เวลาบ่ายสามโมงเย็น มหาวิทยาลัยผู้คนค่อนข้างบางตา
ฟ้าพราวยังคงสวมแว่นตาเพื่อช่วยในการมองเห็นอะไรก็ตามที่อาจารย์สอนแบบเล็กๆ ไกลๆ ยามร่ำเรียนมีตัวเลขยัวะเยี๊ย และหอบหนังสือเล่มใหญ่เต็มอ้อมแขนออกมาเดินเอื่อยเฉื่อยตามทางเท้าระหว่างตึกคณะ
ด้านข้างของเธอคือไพลิน เพื่อนสาวคนสนิทที่เป็นเด็กเรียนเด็กเนิร์ดไม่แพ้กัน
“เป็นไรอ่ะแก ทำหน้าเหมือนแมวป่วย”
ฟ้าพราวตอบโดยไม่มองหน้าเพื่อน “แกก็พูดไป แมวอะไรจะน่าเกลียดอย่างนี้ ทาสแมวรู้เข้าจะโกรธเอาที่ดึงแมวแสนน่ารักมาเปรียบเทียบกับคนขี้เหร่อย่างฉัน”
ไพลินเห็นด้วย “เออก็จริง” เธอยังคงสงสัย “ว่าแต่แกเป็นไรเนี่ย ท่าทางเหมือนคนอกหักเลยแก”
ฟ้าพราวถอนหายใจห่อเหี่ยว “แค่อกหักก็ดีน่ะสิ”
สำหรับเธอ อกหักเรื่องเล็ก อกเล็กเรื่องใหญ่ แต่จะว่าไป หน้าอกของเธอไม่เล็กนะ แถมยังเหมือนจะใหญ่ขึ้นเล็กน้อยหลังจากผ่านเรื่องแบบนั้นกับผู้ชายที่ชื่อวิณณ์
อา...เธอคิดอะไรอีกแล้วเนี่ย อยากจะบ้าตายวันละร้อยรอบ ทุกวันเธอเอาแต่คิดถึงเจ้าบ้านั่นทั้งวัน คอยเตือนตัวเองไม่รู้กี่ครั้งว่ามีคู่หมั้นแล้ว พี่เพนกวินยังไม่ยอมตอบรับข้อความที่เธอส่งไปเลย เพราะฉะนั้น สถานะของเธอก็คือคนมีคู่หมั้นที่กำลังมีชู้
ต่อให้คนอื่นไม่รู้แต่เธอเองรู้อยู่เต็มอกนี่ เฮ้อ!
ฟ้าพราวคิดด้วยหัวใจปวดร้าว ลืมไปว่าตัวเองเป็นคนบล็อกช่องทางติดต่อกับเพนกวิน เพราะทุกขณะจิตสำนึกรู้ผิดชอบชั่วดีบอกให้เธอด่าทอตัวเองไม่หยุด
ผู้ชายสองคน หนึ่งคือคนที่เธอมีสัมพันธ์ลึกซึ้งชวนรู้สึกหวามไหวตลอดเวลา ผุดภาพน่าอายแต่ทรงเสน่ห์และหุ่นสุดแสนจะเพอร์เฟคชวนสนเท่ห์ในสมองน้อยๆ ของเธอได้ทั้งวัน
สองคือคนที่เธอไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเลยสักครั้ง ไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อเขาทั้งนั้น แต่เพราะเขาเป็นคู่หมั้น
เป็นคู่หมั้น เป็นคู่หมั้น
โอ๊ย! ฟ้าพราวเครียดจนสมองแทบแตก
จู่ๆ ลูกบาสจากที่ไหนไม่ทราบลอยมากระแทกหัวเธอดังปึก
“อ๊ะ!”
ดีนะแว่นตาไม่ตกแตกและหนังสือที่หอบอยู่ไม่หล่นพื้นเสียหายเพราะมันมีรายงานที่ทำแทบตายรวมอยู่ด้วย
ใครเนี่ย?
ฟ้าพราวหันมองเจ้าของลูกบาสแบบตาขวางๆ หากมีเขี้ยวเหมือนหมาเหมือนแมวเธอจะกระโดดกัดคอให้เลือดสาด
“โหดจริง”
วิณณ์แซวขำๆ เมื่อเห็นลูกนัยน์ตาพร้อมพ่นไฟของคู่หมั้น
คนถูกแซวเบิกตาโพลง “นาย!”
“พี่วิณณ์! ...เรียกให้ถูกสิครับน้องฟ้า”
ชายหนุ่มกล่าวยิ้มๆ เป็นยิ้มที่กระตุกเบาบางตรงมุมปาก ทว่ากลับทำให้สาวๆ ที่เดินผ่านไปมาแถวนั้นแทบอ้าปากกรีดร้อง
ฟ้าพราวยืนหน้าแดงก่ำถึงลำคอ เธอขึงตาเม้มปากแน่น ในขณะที่ไพลินก้มหน้ากดแว่นตาลงแล้วเหลือกตาขึ้นมองให้ชัดๆ
หากจำไม่ผิดผู้ชายหล่อร้ายหุ่นแซ่บคนนี้คือคนที่ยัยฟ้าลากกลับคอนโดจากผับวันนั้นนี่นา
หญิงสาวชำเลืองมองเพื่อนรักที่ออกอาการแบบนั้นก็เข้าใจ
โอ๊ะโอ๋! ที่แท้สาเหตุที่ทำให้เพื่อนของเธอหน้าดำคร่ำเครียดทั้งวี่ทั้งวันคงเป็นเพราะสุดหล่อตรงหน้าแน่ๆ แหมๆ น่าอิจฉา...
ไพลินทำงานพิเศษที่ผับแห่งนั้น เธอจึงพอเดาได้ทั้งหมด
ไม่แปลกใจที่เห็นชายหญิงดื่มเหล้าเคล้าดนตรีแล้วพากันไปต่อถึงไหนต่อไหน แม้จะเป็นเพื่อนอย่างฟ้าพราว ไพลินก็เลยไม่คิดห้ามปรามในคืนนั้น
เธอเห็นชัดเจนว่าเพื่อนเป็นคนล็อคคอผู้ชายคนนี้แล้วบังคับพาเขาเดินออกไปอย่างใจกล้าหน้าด้าน
แค่กๆ โทษทีเพื่อน!
แต่คืนนั้นตอนที่เธอถามฟ้าพราวที่กำลังลากผู้ชายคนนี้ลุกออกจากโต๊ะด้วยกันว่าจะไปไหนเหรอ หล่อนหันมาปรือตาบอกด้วยเสียงอ้อแอ้ว่ากลับคอนโดกับพี่คนหล่อ
ไพลินกระแอมไอในใจก่อนสังเกตได้ว่าบรรยากาศรอบกายกำลังตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายคล้ายผัวเมียทะเลาะกัน เธอจึงว่า “ฉันไปเตรียมตัวทำงานก่อนนะแก แล้วเจอกัน”
ลาเพื่อนจบเธอก็หันไปทางวิณณ์ “ชื่อพี่วิณณ์ใช่มั้ยคะ? งั้นตามสบายนะคะพี่วิณณ์ ค่อยๆ คุยกันนะคะ”
จะก้างขวางคอหรือหมาหัวเน่าเพื่อนที่ดีต้องไม่เอาสักอย่าง
ฟ้าพราวมองตามเพื่อนตาละห้อย ไม่คิดช่วยกันเลยยัยลิน!
หญิงสาวหันกลับมามองคนตัวโตตาขวางอย่างทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้น
วิณณ์เห็นคนเก็บกดหนึ่งอัตราก็ยิ่งคลี่ยิ้มชอบใจ เพราะอยู่นอกห้องมีคนเดินไปเดินมา คู่หมั้นของเขาจึงไม่สามารถระเบิดพลังกระทำการคล้ายฟ้าพิโรธกับเขาได้
ชายหนุ่มแย่งหนังสือในอ้อมแขนกับกระเป๋าสะพายของเธอมาถือให้อย่างคนเป็นแฟนกัน แล้วสั่ง “เก็บลูกบาสให้พี่หน่อย”
ฟ้าพราวที่รักษาทรัพย์สินของตัวเองไม่ทันได้แต่มองตาค้าง เห็นวิณณ์หอบหนังสือและสะพายกระเป๋าของเธอเดินห่างไปแล้ว
แน่นอนว่าในที่สาธารณะ เธอไม่สามารถระเบิดพลังทั้งยังดึงไอเท็มออกมาพิฆาตใครไม่ได้ จึงจำต้องก้มหน้าเก็บลูกบาส แล้วเดินตามตัวหายนะไป
วิณณ์ไม่คิดกลับห้องแม้ว่าที่นั่นเธอกับเขาจะอยู่ใกล้กันมาก เพราะโอกาสได้ใกล้ชิดคู่หมั้นกลางแจ้งโดยที่เธอไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าขึงตาตั้งท่าฉีดสเปรย์พริกไทย มันย่อมดีและคุ้มค่า
ชายหนุ่มนำหนังสือและกระเป๋าสะพายของหญิงสาวไปวางบนเก้าอี้กรรมการข้างสนาม ซึ่งมันสูงมากปีนยากด้วย ก่อนหันมาก้มหน้าสั่ง “พี่จะแข่งบาสกับเพื่อนรุ่นน้อง ฟ้าอยู่เชียร์พี่ก่อนนะ”