หลังจากถูกคู่หมั้นประกาศตัดสัมพันธ์ทั้งสองช่องทาง
หลายวันหลังจากนั้น คนสองคนที่แม้เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งตรึงใจและอยู่ห้องตรงข้ามกันกลับคล้ายกับอยู่คนละซีกโลก
เพราะวิณณ์ไม่ได้เจอฟ้าพราวอีกเลย หรือต่อให้เขาดักรอหน้าห้องจนได้เจอ เธอก็เย็นชาใส่ บางทีก็ด่ากระเจิง เดี๋ยวนี้เธอมีไอเทมป้องกันตัวอย่างสเปรย์พริกไทยกับเครื่องช็อตไฟฟ้าด้วย
สวยประหารชัดๆ
แน่นอนว่าเธอหลบหน้าเขา ไม่คิดเจอเขาที่ชื่อวินณ์อีก
ส่วนคู่หมั้นที่ชื่อเพนกวิน ฟ้าพราวก็ไม่ติดต่อมา ทั้งไม่รับโทรศัพท์และบล็อกเบอร์บล็อกไลน์เสร็จสรรพ
เรียกได้ว่าตัดขาดจากทุกคนทุกช่องทาง
วิณณ์พยายามโทรหาก็แล้ว บากหน้ามาเคาะประตูก็แล้ว แต่ฟ้าพราวไม่ใจอ่อนหรือหวั่นไหวเลย
วันนี้วิณณ์ใส่ชุดนักศึกษามานั่งอยู่ตรงมุมเงียบๆ ภายในร้านอาหารของเพื่อนสนิท เพื่อรอเข้าเรียนอย่างคนไร้สติ
เอกชัยผู้เป็นเจ้าของร้านเดินมาตบบ่าเพื่อน
“วันนี้แกมีเรียนเช้าเหรอ?” เขาจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าวันนี้อีกฝ่ายมีเรียนช่วงบ่าย แต่เห็นมานั่งตั้งแต่สิบโมงเช้าก็เลยถามออกไปอย่างสงสัย
วิณณ์ตอบเสียงเนือยโดยไม่หันมอง “มีเรียนช่วงบ่าย”
“เฮ่ย! เป็นอะไรวะ ทำหน้าเหมือนหมาหงอย”
“หมาอะไรจะหล่อและเท่ห์ขนาดนี้”
วิณณ์ไม่ได้โม้หรือหลงตัวเอง เพราะแค่นั่งคล้ายหมาหงอยยังมีสาวๆ มองอย่างเผลอไผลส่งสายตาอ่อยมาให้เป็นระยะๆ
เอกชัยหัวเราะหึๆ กับท่าทางเหมือนคนอกหักของเพื่อน ซึ่งเขาไม่เชื่อแน่นอนว่าคนอย่างวิณณ์จะอกหัก
“กินอะไรมาหรือยัง?”
“ยัง”
เอกชัยหันไปสั่งลูกน้องให้จัดอาหารมาสักสองสามอย่าง จากนั้นก็นั่งลงตรงข้ามกับเพื่อน
“แล้วนี่เมื่อไหร่แกจะเรียนจบสักทีวะ รอปิดร้านเลี้ยงฉลองให้แกมาสามปีแล้วเนี่ย”
“ใจเย็นเพื่อน จบปีนี้แหละ”
“เออดีๆ จบซะทีนะครับลูกเพ่ นึกว่าจะเป็นปู่เฝ้ามหา’ลัย”
อันที่จริงวิณณ์อายุยี่สิบห้าแล้ว แต่ยังเรียนมหาวิทยาลัยปีสี่สาขาบริหารธุรกิจหลักสูตรสี่ปี
ไม่ใช่ว่าเกเรหรือเกียจคร้านอะไร แต่ช่วงที่เป็นเด็กชาย พ่อที่เห็นแก่ตัวของเขาขับรถออกจากบ้านทิ้งแม่ที่กำลังร้องไห้ไปอย่างไม่เหลียวหลัง
เขาพาร่างอ้วนกลมของตัวเองวิ่งตึงๆ ตามพ่อออกมาจนเข้าเขตถนน เกิดถูกรถเฉี่ยวเข้าจนล้มกลิ้งหลายตลบตกข้างทาง บาดเจ็บสาหัสจนต้องนอนโรงพยาบาล ช่วงนี้ถึงขั้นหยุดเรียนไปเกือบหนึ่งปีเต็มจนต้องเรียนซ้ำชั้น
แม่ก็กำลังเฮิร์ทหนัก เขายังมาเจ็บหนักอีก
ยังดีที่ช่วงนั้นได้น้าฝ้ายช่วยเหลือ ไม่งั้นเขาคงตายไปแล้ว
ต่อมาช่วงเรียนจบมัธยมปลาย เขาดรอปเรียนเพื่อช่วยธุรกิจของแม่อยู่เกือบสองปีค่อยกลับมาเรียนต่อมหาวิทยาลัย ตอนนี้บริษัทของที่บ้านดีขึ้นมากกว่าสมัยก่อนตอนที่พ่อทำเสียอีก
“วิณณ์ สาวโต๊ะนั้นสวยดีว่ะ หล่อนมองแกตั้งนานแล้ว สนใจไปต่อที่ห้องกับหล่อนไหม เดี๋ยวฉันเป็นกามเทพให้ จัดหล่อนสักยกสองยกให้ชื่นใจ”
วิณณ์มองตามสายตาเพื่อน เห็นผู้หญิงสวยจัดคนหนึ่ง เธอมองมาทางนี้พอดี เขาสบตากับเธอ ส่วนเธอก็สู้สายตากับเขา มองมาเนิ่นนาน นัยน์ตาหวานฉ่ำลึกซึ้ง ท่าทางแอบยั่วยวนในที
ชายหนุ่มผู้ถูกสาวอ่อย มองอย่างเย็นชาก่อนพูดเสียงเรียบ
“ไม่ล่ะ ตอนนี้ฉันมีแฟนแล้ว ไม่คิดมั่วกับใครอีก”
“หา! นายมีแฟนแล้ว?” เอกชัยมองเพื่อนอย่างตกใจมาก เพราะอีกฝ่ายเคยเปรยเอาไว้ว่าหวงชีวิตโสด ไม่คิดอยากมีแฟน
แต่ถ้าจะแต่งงานก็ต้องเป็นคนที่แม่ชอบแม่เลือกเท่านั้น เนื่องจากไม่อยากได้ใครที่อาจจะมีปัญหาแม่สามีกับลูกสะใภ้
“มีแฟน! ตอนไหนเนี่ย ทำไมไม่เคยเห็นพามาเปิดตัว ไม่เคยเห็นแกพามากินข้าวที่ร้านฉันเลย ฉันเป็นเพื่อนรักของแกนะเว้ย”
“จะพามาได้ไง เขายังไม่ตกลงเป็นแฟน กำลังจะจีบยังถูกบอกเลิกมาเนี่ย”
“เฮ้ย!” เอกชัยยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ “อะไรของแกวะเพื่อน”
วิณณ์ถอนหายใจมองเอกชัยนิ่งๆ ก่อนตัดสินใจลุกขึ้นแล้วลากคอเพื่อนเดินเข้าไปทางหลังร้านอาหาร
ในนั้นมีห้องส่วนตัวและมุมเก็บเสียงอันเป็นอาณาจักรเล็กๆ สำหรับเจ้าของร้านอย่างเอกชัย
เอกชัยเป็นเพื่อนรักของวิณณ์ตั้งแต่มัธยมปลาย
ตอนนั้นที่วิณณ์ดรอปเรียนเพื่อช่วยงานบริษัทของแม่ก็ได้เอกชัยที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้วทั้งยังเรียนหนักแท้ๆ แต่ยังมาวิ่งเต้นช่วยงานเพื่อนตั้งแต่เดินเอกสารไปจนถึงช่วยคิดโปรเจ็กต์งานยักษ์จนดึกดื่น ความไว้วางใจจึงได้รับจากวิณณ์เต็มเปี่ยม
“ไอ้เชี่ย!”
หลังจากฟังความจริงจากปากเพื่อนสนิท เอกชัยก็ด่าวิณณ์เสียงดังลั่น “มึงแกล้งคู่หมั้นตัวเองแบบนี้ได้ไง ไอ้ชั่ว!”
วิณณ์เอียงหน้าหลบละอองน้ำลายของเพื่อนที่ด่าเต็มปากเต็มคำและด่าอย่างออกรสออกชาติอีกหลายคำจนหนำใจ
“มึงเลวมากเลยไอ้วิณณ์ หลอกปั่นหัวน้องเขาซะหัวหมุน” ด่าเสร็จก็ตบบ่าเพื่อนแรงๆ
“สนุกจนได้เรื่องไหม สมน้ำหน้า น้องเขาขอถอนหมั้นแล้วยังตัดสัมพันธ์กับมึงแบบนั้น อีกคนรวย อีกคนหล่อ คนหนึ่งยอมรอ คนหนึ่งยอมให้คบซ้อน น้องก็ยังไม่ทำ โคตรเด็ดเลยว่ะ น่ารักอ่ะมึง อยากเห็นหน้าแล้วเนี่ย”
วิณณ์ถูกด่าจนหูชาไปข้างหนึ่ง เขาขมวดคิ้วเครียดแล้วเริ่มปรึกษาเอกชัยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คนนี้ไม่ใช่แค่คู่หมั้นที่แม่หาให้ แต่เป็นมากกว่านั้น เธอโคตรใช่เลยมึง กูควรทำยังไงดีวะ?”
เมื่อครู่ตอนอยู่หน้าร้าน ลูกค้าเยอะแยะ เวลาคุยกันค่อนข้างออกไปทางสุภาพ แต่พออยู่ในห้องส่วนบุคคล จะด่าจะคุยจะหยาบคายแค่ไหนก็ได้
“ไอ้ห่า! มึงได้เขาแล้วไม่ใช่หรือไง?”
“ไอ้เชี่ยนี่! มึงหมายความว่าไง? ได้แล้วก็ควรพอแค่นี้รึไง? กูไม่ได้คิดแค่หวังฟันเขา มึงเข้าใจมั้ย เขาคือคู่หมั้น คือว่าที่เมียกู เป็นลูกสะใภ้ของแม่กู”
เอกชัยถูกด่ากลับจนหน้าชา “เออว่ะ แล้วแม่มึงรู้ความชั่วของมึงมั้ยเนี่ย?”
“กูจะกล้าบอกแม่มั้ย? แม่ได้ฟาดกูไม่ยั้ง”
หลังจากกอดคอเพื่อนหัวเราะอย่างไม่มองสีหน้าเคร่งขรึมจนพออกพอใจ เอกชัยก็ช่วยคิดด้วยความหวังดี
“มึงควรบอกความจริงน้องว่ะเพื่อน”
“กูบอกแน่ แต่ตอนนี้ไม่กล้า”
เอกชัยเลิกคิ้ว “ไอ้เชี่ย! มีแววกลัวเมียแล้วมึง”
“น่ากลัวกว่าแม่อีกมึง”
เอกชัยหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง
หลังจากนั้นชายหนุ่มทั้งสองก็นั่งปรึกษาหารือกันอย่างเคร่งเครียดยิ่งกว่าเตรียมเสนอโปรเจ็กต์เพื่อเจรจาการค้ากับบริษัทยักษ์ใหญ่เสียอีก
เอกชัยจึงสรุปได้ว่าวิณณ์สมควรบอกความจริงกับฟ้าพราวโดยเร็วที่สุด แต่ต้องหาโอกาสสานสัมพันธ์อันดีกับเธอก่อน
เพราะถ้าหากจู่ๆ เดินดุ่มๆ ไปเปิดเผยความจริงสุ่มสี่สุ่มห้า นอกจากหัวแตกและไม่มีอะไรดีขึ้นมายังอาจจะพังพินาศไม่เป็นท่า
วิณณ์จึงสรุปได้ว่าที่คอนโดไม่สะดวกเพราะถูกเธอปฏิเสธอย่างโจ่งแจ้งทุกทาง เขาควรเข้าหาเธอถึงตึกเรียนคณะบัญชี เฝ้าเช้าเฝ้าเย็นตามติดทุกฝีก้าวไปเลย
ปฏิบัติการตามตื้อคู่หมั้นต่อหน้าสาธารณชนจึงเกิดขึ้นทันที