ครบ 3 วันแล้วที่โจวอี้เฉินรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เช้าวันนี้หนิงเหมยได้ว่าจ้างรถของโรงพยาบาลให้ออกไปส่งครอบครัวของเธอที่บ้านมารดา แต่ด้วยเป็นคำสั่งจากเจิ้งซูอี้ที่เป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาล รถคันดังกล่าวจึงจะพาหนิงเหมยกับสามีจัดการเรื่องทุกอย่างจนเสร็จ ถึงจะกลับเข้าไปรายงานผู้เป็นนายอีกครั้ง
"ฉันฝากแม่ช่วยดูแลเสี่ยวอันให้สักพักนะจ๊ะ จัดการทางโน้นเสร็จแล้วฉันจะรีบกลับมา"
หมู่บ้านลี่หยางเป็นที่แรกที่รถของโรงพยาบาลจอดให้แม่ลู่กับหลานสาวตัวน้อยลง ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเทียนเซี่ยที่อยู่ลึกเข้าไปอีกประมาณ 3 กิโล
"ไปเถอะลูก ไม่ต้องห่วงแม่กับหลาน อาเหล่ยอย่าลืมช่วยพี่สาวดูแลพี่เขยด้วยนะลูก"
"ครับแม่"
รถตู้มุ่งหน้าไปตามทางที่ลู่หวังเหล่ยบอก ส่วนหนิงเหมยกำลังนั่งคิดคำนวณว่าเธอจะต้องเล่นงานแม่เลี้ยงอย่างไรถึงจะไม่ให้เกิดปัญหาในภายหลัง วันนี้ครอบครัวของเธอต้องตัดขาดกับคนบ้านหวงให้ได้
"พี่หนิงเหมยจะให้รถจอดที่บ้านหรือไปที่แปลงนารวมก่อนครับ"
เสียงของน้องชายหันมาถามพี่สาวที่นั่งอยู่ด้านหลัง ลู่หนิงเหมยจึงตัดสินใจให้รถตู้จอดที่หน้าบ้านสักครู่เพราะเธออยากสำรวจดูบ้านสักหน่อย
"จอดบ้านแป้บนึงอาเหล่ย พี่ขอแวะดูในบ้านไม่นาน"
"ให้พี่ลงไปด้วยไหมอาเหมย"
"ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันแค่จะแวะดูของในบ้านก็เท่านั้น พี่อย่าเพิ่งขยับบ่อย เดี๋ยวจะเจ็บแผล"
การที่มีรถยนต์วิ่งเข้ามาในหมู่บ้านย่อมเป็นที่จับจ้องของผู้คน บรรดาแม่ลูกอ่อนและคนชราที่ไม่ได้ไปทำงานที่แปลงนาต่างก็ชะเง้อคอมองตาม ว่ารถยนต์คันนั้นจะไปจอดที่หน้าบ้านหลังไหน ไม่แคล้วจะกลายเป็นประเด็นใหญ่ในการพูดคุยกันในช่วงนี้
"ช่วยจอดหน้าบ้านหลังนั้นสักครู่นะครับ"
"ได้ครับ"
รถตู้ของโรงพยาบาลจอดเทียบหน้ากระท่อมน้อยของโจวอี้เฉิน ก่อนที่หนิงเหมยจะลงจากรถแล้วเข้าไปสำรวจในบ้าน เป็นไปตามที่เธอคาดคิดเอาไว้ ยาสระผม สบู่ ยาสีฟัน รวมไปถึงเครื่องปรุงแล้วก็ข้าวสารในไหถูกกวาดไปจนเกลี้ยง
ไม่เว้นแม้แต่หม้อ กระทะแล้วก็มีด เหลือเพียงที่นอนกับมุ้งอันเก่าและหีบเสื้อผ้าเท่านั้น และหนิงเหมยเองก็ไม่คิดที่จะทิ้งของพวกนี้ เธอเก็บของบางส่วนเข้ามิติ ที่เหลือเพียงไม่กี่ชิ้นก็เก็บใส่หีบไม้แล้วเรียกน้องชายมาช่วยยก
"โชเฟอร์ตรงไปที่แปลงนารวมเลยจ้ะ แถวนี้หัวขโมยมันเยอะ อยู่นานไม่ได้เดี๋ยวล้อรถหาย"
พูดจบหนิงเหมยก็เดินขึ้นรถมิวายที่หางตาของเธอจะปรายตามองไปที่หวงเยว่เผิงอย่างไม่ชอบใจ ทางด้านหวงเยว่เผิงเองก็ไม่ได้สะทกสะท้านอะไร ดีเสียอีกที่มารหัวใจของเธอย้ายออกไปได้สักที โชคดีที่สามีของเธอยังอยู่ในโอวาทของมารดา ใครกันจะไม่หวั่นใจเมื่อมีผู้หญิงสวย ๆ มาอยู่ใกล้สามี
ไม่ถึง 5 นาที รถตู้ของโรงพยาบาลก็เคลื่อนมาจอดที่หน้ากองอำนวยการของคอมมูน ซึ่งมีทหารและคณะกรรมการรวมไปถึงหัวหน้าหมู่บ้านคอยอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
คนงานในแปลงนาต่างชะเง้อคอมองว่าใครคือคนที่จะลงจากรถตู้คันนั้น ไม่เว้นแม้แต่คนบ้านหวงที่ยังไม่รู้ชะตากรรมของตัวเอง นางหวงกุ้ยฮวาก็หารู้ไม่ว่าวันนี้เป็นวันแรกที่นางจะได้สัมผัสกับคำว่าพ่ายแพ้ให้กับลูกเลี้ยงที่นางเกลียดชัง
"อาเฉิน เป็นยังไงบ้าง"
ทันทีที่ประตูรถเปิดออกหัวหน้าหมู่บ้านก็รีบเข้ามาถามไถ่อาการของโจวอี้เฉิน ต่างจากนางหวงกุ้ยฮวาที่มองมาจากแปลงนาด้วยสายตาริษยาอาฆาต เหมือนว่านางไม่อยากให้โจวอี้เฉินกลับมาเดินได้อีกครั้ง
"ผมดีขึ้นแล้วครับ มาครั้งนี้เพราะผมจะมาแจ้งลาออกจากการทำงาน เพราะผมจะย้ายไปอยู่ที่บ้านเดิมของภรรยา"
คนเจ็บตอบกลับในขณะที่เขากำลังย้ายตัวเองลงไปนั่งที่เก้าอี้รถเข็น โดยมีภรรยากับน้องชายภรรยาคอยช่วยเหลือ
"ฉันรู้แล้ว ก่อนหน้านี้อาเหมยโทรมาแจ้งไว้ก่อนแล้ว ยังมีผู้พันเซ่าที่เข้ามากำชับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ตอนนี้พวกเราก็เหลือเพียงแค่ให้นายมายืนยันอีกครั้งว่าต้องการที่จะแยกบ้านและตัดขาดจากครอบครัวของพ่อนายจริงรึเปล่า?"
เมื่อ 2 วันก่อนก็มีเรื่องให้ชาวบ้านต้องแปลกใจไปแล้วครั้งหนึ่ง อยู่ ๆ ก็มีรถของนายทหารยศใหญ่ขับเข้ามาที่คอมมูนอย่างไร้สาเหตุ สักพักต่อมาพวกเขาก็จากไป ในสายตาของชาวบ้านจึงเป็นเพียงการมาตรวจสอบหรือเยี่ยมดูคอมมูนทั่วไป
โดยไม่มีใครรู้เลยว่าคนเหล่านั้นมาเพราะเรื่องของโจวอี้เฉิน ขนาดคณะกรรมการและหัวหน้าหมู่บ้านก็ยังต้องตกใจเมื่อผู้พันเซ่าอี่หานเข้ามาถามถึงเรื่องราวความเป็นมาของโจวอี้เฉิน ต่างพากันครุ่นคิดไม่ตกว่าอี้เฉินไปรู้จักคนระดับนั้นได้อย่างไงกัน
"จริงครับ ผมต้องการตัดขาดจากคนบ้านหวง รบกวนหัวหน้าหมู่บ้านช่วยเป็นธุระให้ด้วยนะครับ"
"ได้ ฉันจะจัดการให้ ปกติแล้วต้องคุยกันหลังเวลางาน แต่เรื่องนี้ต้นเหตุเกิดขึ้นจากการทำร้ายกันในเวลางาน เพราะฉะนั้นจึงไม่ถือเป็นเพียงเรื่องในครอบครัว"
คณะกรรมการคอมมูนกับหัวหน้าหมู่บ้านรีบเดินออกไปตามคนบ้านหวงให้มารับรู้ถึงการตัดสินใจครั้งนี้ของอี้เฉินกันทั้งบ้าน แม้พวกเขาพอจะนึกภาพออกว่าจากนี้ไปจะต้องระอากับเสียงหวีดร้องของนางหวงกุ้ยฮวา แต่ผู้พันเซ่าอี่หานย่อมน่ากลัวกว่าหลายเท่า
"คนบ้านหวง ตามมาที่กองอำนวยการเร็วเข้า โจวอี้เฉินต้องการทำเรื่องขอแยกบ้านและตัดขาดจากบ้านหวงอย่างเป็นทางการ"
"อะไรนะ! ไอ้พวกหมาป่าตาขาวนั่นมันกล้าดียังไงจะมาแข็งข้อใส่ฉัน หน๋อยแหนะ โดนสับขาเข้าหน่อยทำเป็นอยากตัดขาด ไอ้พวกเนรคุณคน ฉันอุตส่าห์เมตตาให้อยู่ในบ้านตั้งหลายสิบปี แทนที่จะอยู่รองมือรองเท้าคอยปรนนิบัติฉันกับลูกไปจนตายแต่กลับปีกกล้าขาแข็งซะนี่! รู้อย่างนี้ฉันสับขามันให้ขาดเป็นสองท่อนก็ดี ไอ้คนอกตัญญู!"
เพียงแค่ได้ยินคำพูดของหัวหน้าหมู่บ้านก็ทำให้นางหวงกุ้ยฮวาโพล่งความในใจออกมาอย่างเดือดดาล ด้วยว่าเรื่องการตบตีภายในครอบครัวยุคนี้ถือเป็นการสั่งสอนลูกหลาน อย่างไรเสียก็ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่ง ไม่เช่นนั้นนางจะข่มเหงลูกเลี้ยงมาได้ถึง 20 ปีหรือ
"หล่อนตั้งใจหรอกหรือ ไหนบอกว่าเป็นแค่อุบัติเหตุ?"
หวงจื่อรั่วที่ไม่ได้เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นหันมาถามภรรยาเมื่อได้ยินสิ่งที่นางหวงกุ้ยฮวาพูด
"ใช่! แล้วจะทำไม ใครบอกให้ลูกแกมันเนรคุณ มีเนื้อแห้งกินกลับไม่เอามาให้ฉันเพื่อแสดงความกตัญญู แกก็อีกคนหนึ่ง ถ้าแกไม่หอบมันมาด้วยฉันก็คงไม่ต้องกลัวว่ามันจะได้ดีกว่าลูกฉันแบบนี้หรอก!"
ชาวบ้านที่ทำงานในแปลงนาต่างก็รับรู้และได้ยินสิ่งที่นางหวงกุ้ยฮวาพูด ทุกคนต่างก็คิดไปทางเดียวกันว่านางทำเกินกว่าเหตุ แต่ก็ไม่มีใครอยากยุ่งเพราะไม่ใช่เรื่องในครอบครัวของตนเอง
"เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนในที่นี้ต่างก็ได้ยินในสิ่งที่นางหวงกุ้ยฮวาพูดแล้วว่านางตั้งใจทำร้ายโจวอี้เฉิน เมื่อถึงเวลาหวังว่าทุกคนคงจะมีความกล้ามากพอที่จะพูดความจริง บ้านหวงรีบตามฉันมาเร็วเข้า"
"ที่หัวหน้าหมู่บ้านพูดหมายความว่ายังไง เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องในครอบครัวไม่ใช่เหรอ จะดึงพวกเราเข้าไปเกี่ยวข้องทำไม ฉันไม่เอาด้วยหรอก ฉันไม่อยากถูกนางหวงกุ้ยด่า หล่อนปากร้ายจะตาย"
"แล้วหล่อนจะปล่อยให้นางด่าอยู่ฝ่ายเดียวทำไมล่ะ ด่ามาก็ด่ากลับสิ มีอะไรต้องกลัวกัน"
"ใช่ ๆ ไม่รู้เวรกรรมอะไรของโจวอี้เฉินที่เกิดมาเป็นลูกของตาเฒ่าจื่อรั่ว นอกจากปกป้องลูกตัวเองไม่ได้ ยังเอาลูกมาให้เมียใหม่รังแกอีก ฉันก็เป็นผู้ชาย ต่อให้ตายกันไปข้างหนึ่งฉันก็ไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายลูกฉันขนาดนี้หรอก"
"ก็คงฝังใจกับเรื่องการตายของเมียคนแรก ที่เป็นแม่ของอี้เฉินนั่นแหละ ตอนนั้นอี้เฉินแค่ 6 ปี รูปร่างก็เล็กจ้อย ตาเฒ่าจื่อรั่วขึ้นเขาบ่อย ๆ ไปหาสัตว์ป่าไปขาย แต่พอกลับมาก็พบว่าเมียตายแล้ว ทั้งที่อี้เฉินไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำ ตอนนั้นฉันจำได้ว่าเจ้าเด็กคนนั้นยังต้มข้าวเตรียมจะเอาไปป้อนแม่ที่นอนป่วยอยู่บนเตียง แต่นั้นมาตาเฒ่าจื่อรั่วก็โทษว่าเป็นความผิดของลูก ถึงได้เป็นอย่างทุกวันนี้ไง"
"น่าเวทนาจริง ๆ เด็ก 6 ปีเองนะ แค่ลุกมาต้มข้าวเองได้ก็เก่งแค่ไหนแล้ว จะมาเคียดแค้นเอาอะไรกับเด็ก แสดงว่าเวลาเห็นเมียใหม่ทำร้ายลูกก็คงสาแก่ใจสินะ ใจไม้ไส้ระกำจริง ๆ"
"ฉันละภาวนาขอให้อี้เฉินตัดขาดจากคนบ้านนี้ได้สำเร็จด้วยเถอะ"
"ใช่ ฉันก็เห็นด้วย ว่านังหนิงเหมยไม่ชอบอี้เฉิน แต่ดูตอนนี้สิ หล่อนทั้งพยุงดูแลสามีอย่างดีเลย"
"ผ่านมาเป็นปีจนมีลูกด้วยกัน ป่านนี้หล่อนคงคิดได้แล้วมั้ง"
เสียงของชาวบ้านพูดคุยกันไล่หลังคนบ้านลู่ที่กำลังเดินไปที่กองอำนวยการดังอยู่เนือง ๆ หวงหลี่เวยที่เดินรั้งท้ายก็เริ่มอับอายกับสิ่งที่มารดากระทำ ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ไม่อาจแก้ไขอะไรได้ เพราะหล่อนเองก็ถูกปลูกฝังให้เกลียดชังพี่ชายโดยไร้เหตุผล
ทางด้านลู่หนิงเหมยเห็นคนบ้านหวงกำลังเดินอาด ๆ เข้ามาในกองอำนวยการก็บีบกระชับมือสามีเอาไว้เพื่อให้กำลังใจเขา
"เข้มแข็งนะพี่อี้เฉิน เพื่อลูกเพื่อครอบครัวของเรา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันกับลูกก็จะอยู่ข้างพี่เสมอ"
"ยังมีผมกับแม่ด้วยนะพี่เขย พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน"
รอยยิ้มของภรรยาและน้องภรรยาทำให้โจวอี้เฉินมีแรงฮึดสู้ขึ้นมาก ในเมื่อภรรยาเปลี่ยนไปแล้ว เขาก็ต้องเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนที่เข้มแข็งและเหมาะสมพอที่จะเป็นผู้นำครอบครัวได้