2 ชั่วโมงต่อมา
หลังจากการผ่าดัดดามเหล็กผ่านไปด้วยดี ร่างของโจวอี้เฉินถูกย้ายไปที่ห้องพักฟื้น ที่หนิเหมยจองเอาไว้ โดยมีแม่ลู่กับลู่หวังเหล่ยคอยตามช่วยหนิงเหมยดูแลหลานสาวตัวน้อยอีกต่อหนึ่ง โชคดีที่ห้องพิเศษมีห้องน้ำในตัวและสามารถนอนเฝ้าได้ตามที่ต้องการ
"แม่กับอาเหล่ยช่วยดูพี่อี้เฉินกับเสี่ยวอันให้ฉันหน่อยนะจ๊ะ ฉันจะลงไปเอาของใช้ที่วางไว้ข้างล่างแล้วก็หาของกินขึ้นมาให้ทุกคน"
หนิงเหมยเอ่ยกับมารดา พอเห็นว่าสามีของเธอปลอดภัยแล้วความร้อนรุ่มที่สุมอยู่ในใจก็พลอยทุเลาลงไปด้วย
"ไปเถอะลูก ไม่ต้องซื้ออะไรมาเยอะนะ แม่กับน้องไม่หิวหรอก เก็บเงินไว้จ่ายค่ารักษาอี้เฉินเถอะ"
"เสี่ยวอัน อยู่กับน้าหวังเหล่ยกับคุณยายแป้บนึงนะลูก แม่ขอไปเอาหม่ำ ๆ ให้หนูไม่นานก็กลับมา อย่าร้องงอแงนะจ๊ะ"
เจรจากับลูกน้อยเสร็จเธอก็รีบออกจากห้องไปทันที หนิงเหมยตรงไปที่ห้องน้ำรวมเพื่อหาที่หลบสายตาผู้คน จากนั้นก็กลับเข้ามิติแล้วเก็บเอาของใช้ที่จำเป็นของลูกน้อย พร้อมกับหาเสื้อผ้าออกไปให้แม่กับน้องชายของเธอใส่ และยาสระผม สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟันสำหรับทุกคน
น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ซาลาเปากับโจ๊กหมู กล้วยและส้ม ถูกหยิบออกมาจากมิติเพื่อเป็นอาหารเย็นให้กับทุกคน จากนั้นหนิงเหมยก็หาถุงผ้าใบใหญ่มาใส่ของใช้ของลูกน้อยพร้อมกับที่นอนและกระบอกเก็บน้ำร้อน เมื่อได้ของครบเธอก็รีบเดินกลับห้องพักฟื้นของสามีทันที
"อาเหมยซื้ออะไรมาเยอะแยะเลยลูก วางก่อน ๆ"
"มีแต่ของที่ต้องกินต้องใช้จ้ะแม่ ต่อไปนี้แม่ต้องกินทุกอย่างที่ฉันหามาให้รู้ไหม ไม่อย่างนั้นโรคที่แม่เป็นอยู่มันจะเอาชีวิตแม่ไปในอีกไม่ถึง 2 ปีข้างหน้า ถ้าแม่ไม่เชื่อฉันแสดงว่าแม่ไม่รักไม่อยากอยู่กับพวกเรา จริงไหมจ๊ะเสี่ยวอัน หนูต้องดุ ๆ คุณยายเลยนะเวลาที่คุณยายกินข้าวน้อย"
แม่ลู่น้ำตาซึมเมื่อได้รู้ว่าบุตรสาวของนางเป็นห่วงนางขนาดนั้น ในเมื่อมีกำลังใจให้อยู่ต่อแบบนี้ทำไมนางถึงจะไม่ทำตามความต้องการของลูกสาวกันล่ะ เช่นเดียวกับหวังเหล่ยที่ได้เห็นพี่สาวใส่ใจมารดา เขาก็อุ่นใจขึ้นมาก
ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันสองคนผู้เป็นแม่มักจะบ่นว่าคิดถึงพี่สาวของเขาอยู่ตลอด แต่ไม่กล้าไปวุ่นวายกับอีกฝ่ายเพราะกลัวจะทำให้ลูกสาวรำคาญใจ
"แม่รู้แล้วลูก แม่จะทำตามที่อาเหมยบอกทุกอย่างเลย"
"งั้นแม่กับอาเหล่ยมากินข้าวเถอะ ฉันซื้อโจ๊กมาให้คนละ 1 ถุง น้ำเต้าหู้ ซาลาเปา ปาท่องโก๋ก็กินให้หมดด้วยนะ เสร็จแล้วกินกล้วยน้ำหว้ากับส้มลงไปด้วย ของมีประโยชน์ทั้งนั้น เอาไว้ข้ามคืนเดี๋ยวจะเสียซะก่อน ไหนลูกสาวตัวน้อยคิดถึงแม่รึยังเอ่ย ป่านนี้น้าชายคงปวดแขนแล้วมั้งอุ้มลูกหมูตั้งหลายชั่วโมง"
"แอะ แอ้"
ร่างเล็กจ้อยถูกส่งกลับคืนให้คนเป็นแม่ ยิ่งหนูน้อยมองเห็นขวดนมที่อยู่ในมือแม่ ร่างเล็ก ๆ ยิ่งดีดดิ้นด้วยความดีใจแล้วปากน้อย ๆ ก็รีบดูดกินอาหารของตัวเองอย่างเอร็ดอร่อย
"พี่อย่าพูดแบบนั้น หลานน่ารักขนาดนี้ผมอุ้มได้ทั้งวันเลยนะ"
"ไม่ทันไรก็หลงกันซะแล้ว"
"ก็เป็นเรื่องจริงนี่นา ผมอุ้มตั้งนานยายหนูก็ไม่ร้องไห้ซักแอะ"
"เสี่ยวอันจะร้องเฉพาะตอนหิวกับตอนอยากเปลี่ยนผ้าอ้อมเท่านั้นแหละ นายก็กินเยอะ ๆ นะอาเหล่ย เป็นกำลังหลักของครอบครัวต้องบำรุงเยอะ ๆ"
"ครับ ผมดีใจนะที่ได้ยินว่าพี่จะกลับมาอยู่ที่บ้านของเรา ตั้งแต่พี่ย้ายออกไปแม่ก็ร้องไห้คิดถึงพี่อยู่บ่อย ๆ"
"อาเหล่ยอย่าพูดให้พี่เค้าไม่สบายใจสิลูก"
แม่ลู่รีบปรามลูกชายเอาไว้ในขณะที่นางกำลังกินโจ๊กข้น ๆ กับเนื้อหมูชิ้นใหญ่ ไหนจะมีไข่และเครื่องในหมูอีก โจ๊กชามนี้อร่อยเหลือเกินแต่เมื่อมองดูการจับจ่ายใช้สอยของลูกสาวก็ทำให้นางปวดใจไปด้วยในเวลาเดียวกัน
"ผมพูดความจริง แม่คิดถึงพี่สาวขนาดนั้นทำไมไม่บอกออกไปตรง ๆ"
หนิงเหมยเห็นสีหน้าของผู้เป็นแม่เธอก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของท่าน เมื่อก่อนเธอก้าวร้าวเอาแต่ใจขนาดไหนท่านก็ไม่เคยว่า ลูกสาวบ้านอื่นไม่ค่อยได้รับความรักความใส่ใจจากพ่อแม่ แต่ไม่ใช่กับบ้านลู่ แม่ลู่รักถนอมและตามใจลูกสาวทุกอย่างจนเธอเสียคน กระนั้นท่านก็ไม่กล้าจะว่ากล่าวอะไรให้ลูกต้องช้ำใจ
"แม่ ต่อไปนี้แม่ต้องพูดกับฉันตรง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ฉันโตจนเป็นแม่คนแล้ว ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าแม่รู้สึกยังไง คุณยายอย่าร้องไห้ เดี๋ยวเสี่ยวอันก็ร้องตามหรอก จริงไหม?"
หนิงเหมยอุ้มลูกน้อยที่กำลังกินนมอยู่ขยับเข้ามาใกล้ ๆ แม่ของเธอ จากนี้ไปคงต้องอาศัยลูกสาวตัวน้อยช่วยเยียวยาจิตใจของทุกคนในครอบครัว
"หลานยายกินนมเยอะ ๆ นะลูก หนูจะได้โตเร็ว ๆ ว่าแต่ของใช้พวกนี้คงแพงมากเลยใช่ไหมอาเหมย ไหนจะนมผงนั่นอีก?"
โชคดีที่แม่ลู่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ไม่อย่างนั้นเธอคงลืมเตรียมการก่อนที่ความจะแตก
"ฉันใช้เงินเก็บซื้อมาจ้ะแม่ ราคาเอาการอยู่ แต่ช่วงนี้ฉันเป็นไข้ก็เลยไม่อยากให้ลูกกินนมตัวเอง กลัวว่าเสี่ยวอันจะติดไข้ไปด้วย แต่ว่า.."
"แต่ว่าอะไรลูก แล้วตอนนี้อาเหมยเป็นยังไงบ้าง อาการทุเลาลงรึยัง?"
คนเป็นแม่ใจกระตุกวูบเมื่อได้ยินว่าลูกสาวไม่สบาย คนในละแวกนั้นสามบ้านแปดบ้านต่างก็รู้ดีว่านางหวงกุ้ยฮวาเกลียดชังโจวอี้เฉินขนาดไหน แม่ลู่จึงรู้ดีว่าจะไม่มีใครมาใส่ใจมาถามไถ่อาการของหนิงเหมยแน่ ๆ
"ฉันดีขึ้นแล้วจ้ะ แต่ของพวกนี้ที่ซื้อมาฉันบอกพี่อี้เฉินว่าแม่กับอาเหล่ยเป็นคนซื้อให้ ตอนไปเยี่ยมหลายเมื่อวานนี้"
"..." "..."
แม่ลู่กับลูกชายหันมองหน้ากันด้วยความจนใจ พวกเขานะหรือจะมีเงินมากมายมาซื้อของเหล่านี้ให้หลานสาว
"นี่เป็นเงิน 200 หยวนที่ฉันเอาของแม่มา วันนี้ฉันขอคืนให้แม่ เผื่อวันข้างหน้าอาเหล่ยอยากแต่งงานน้องจะได้มีค่าสินสอด"
หนิงเหมยล้วงเงินในกระเป๋าที่เธอเตรียมไว้ออกมาคืนให้มารดา เงินจำนวน 200 หยวนนี้เธอรีดไถเอาจากผู้เป็นแม่ในวันที่เธอแต่ออกจากบ้าน ความจริงภายในเวลา 1 ปี ร่างนี้ใช้จ่ายหมดไปถึง 50 หยวน กับการซื้อของดี ๆ ไปทำอาหารให้หวงหลี่จิ้งผู้ชายที่เธอชอบ
"แม่ไม่เอาหรอกลูก อาเหมยเก็บไว้จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้อี้เฉินเถอะ"
"จริงครับพี่สาว ผมยังไม่อยากแต่งงานตอนนี้ พี่เก็บไว้เถอะ"
"พอกันทั้งสองคนเลย เก็บไว้เถอะค่ะแม่ ฉันยังมีเหลือในส่วนที่ต้องใช้จ่าย เอาเป็นว่าแม่รับคืนไปก่อน ถ้าฉันขาดเขินฉันจะเอ่ยปากยืมกับแม่อีกที"
ต่อให้แม่กับน้องชายจะดึงดันไม่รับเงิน แต่หนิงเหมยก็หาวิธีหว่านล้อมให้ทั้งสองโอนอ่อนผ่อนตามจนได้
"ถ้าอย่างนั้นแม่จะเก็บรักษาไว้ก่อน ถ้าลูกสองคนมีความจำเป็นต้องใช้ก็มาเอาได้เสมอ"
"คุณยายดีที่หนึ่งแบบนี้เสี่ยวอันต้องรักคุณยายมากแน่ ๆ เลยจริงไหมลูก"
"แอะ"
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า หลานน้ารู้เรื่องกับเค้าด้วยเหรอว่าเค้าคุยอะไรกัน"
"แอ้"
ทั้งสามคนพูดคุยและกินข้าวกันต่อไม่นาน จากนั้นลู่หวังเหล่ยก็จัดเตรียมที่นอนสำหรับทุกคน ยังดีที่มีโต๊ะไม้ยาว ๆ ตั้งอยู่ หนิงเหมยจึงให้น้องชายนอนบนนั้น ส่วนเธอกับแม่และเสี่ยวอันก็ปูเสื่อนอนบนพื้น
กลางดึก
"แค่ก ๆ อื้อ"
โจวอี้เฉินตื่นขึ้นมาเพราะพิษไข้จากบาดแผลที่กำลังเล่นงานเขาอยู่ ทางด้านหนิงเหมยที่มีหลายเรื่องต้องคิดเธอก็ไม่อาจข่มตาหลับลงได้ พอได้ยินเสียงสามีกระแอมไอจึงรีบลุกขึ้นไปดู
"พี่อี้เฉิน พี่เป็นยังไงบ้าง ดื่มน้ำหน่อยนะ"
หลอดดูดที่หนิงเหมยเตรียมเอาไว้ถูกหยิบมาใช้งานอย่างรวดเร็วเพื่อให้สามีของเธอได้ดื่มน้ำอย่างสะดวก
"ขอบคุณนะอาเหมย แล้วลูกล่ะ ใครดูแลลูก?"
แสงไฟในห้องสลัว ๆ มีเพียงแสงที่ลอดออกมาจากห้องน้ำที่หนิงเหมยเปิดไว้เท่านั้นจึงทำให้อี้เฉินมองยังไม่เห็นว่ามีใครอยู่ในห้องบ้าง
"นอนอยู่ข้างคุณยายจ้ะพี่ วันนี้แม่กับอาเหล่ยมาช่วยฉันดูแลลูก ฉันเลยได้มีเวลาจัดการเรื่องต่าง ๆ ว่าแต่พี่ตอบฉันตามตรงได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันเป็นห่วงพี่มากรู้ไหม ฉันไม่อยากทนอยู่แบบนี้อีกต่อไปแล้ว"
โจวอี้เฉินเช็ดน้ำตาออกจากแก้มเนียนของภรรยา ตอนนี้เขาคงต้องเลือกแล้วว่าจะต้องพาครอบครัวย้ายออกมา หรือจะปล่อยให้แม่เลี้ยงรังแกทุกคนต่อไป
"แม่เลี้ยงเห็นว่าพี่ได้กล่องข้าวไปทำงานนางก็เลยเข้ามาแย่ง แต่พี่ไม่ยอม พอตอนลงไปทำงานพี่ไม่รู้ว่านางมาอยู่ข้าง ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็น"
"แสดงว่าแม่เลี้ยงของพี่ตั้งใจทำร้ายพี่ ถ้าอย่างนั้นฉันจะใช้เรื่องนี้พาพวกเราทุกคนออกจากบ้านหลังนั้นและตัดขาดจากคนพวกนั้น พี่จะยอมให้ฉันทำแบบนั้นไหม? หรือพี่ยังอาลัยอาวรณ์พวกเค้าอยู่"
สีหน้าและแววตาที่จริงของหนิงเหมยทำให้โจวอี้เฉินตัดสินใจได้โดยไม่ต้องคิด เขาเลือกแล้ว จะดีจะร้ายก็เป็นลูกกับภรรยาที่จะอยู่กันไปจนช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต หากใครจะประณามว่าเขาเป็นคนอกตัญญูเขาก็ไม่สน เพราะ 20 ปีที่ผ่านมาเขาถือว่าตอบแทนบุญคุณไปมากพอแล้ว
"ไม่! พี่ยินดีจะเดินออกมาพร้อมเธอกับลูก พี่ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว แต่เรื่องเงินกองกลางกับเสบียงแล้วก็ที่อยู่ใหม่ล่ะ"
"คงต้องอาศัยบ้านแม่ไปก่อน หลังจากนั้นค่อยสร้างบ้านหลังเล็ก ๆ อยู่ ขอแค่อยู่แล้วสบายใจ มีพี่กับลูกอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนฉันก็อยู่ได้ทั้งนั้น"
จุ๊บ หนิงเหมยจุมพิตลงที่หน้าผากของสามี พร้อมกับเช็ดน้ำสีใสที่ไหลออกจากดวงตาของเขาอย่างแผ่วเบา
"คงต้องลำบากแม่ยายแล้ว ว่าแต่ขาของพี่เป็นยังไงบ้าง แล้วมาพักห้องแบบนี้ไม่สิ้นเปลืองเกินไปเหรอ?"
"พี่อย่าคิดมาก เงินเก็บของฉันยังมีพอจะดูแลครอบครัวได้ ลืมไปแล้วรึไงว่าแต่ก่อนฉันเข้ามาทำงานในเมืองนะ"
เป็นอย่างที่หนิงเหมยพูดไม่ผิด เมื่อก่อนร่างนี้เข้ามาทำงานในเมืองก่อนจะแต่งงานกับอี้เฉิน หาเงินได้เท่าไหร่ไม่เคยมีใครรู้กับเธอ แต่ทุกหยวนที่หาได้กลับใช้จ่ายไปกับการเอาอกเอาใจผู้ชายอย่างไร้สาระ
"ลำบากภรรยาแล้ว ไว้หายดีสามีจะขยันหาเงินให้ได้เยอะ ๆ มาให้คุณภรรยาเก็บไว้ดีไหม?"
"ดีจ้ะ ดีที่สุด"
คนเป็นแม่กับน้องชายที่แสร้งทำเป็นหลับอยู่ พอได้ยินทั้งสองสนทนากันก็เบาใจขึ้นเยอะ อย่างน้อยลู่หนิงเหมยกับสามีก็ยังรักกันดี คงมีเพียงเรื่องบ้านใหญ่เท่านั้นที่ต้องจัดการ
"อีกกี่วันพี่ถึงจะออกจากโรงพยาบาลได้ครับ"
"หมอให้รอดูอาการอีกสัก 2-3 วันจ้ะ แต่พรุ่งนี้ฉันจะไปจัดการคนบ้านนั้นให้มันจบ ๆ ไป พวกเราจะได้ไม่ต้องกลับไปอยู่ในบ้านหลังนั้นอีก"
"รอพี่ก่อน รอไปพร้อมกัน พี่ไม่อยากให้เธอไปคนเดียว ได้ไหมครับ"
พอเห็นใบหน้าของสามีที่ดูออดอ้อนเธอเป็นพิเศษ หญิงสาวก็ใจอ่อนยวบต้านทานต่อแววตานั้นไม่ไหว
"ฉันไม่ยักรู้ว่าพี่จะร้ายกาจขนาดนี้"
"แค่กับภรรยาคนเดียว"
"แอ้"
ทั้งสองคุยกันอยู่สักพักเสียงเล็ก ๆ ของเสี่ยวอันก็ อ้อ แอ้ ขึ้นขัดจังหวะพ่อกับแม่ เพราะตอนนี้เป็นเวลาดื่มนมเติมพลังของหนูน้อยแล้ว
หาตัวช่วยให้หนิงเหมยกับอี้เฉินแป้บนึงนะจ๊ะ ก่อนจะเปิดศึกใหญ่ เราต้องมีตัวช่วยที่แข็งแกร่งซะก่อน