพ้กัน แค่อาหารที่หนิงเหมยซื้อมาเมื่อคืนก็ทำให้แม่ลู่เสียดายเงินทองมากพอแล้ว
"พอค่ะ หยุดบ่นแล้วมากินข้าวเช้าได้แล้วคุณยาย วันนี้มีแกงจืดแตงกวา ปลาผัดขึ้นฉ่าย แล้วก็กระเจี๊ยบเขียวผัดน้ำมันหอย มีกล้วยน้ำว้ากับน้ำเต้าหู้ด้วยนะคะ ของมีประโยชน์กับกระเพาะทั้งนั้น"
"อาเหมยไปซื้อที่ไหนเหรอลูก ใส่กล่องแบบนี้แม่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน"
คำพูดของแม่ลู่ทำให้หนิงเหมยชะงักมือเล็กน้อย ก่อนจะจัดอาหารต่อตามปกติ
"ฉันสั่งรถสามล้อหน้าโรงพยาบาลเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วจ้ะแม่ บอกให้เค้าหาร้านอร่อยแล้วสั่งรายการที่เราต้องการ เช้าวันนี้ก็ให้ลุงแกไปรับมาให้ อาจจะแพงกว่าปกติแต่ของดีทั้งนั้นเลยนะจ๊ะแม่ เอาเป็นว่าจากนี้ไปแม่กับพี่อี้เฉินเลิกถามฉันได้แล้วนะจ๊ะ ฉันขี้เกียจตอบแล้ว"
ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่า ถ้าได้เริ่มโกหกครั้งหนึ่งก็ต้องมีครั้งที่สองและครั้งต่อ ๆ ไปเรื่อย ๆ หนิงเหมยจึงตัดสินใจว่าจะบอกทุกคนหลังจากย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านเดิมของเธอ
"ครับ"
"จ้ะ ๆ แม่ไม่ถามแล้วลูก งั้นแบ่งกับข้าวไปให้อาเฉินเถอะ"
"จ้ะแม่ ว่าไงจ๊ะอันอันของแม่ อยู่กับคุณยายคิดถึงแม่รึเปล่า"
"แอะ แอ้"
"ฮะ ฮะ รู้มากจริง ๆ เลยเด็กคนนี้"
หนิงเหมยหยอกล้อเล่นกับลูกสาวพร้อมกับจัดอาหารใส่ถาดแยกไปให้สามีของเธอกินบนเตียงแทนอาหารที่โรงพยาบาลจัดมาให้ ระหว่างที่ทุกคนกินข้าวอยู่เธอก็หันไปจับลูกน้อยที่เพิ่งกินอิ่มขึ้นมาเรอให้สบายท้อง
"อาเหมย น้องไม่กินข้าวเหรอ?"
"พี่กินก่อนเลย เดี๋ยวจัดการลูกเสร็จฉันค่อยกินทีหลังก็ได้"
"กินพร้อมกัน อ้าปากเร็วเข้า เสี่ยวอันดูแม่ของลูกดื้อใหญ่แล้ว"
"แอะ"
"นั่งไง! ต้องให้ลูกบ่นให้อีกรึเปล่า"
หนิงเหมยจ้องสามีด้วยสายตายอมจำนนพร้อมกับย่นจมูกใส่อย่างน่าเอ็นดู สุดท้ายเธอก็ต้องยอมกินข้าวที่สามีตักไว้รอและยื่นมาให้ถึงปากเธอ
"ชอบฟ้องลูก ฉันโตแล้วนะคะไม่ใช่เด็กซักหน่อย"
"หึ!"
แม่ลู่มองดูการกระทำของลูกสาวกับลูกเขยก็พลอยสุขใจตามไปด้วย เดิมทีนางได้ยินข่าวจากชาวบ้านว่าทั้งคู่คงอยู่กันไม่รอด มีหรือที่คนเป็นแม่จะไม่เป็นกังวล เรื่องหย่าร้างถือเป็นเรื่องใหญ่ในยุคนี้ ผู้หญิงที่ผ่านการมีลูกมีสามีแล้วยากยิ่งที่สกุลไหนจะยอมรับไปเป็นสะใภ้
"เดี๋ยวฉันต้องไปเอายาที่ห้องจ่ายยามาไว้ให้พี่กินตอนเที่ยง พี่นั่งเล่นกับลูกต่ออีกสักหน่อย รอให้อาหารย่อยก่อนค่อยนอนนะจ๊ะ"
หนิงเหมยเอ่ยขึ้นหลังจากทุกคนกินข้าวเสร็จ พร้อมกับเก็บกล่องอาหารให้เข้าที่เข้าทางไปด้วย วันนี้แม่ลู่กับอี้เฉินกินอาหารที่เธอเตรียมมาได้เยอะพอสมควร หากทุกคนได้รับการบำรุงจากอาหารที่มีประโยชน์แบบนี้ หนิงเหมยคิดว่าอีกไม่นานสุขภาพของคนในครอบครัวต้องกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง
"รีบไปเถอะลูก ประเดี๋ยวจะต้องรอคิวนาน ไม่ต้องห่วงเสี่ยวอัน เด็กคนนี้รู้มากขอแค่ท้องไม่หิวก็ไม่ร้องงอแงหรอก"
"แอะ!"
"โวยวายใหญ่เลยลูกพ่อ รู้หรอว่าคุณยายพูดถึงหนูน่ะ ฮึ น่าหมั่นเขี้ยวจริง ๆ ฟอดด"
โจวอี้เฉินจับลูกสาวตัวน้อยขึ้นมาฟัดแก้มจนหนำใจ โชคดีที่พิษไข้ในตัวเขาเบาบางลงแล้ว ไม่อย่างนั้นคงต้องอดหอมแก้มลูกไปอีกหลายวัน ต้องยกความดีความชอบให้กับหนิงเหมยที่เทียวลุกมาเช็ดตัวให้เขาตลอดทั้งคืน
"แม่จะรีบไปรีบกลับนะเสี่ยวอัน"
หนิมเหมยเดินออกจากห้องแล้วลงบันไดไปที่ชั้น 1 เพราะห้องจ่ายยาแยกตัวออกไปอยู่ด้านข้าง เธอจึงต้องออกจากตัวอาคารแล้วอ้อมไปตามทาง ระหว่างนั้นก็พบหญิงสูงวัยคนหนึ่งที่ท่าทางการเดินไม่ค่อยปกติคล้ายจะเป็นลมเดินมากลางแดดจ้า
ไม่ไกลนักมีชายผอมโซคล้ายคนจรพยายามเดินเข้าไปใกล้คุณป้าคนนั้น หนิงเหมยเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเดินเข้าไปหาหญิงสูงวัย ทว่าคนไร้บ้านกลับเร็วกว่า วิ่งเข้าไปกระชากกระเป๋าถือของคุณป้าแล้วผลักนางให้ล้มลงจนเสียหลัก
"ช่วยด้วยค่ะ! โจรกระชากกระเป๋า พี่ชายช่วยจับคนร้ายหน่อยเร็วเข้า! วิ่งไปทางนั้นแล้ว"
"เฮ้ยหยุดนะ! บอกให้หยุด!"
เมื่อเห็นว่ามีคนช่วยตามแล้วหนิงเหมยจึงรีบมาพยุงหญิงสูงวัยขึ้น จากนั้นก็พาเดินไปนั่งที่เก้าอี้ใต้ร่มไม่ที่อยู่ใกล้ ๆ พร้อมกับหยิบพัดกับยาดมสมุนไพรของประเทศเพื่อนบ้านที่เธอชื่นชอบเป็นพิเศษที่มีชื่อว่า หงส์ไทย ขึ้นมาให้ท่านได้สูดดม
"คุณป้าลุกขึ้นก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันพาไปนั่งตรงนั้น นี่เป็นยาดมสมุนไพรค่อย ๆ ดมนะคะค่ะ เดี๋ยวฉันจะพัดให้ อาการหน้ามืดจะได้ดีขึ้น"
"ขอบใจ ขอบใจมากแม่หนู จับคนร้ายได้ไหมลูก"
"พลเมืองดีกำลังช่วยกันไล่จับอยู่ค่ะ คุณป้าเจ็บตรงไหนบ้างคะ ต้องเข้าไปหาหมอไหม?"
"ป้าไม่เป็นไรหรอกลูก ป้าแค่จะมาหาลูกสาวเท่านั้น ขอใจหนูมานะลูกที่ช่วยป้า"
"ไม่เป็นไรค่ะคุณ ว่าแต่ลูกคุณป้าอยู่ที่ไหน ให้ฉันไปตามให้ไหมคะ"
"ป่านนี้เค้าคงรู้แล้วล่ะ อีกเดี๋ยวก็คงลงมา"
แม้หนิงเหมยจะสงสัยว่าสิ่งที่คุณป้าพูดหมายความว่าอย่างไร แต่เธอก็ไม่รบเอาคำตอบอะไรต่อ นอกจากนั่งพัดและช่วยดูคุณป้าอยู่ตรงลานหญ้าหน้าโรงพยาบาล ไม่นานพลเมืองดีกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงพยาบาลก็ลากตัวคนร้ายกลับมาพร้อมกับกระเป๋าของคุณป้า
"จับตัวคนร้ายได้แล้วครับ อันนี้เป็นกระเป๋าของคุณนาย ลองตรวจสอบดูสิ่งของที่อยู่ข้างในก่อนนะครับ เดี๋ยวผมจะรีบแจ้งไปยังสถานีตำรวจให้มาเอาตัวคนร้ายไป"
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเอ่ยขึ้น พร้อมกับส่งกระเป๋าคืนให้คุณป้า ทว่าคำเรียกเมื่อครู่กลับทำให้หนิงเหมยสังหรณ์ใจว่าหญิงสูงวัยคนนี้อาจจะมีพื้นเพที่ไม่ธรรมดาเสียแล้ว
"ขอบใจทุกคนมากนะจ๊ะ เดี๋ยวรอให้ลูกสาวของฉันมาจัดการเถอะ ฉันรู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย"
"คุณป้ามีโรคประจำตัวไหมคะ?"
"สงสัยน้ำตาลในเลือดป้าจะตกอีกแล้ว คนแก่ก็อย่างนี้แหละลูก"
ได้ยินแบบนั้นหนิงเหมยก็ไม่รอช้า เธอรีบหยิบลูกอมในถุงผ้าออกมาแกให้หญิงสูงวัยรีบกินเข้า 2 ก้อนเพื่อปรับความสมดุลน้ำตาลในเลือด
"รีบกินลูกอมเร็วเข้าค่ะคุณป้า มันจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดได้"
ไม่รู้ด้วยอะไรที่ทำให้คุณนายเจิ้งรีบหยิบลูกอมทั้งสองเม็ดเข้าไปอมไว้ในปาก ทั้งที่นางไม่ควรไว้ใจคนแปลกหน้าแท้ ๆ แต่กลับไว้ใจเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้า ไม่นานลูกสาวของนางที่เป็นผู้ช่วยผู้อานวยการของโรงพยาบาลก็วิ่งหน้าตั้งออกมาหาแม่ พร้อม ๆ กับรถประจำตำแหน่งของลูกเขยที่วิ่งเข้ามาจอดตรงหน้าโรงพยาบาลเช่นกัน
"เกิดอะไรขึ้นคะคุณแม่ มีคนขึ้นไปบอกหนูว่าคุณแม่ถูกวิ่งราวกระเป๋า แล้วคุณแม่เป็นอะไรมากไหม?"
"เกิดอะไรขึ้น?"
เสียงของผู้มาใหม่ทั้งสองทำให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเริ่มทำตัวลำบาก ทางด้านหนิงเหมยก็รีบถอยห่างจากหญิงสูงวัยแล้วปล่อยให้ลูกสาวของนางได้เข้ามาดูแลกันเอง จากนั้นเธอก็เดินไปที่ห้องจ่ายยาแล้วปล่อยให้พนักงานรักษาความปลอดภัย รวมถึงพลเมืองดีเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้กับทุกคนฟัง
"นี่เธอ ได้ยินเรื่องปัญหาในโรงครัวของโรงพยาบาลเราไหม?"
เสียงของพนักงานทำความสะอาดพูดคุยกันดังขึ้นระหว่างที่หนิงเหมยกำลังนั่งรอรับยาอยู่ที่หน้าห้องจ่ายยา บทสนทนาของทั้งคู่ทำให้เธอเริ่มสนใจเป็นพิเศษเผื่อมันจะสร้างรายได้ให้กับเธอ
"มีใครไม่รู้บ้างล่ะ แต่ละวันผู้ป่วยในแทบจะไม่มีอะไรให้กิน ต่อให้โรงบาลเรามีงบประมาณพอจะซื้อก็เถอะ ใครก็รู้ว่าว่าอาหารในยุคนี้หาซื้อยากขนาดไหน ที่รัฐส่งมาให้ก็ไม่เพียงพอที่จะบำรุงร่างกายคนไข้เลยด้วยซ้ำ"
"อย่างว่าแหละ หมูที่ต้องใช้เกือบวันละ 20 กิโล ไหนจะข้าวสาร เครื่องปรุงอีก นี่ยังไม่รวมผลไม้ด้วยนะ ไม่รู้ว่าเถ้าแก่ซ้งจะหาของส่งให้โรงพยาบาลเราได้ถึงวันไหน เห็นท่านผู้อำนวยการประกาศหาคนจัดหาอาหารคนใหม่ก็ยังหาไม่ได้เลย"
"เป็นเรื่องง่ายที่ไหนกันล่ะ"
"ญาติคุณโจวอี้เฉินรับยาที่ช่อง 1 ค่ะ"
เสียงของพนักงานห้องจ่ายยาขานเรียกชื่อของโจวอี้เฉินจึงทำให้หนิงเหมยต้องรีบลุกไปรับยาทันที แม้จะอยากฟังแม่บ้านทั้งสองคนพูดคุยกันต่อก็ตาม
"ฉันเป็นภรรยาของโจวอี้เฉินค่ะ"
"มียาลดไข้ ยาแก้อักเสบ ส่วนที่เหลือจะเป็นยาบำรุง กินตามเวลาที่เขียนไว้หน้าซองเลยนะคะ"
"ได้ค่ะ ฉันจะดูให้ดีก่อนจัดให้เค้ากิน ขอบคุณมากนะคะ"
หลังจากรับยาเสร็จหนิงเหมยก็เดินกลับขึ้นตึกไปทางเดิม แต่ระหว่างทางก็มีหญิงสาวที่เป็นลูกของคุณป้าที่เธอช่วยไว้เมื่อครู่เข้ามาทัก
"น้องสาว ขอเวลาคุยด้วยสักหน่อยได้ไหมจ๊ะ"
"เอ่อ ค่ะ มีอะไรรึเปล่าคะคุณหมอ"
หนิงเหมยมองดูหญิงสาวตรงหน้าที่แต่งตัวเหมือนคุณหมอ ส่วนคนที่อยู่ข้างเธอก็มาเต็มยศนายทหารหนุ่มที่หน้าตาเอาเรื่องน่าดู นี่เธอไปล่วงเกินอะไรทั้งคู่รึเปล่านะ
"ไม่ต้องเกร็ง สามีคะ คุณก็อย่าทำหน้าดุมากได้ไหม เห็นไหมว่าน้องสาวเธอกลัวคุณแล้ว"
เจิ้งซูอี้หันไปบ่นให้สามีที่ยืนแผ่รังสีข่มผู้คนที่มองเธอไปทั่ว
"ขอโทษครับคุณภรรยา ก็ผมไม่ชอบให้ใครมองคุณหนิ"
"คุณล่ะก็ คือว่าพี่อยากจะขอบคุณเธอที่ช่วยคุณแม่เอาไว้ ตอนนั้นมัวแต่เป็นห่วงท่าน พอหันมองหาน้องสาวอีกทีก็หายไปแล้ว"
"พอดีฉันเดินไปรับยาให้สามีที่ห้องจ่ายยาค่ะ ส่วนเรื่องคุณป้า ถ้าเป็นคนอื่นก็ต้องช่วยท่านเหมือนกัน คุณหมออย่าคิดมากเลยค่ะ"
แพทย์หญิงรู้สึกถูกชะตากับเด็กสาวตรงหน้าอยู่ไม่น้อย มารดาของเธอย้ำนักย้ำหนาว่า แม้บุญคุณเท่าน้ำเพียงหยดเดียว ก็จะต้องตอบแทนดุจสายน้ำ
"น้องสาวชื่ออะไร แล้วสามีของเธอป่วยเป็นอะไรมา บอกพวกเราได้ไหม?"
"ฉันชื่อลู่หนิงเหมย สามีฉันชื่อโจวอี้เฉิน เป็นคนหมู่บ้านเทียนเซี่ย ตอนนี้เค้ากระดูกแตกเพิ่งผ่าตัดเสร็จเมื่อวานค่ะ"
"กระดูกแตก! อุบัติเหตุเหรอ? ต้องใช้เวลานานเลยนะกว่าจะกลับไปทำงานได้ตามปกติ"
ไม่ต้องถามเจิ้งซูอี้ก็พอจะรู้ว่างานที่ชาวบ้านทำก็ล้วนแต่เป็นงานในคอมมูน แต่การที่กระดูกแตกแบบนี้ต้องส่งผลกระทบต่อครอบครัวของคนในชนบทไม่น้อย ไม่ทำงานก็ไม่มีแต้มงาน พอไม่มีแต้มงานก็ไม่มีส่วนแบ่งอาหาร แล้วทีนี้จะเอาอะไรกิน?