กรุงเทพมหานคร
“นั่นแกจะรีบไปไหนน่ะ ยัยแคท” สจีเอ่ยถามเมื่อเห็นลูกสาวหน้าตาลุกลี้ลุกลนเข้าบ้านมาอย่างรีบร้อนก่อนจะตรงไปยังชั้นสองของบ้านแล้วเก็บเสื้อผ้าใส่ในกระเป่าอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เมื่อวานลูกสาวออกไปกับหลานนอกไส้วันนี้กลับมาหน้าตาตื่นต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่ๆ
“หนูจะไปเที่ยวสักพักค่ะ ถ้ามีคนมาตามบอกว่าแคทไม่อยู่นะ” ศิยามลตอบมารดาทั้งๆที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาจัดกระเป๋าเดินทางต่ออย่างลวกๆ
กระเป๋าใบเขื่องถูกหญิงสาวปิดลงเมื่อทุกอย่างถูกจัดลงไปเรียบร้อยแล้วในเวลาไม่นาน ก่อนที่เธอจะลากมันออกไปจากห้องนอน
“อ้าว เดี๋ยวสิ ยังคุยไม่รู้เรื่องเลย”เสียงมารดาเรียกตามหลังมาแต่ใช่ว่า ศิยามลจะสนใจ ร่างอวบอึ๋มในชุดแสกชุดเดิมสาวเท้าด้วยความรวดเร็วไปโบกแท็กซี่ตรงหน้าบ้าน แล้วโดยสารรถออกไปโดยที่ไม่ได้หันมามองผู้เป็นแม่เลยแม้แต่น้อย
“จะรีบไปไหนของมันวะ ถามก็ไม่ยอมบอก แล้วนังหลานตัวดีมันหายหัวไปไหนอีกคนวะเนี่ย”หญิงม่ายวัยสะพรั่งยืนหงุดหงิดอยู่ตรงประตูบ้านชะเง้อมองไล่หลังแท็กซี่ไปอย่างไม่สบอารมณ์
ร่างบางระหงในชุดกางเกงยีนส์ที่ยามนี้เปื้อนคราบเลือดไปทั่วกำลังยืนกระสับกระส่ายอยู่หน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี ซึ่งภายในห้องทั้งหมอและพยาบาลต่างช่วยกันยื้อชีวิตของชานนท์และแพรผการวมถึงชีวิตน้อยๆในท้องอย่างเต็มที่
เวลาผ่านไปเนิ่นนานหลายชั่วโมง ตอนนี้ทั้งพ่อแม่ของชานนท์และนวลฉวีผู้เป็นน้าของแพรผกาเดินทางเข้ามาสมทบต่างก็รอฟังคำตอบจากปากหมออย่างใจจดใจจ่อ
มัฑนาทราบดีว่าพ่อแม่ของแพรผกาเสียไปตั้งแต่เธอยังเด็กเหลือแค่เธอกับพี่ชาย พอเรียนจบต่างก็แยกย้ายกันทำงานซึ่งแพรผกาเลือกที่จะบริหารงานในเมืองไทยและมีนวลฉวีผู้เป็นน้าคอยดูแลรักใคร่เสมือนเป็นลูกแท้ๆ ส่วนภัทรริน พี่ชายเลือกที่จะไปบริหารโรงแรมในเครือที่ประเทศอังกฤษบ้านเกิดของแม่นั่นเอง
อีกครึ่งชั่วไปโมงผ่านไปแพทย์ผู้ทำการรักษาทั้งสองคนก็ออกมาจากห้องผ่าตัดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ญาติของคุณแพรผกาใช่ไหมครับ” คุณหมอเอ่ยถาม
“ใช่ค่ะ ฉันเป็นน้า หลานสาวของดิฉันเป็นยังไงบ้างคะ”นวลฉวีกล่าวน้ำเสียงสั่นเครือพยายามอดกลั้นก้อนสะอื้นเอาไว้
“ตอนนี้คนไข้ยังอยู่ในขั้นโคม่านะครับ กระดูกซี่โครงแตกหลายจุด กะโหลกศีรษะแตกส่งผลให้เส้นเลือดตรงกระดูกสันหลังแตกไปด้วย ตอนนี้ต้องคอยรักษาอย่างใกล้ชิดและต้องรอให้ฟื้นซึ่งหมอเองก็ยังให้คำตอบไม่ได้เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับคนไข้ด้วยว่าเขาจะมีแรงสู้ไหวแค่ไหน ถ้าฟื้นขึ้นมาคนไข้อาจจะเดินไม่ได้หรือไม่ก็อาจจะเป็นเจ้าหญิงนิทราไปตลอดชีวิตครับ”คำตอบของหมอทำให้ทุกคนหน้าชาร้องโฮออกมาทันที
“แล้วเด็กในท้อง…”นวลฉวีถามต่อ
“หมอเสียใจด้วยนะครับหมอพยายามเต็มที่แล้ว. เด็กกับพ่อของเด็กหมอไม่สามารถยื้อไว้ได้…ขอตัวก่อนนะครับ”
สิ้นเสียงของหมอทุกคนต่างเขาอ่อนลงไปตามๆกันโดยเฉพาะผู้เป็นมารดาของชานนท์ถึงกับเป็นลมล้มพับไปทันที
มัฑนาเองก็รู้สึกไม่ต่างกันเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีเหมือนถูกดูดไปจนหมด ร่างบางลงไปนั่งร้องให้บนเก้าอี้อย่างหมดอาลัย ภาพวันเก่าของชานนท์มี่แสนดีกับเธอโผล่ขึ้นมาในหัวเป็นฉากๆยิ่งทำให้หญิงสาวรู้สึกผิดที่เป็นคนชักจูงให้ศิยามลมารู้จักกับชานนท์
หลังจากเสร็จเรื่องที่โรงพยาบาลพร้อมกับนำศพของชานนท์กลับมากรุงเทพในวันถัดมา มัฑนาจึงขอตัวแบกร่างอันไร้เรี่ยวแรงกลับมาบ้านอย่างเหนื่อยล้า
“นี่เป็นอะไรไปอีกล่ะ ทำหน้าเหมือนใครตาย”เป็นป้าที่กำลังแต่งองค์ทรงเครื่องเพื่อจะออกไปบ่อนเอ่ยทักหลานสาวนอกไส้…และดูเหมือนจะทักถูกเสียด้วย
“พี่แคทไปไหนคะ” มัฑนาไม่ตอบแต่กลับถามถึงอีกคนแทน
“ก็ออกไปด้วยกันเมื่อวานนี่ ยังไม่กลับมาเลย” สจีพูดโกหกหลานสาว
“เป็นไปไม่ได้ พี่แคทน่าจะกลับมาก่อนแล้ว” มัฑนาพยายามคาดคั้น ถึงอย่างไรศิยามลเองก็มีความผิดอย่างน้อยก็น่าจะไปขอขมาพ่อแม่ของชานนท์
“ก็ฉันไม่เห็นนี่ จะเซ้าซี้อะไรกันหนักหนาฮะ!”
เมื่อถูกผู้เป็นป้าตะคอกใส่หญิงสาวจึงเลี่ยงการสนทนาด้วยการวิ่งเข้าห้องนอนเพื่อรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะเธอต้องไปช่วยเตรียมงานศพของชานนท์ต่อ
งานศพชานนท์ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายแถวบ้านแถบชานเมืองซึ่งมีมัฑนาคอยช่วยงานอยู่ไม่ขาดท่ามกลางแขกเหรื่อที่มาร่วมงานด้วยความโศกเศร้า เพราะชานนท์เป็นคนดีและมีคนนับหน้าถือตามากพอสมควร ซึ่งพิธีเผาจะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ ญาติสนิทมิตรสหายก็ต่างมากันครบขาดอยู่แค่คนเดียว…คือ แพรผกา ที่ยังนอนไม่ได้สติเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่ที่โรงพยาบาล
หลังจากช่วยงานเสร็จมัฑนาจึงแยกตัวออกมานั่งเงียบๆ ตรงศาลาริมน้ำข้างวัด โดยที่มีสายตาคมกริบของใครคนหนึ่งซึ่งเพิ่งเดินทางมาถึงจับตามองอยู่ด้วยความโกรธแค้น
“เราเพิ่งเจอกันไม่นานเอง ทำไมพี่ต้องรีบไปด้วย พี่ยังไม่ได้เห็นหน้าลูกเลยพี่แพรก็รอพี่อยู่นะ”
หญิงสาวพูดพร้อมกับมองดูสายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างเหม่อลอยนัยน์ตาเศร้าหมอง น้ำตาไหลลงอาบแก้มอย่างห้ามไว้ไม่ได้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนเธอเองก็ยังทำใจไม่ได้ ชานนท์ยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยคนที่เขารักให้ปลอดภัยจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต
“ขอนั่งด้วยคนนะครับ”
“ได้ค่ะ” เสียงดังขึ้นข้างๆของคนแปลกหน้าทำให้มัฑนารีบเช็ดน้ำตาออกลวกๆก่อนจะเงยขึ้นเพื่อมองร่างสูงที่กำลังส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
ร่างสูงในชุทสูทสีดำเข้ม เจ้าของจมูกที่โด่งเป็นสันกับดวงตาคมกริบภายใต้คิ้วที่หนาได้รูป ใบหน้าคมเข้มที่มีไรเคราบางๆ ไหนจะทรงผมสีชานั่นอีกช่างตัดตัดกับผิวขาวของเขาเสียจนน่าหลงใหลบวกกับหุ่นที่สูงดูดีจนเหมือนนายแบบหลุดมาจากนิตยาสารทำให้หญิงสาวไม่อาจละสายตาลงได้เลย
“สวัสดีครับ คุณคือ...”ชายหนุ่มถอดแว่นตาออกแล้วเอ่ยถามหญิงสาวเสียงราบเรียบ
“อ้อ ฉันมัฑนา ค่ะ”หญิงสาวรีบเรียกสติกลับคืนมาให้เร็วที่สุดหลังจากที่หลุดลอยไปกับชายหนุ่มตรงหน้าอยู่นาน
“ผมภัทรริน พี่ชายของแพรผกา ยินดีที่รู้จักครับ” ชายหนุ่มร่างสูงกล่าวแนะนำตัวพร้อมกับยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร
“อ้อ คุณ….ไม่สิ ท่านประธาน สวัสดีค่ะ” ร่างบางตื่นเต้นดีใจทำตัวไม่ถูก เพราะเคยได้ยินแต่ชื่อแต่ไม่เคยได้เจอตัวจริงสักที ไม่คิดเลยว่าวันนี้เขาจะมา
“ไม่ต้องพิธีการขนาดนั้นหรอกครับ คุณทำงานที่โรงแรมผมด้วยเหรอ” ร่างสูงเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
“ใช่ค่ะ ดิฉันเป็นผู้ช่วยคุณชานนท์ค่ะ” มัฑนาตอบพลางชะเง้อมองไปทางด้านหลังชายหนุ่มที่มี ลูกน้องอีกสองคนอยู่ในชุดสูทสีดำเช่นเดียวกันยืนคุมเชิงอยู่ไม่ห่าง ดูท่าทางแล้วเขาคนนี้ไม่ธรรมดาแน่ๆ
“อ้องั้นเหรอครับ เห็นแพรเคยเล่าให้ฟังบ่อยๆ”
“ค่ะ…ว่าแต่ท่านประธานไปเยี่ยมคุณแพรแล้วเหรอคะ”
“ครับ พอดีผมเพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้เองครับ” สีหน้าชายหนุ่มดูเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัดเมื่อพูดถึงแพรผกาผู้เป็นน้องสาว ซึ่งเขาเองเคยได้รับความเจ็บปวดมาแล้วครั้งหนึ่งตอนพ่อแม่จากไปแต่วันนี้คนที่เขารักที่สุดในชีวิตอีกสองคนต้องมาจากเขาไปโดยที่ไม่มีวันกลับมาอีกครั้งทำให้เขาต้องบินกลับมาเมืองไทยก่อนกำหนดเร็วขึ้นหนึ่งสัปดาห์
“ดิฉันขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ”มัฑนาแสดงความเสียใจออกมาอย่างสุดซึ้งเธอเองก็เสียใจไม่ต่างกับเขา
“ขอบคุณครับ”ร่างสูงเผยอริมฝีปากยิ้มตอบ มัฑนาก็คาดเดาความหมายของรอยยิ้มของเขาไม่ได้ บางครั้งก็ดูจริงใจอย่างเป็นมิตรบางครั้งก็เหมือนการกระตุกรอยยิ้มอย่างเคียดแค้น
“ถ้ายังไง…ดิฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ” หญิงสาวก้มมองนาฬิกาข้อมือเห็นว่าเวลาล่วงเลยมาพอสมควรแล้วจึงได้เวลาลากลับเสียที อีกอย่างเธอรู้สึกกล้าๆกลัวๆที่จะสนทนากับร่างสูงตรงหน้าต่อจึงรีบตัดบททันที
“ผมไปส่งนะครับ”ชายหนุ่มอาสา
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันกลับเองได้” เป็นเพราะสถานะด้านการงานเธอจึงต้องเกรงใจผู้เป็นเจ้านายเบื้องหน้าอย่างมาก ถึงอย่างไรเธอก็เป็นแค่ลูกจ้างธรรมดาส่วนเขาเป็นถึงประธานและเจ้าของบริษัท
หญิงสาวรีบกล่าวลาอีกครั้งก่อนจะปลีกตัวออกมาอย่างรวดเร็ว เพราะเธอรู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ใกล้ภัทรรินหรือท่านประธาน เขาดูดีก็จริงอยู่แต่เหมือนรอบตัวเขามีแต่รังสีอำมหิตแผ่ออกมาจนเธอรู้สึกได้อย่างบอกไม่ถูก
“ตามไป”
เมื่อหญิงสาวเดินออกพ้นอาณาเขตวัด ภัทรรินจึงรีบเปิดประตูลีมูซีนหรูก่อนจะออกอำนาจสั่งลูกน้องทั้งสองให้ขับสะกดรอยตามมัฑนาไปโดยที่ไม่ให้เธอรู้ตัว
มัฑนากลับมาถึงบ้านในตอนค่ำได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย พร้อมกับเสียงแตกหักของข้าวของภายในบ้านซึ่งหน้าบ้านมีรถตู้สีดำจอดอยู่ของผู้มาเยือนและเป็นต้นเหตุของเสียงนั้น
“เสี่ย ฉันขอเวลาอีกเดือนนะ”
เพี๊ยะ!!
“โอ๊ย”
เสียงร้องอ้อนวอนของสจีตามมาด้วยเสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าอย่างจัง ทำให้ร่างบางระหงของหม้ายสาวล้มลงไปกองกับพื้นร้องให้ด้วยความเจ็บปวด
“อั๊วบอกลื้อแล้วใช่มั้ย ว่าครั้งนี้อั๊วจะให้ผลัดเป็นครั้งสุดท้าย” ชายสูงวัยอีกคนเอ่ยเสียงกร้าวใบหน้าดุดันด้วยความโมโหที่ลูกหนี้เบี้ยวมาหลายครั้งจนคราวนี้ตนต้องตามมาทวงเก็บเงินถึงบ้านด้วยตัวเอง
“นะเสี่ยนะ สงสารฉันเถอะ”สจียกมือไหว้ปลกๆเหนือหัวด้วยความหวาดกลัว
“ไม่ได้ ยังไงอั๊วก็ต้องได้เงินวันนี้” พูดจบเสี่ยเป้าซึงเป็นเจ้าของบ่อนการพนันที่สจีเข้าออกอยู่บ่อยครั้งก็คว้าเอาวัตถุสีดำขัดเงาแวววับบางอย่างออกมาจากด้านหลัง
มัฑนาเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเข้าไปห้ามไว้เพื่อไม่ให้เหตุการณ์บานปลายไปมากกว่านี้ โดยที่ลืมไปว่าตัวเองก็เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆแถมยังมือเปล่าอีกต่างหาก ถึงสจีจะไม่ได้รักเธอเหมือนหลานแท้ๆก็เถอะ แต่อย่างน้อยก็เป็นญาติผู้ใหญ่ที่มีพระคุณกับเธอ
“นั่งนี่มันเป็นใครวะ สวยซะด้วย” เสี่ยเ*******ูลดอาวุธไว้ที่เดิมก่อนจะถือวิสาสาเข้ามาหมายจะชื่นชมหญิงสาวใกล้ๆ ทำให้มัฑนาต้องถอยกรูดอย่างรวดเร็ว
“หลานสาวฉันเองจ่ะ เสี่ยถูกใจไหมคะ”เมื่อเห็นท่าทีของเสี่ยเป้า สจีจึงหาทางรอดของตัวเองทันที
“ป้า!!” มัฑนาหันมามองหน้าสจีด้วยความเสียใจพอเดาสถานการณ์ออกว่าผู้เป็นป้าต้องการอะไร
“สวยๆอย่างนี้ อั๊วชอบอยู่แล้ว”เสี่ยเป้าเอ่ยทั้งสายตาโลมเลียหญิงสาวอย่างคนบ้ากาม
“ถ้าเสี่ยชอบ ดิฉันยกให้ค่ะ”
“ไม่นะคะ ป้า!! ” หญิงสาวน้ำตาไหลนองหน้าไม่คิดว่าผู้เป็นป้าจะขายเธอให้กับเสี่ยโรคจิตคนนี้จริงๆ
“อั๊วตกลง เห้ยจัดการ” เสี่ยหัวงูหันไปสั่งลูกน้องให้มันจัดการล็อคตัวมัฑนาเอาไว้ไม่ให้หนี
“เท่าไหร่ ป้าเป็นหนี้แกอยู่เท่าไหร่”ร่างบางสั่นระริกทำใจดีสู้เสือ รีบพูดขึ้นเพื่อหาทางเอาตัวรอด
“สองล้าน แกมีปัญญามั้ยล่ะ”สจีที่ใบหน้าฟกช้ำกล่าวเสียงเกรี้ยวกราดที่ดูเหมือนว่าหลานสาวจะไม่ร่วมมือให้ตัวเองหาทางรอดคนเดียว
“ฉันขอเวลาสามวัน ฉันจะหามาคืนให้” เร็วกว่าความคิดหญิงสาวก็เอ่ยประโยคที่ไม่น่าจะเอ่ยออกมาจนได้
“แล้วอั๊วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าลื้อจะไม่เบี้ยว”
“ถ้าฉันเบี้ยวคนมีอิทธิพลอย่างเสี่ยต้องหาฉันเจออยู่แล้ว จริงไหมล่ะ”ปากรูปกระจับสีชมพูสั่นระริกเอ่ยท้าทาย พยายามซ่อนความกลัวไว้จนสุดฤทธิ์
“ก็ได้ อั๊วจะให้เวลาลื้อสามวัน ถ้าถึงเวลาลื้อหาเงินมาไม่ได้ ลื้อต้องไปเป็นเมียอั๊ว” เสี่ยเป้าพูดเองเออเองอยู่ฝ่ายเดียว
หญิงสาวกำมือแน่นพยามยามก้อนสะอื้นเอาไว้ไม่ให้ร้องไห้ออกมา ใครจะไปรู้ภายนอกที่แข็งแกร่งจะซ่อนภายในที่บอบช้ำและอ่อนแกอยู่เบื้องหลัง
=br=
พวกเสี่ยเป้ากลับไปแล้วเหลือแต่มัฑนากับสจีที่ยังคงนั่งเขาอ่อนอยู่หน้าบ้าน….
“แกจะไปหาเงินมาจากไหน เงินตั้งสองล้านนะโว้ย อย่าว่าแต่สามวัน สามปีก็ยังไม่มีปัญญา ทำไมแกไม่ยอมไปเป็ยเมียมันวะ สบายไปทั้งชาตินะโว้ย โง่จริงๆ” เสี่ยงร่ายยาวของสจีไม่ได้ทำให้มัฑนาหยุดร้องไห้ลงได้เลย เวลานี้ทุกอย่างมันดูมืดสนิทไปเสียทุกด้าน จริงอย่างที่ผู้เป็นป้าว่า…เธอจะหาเงินมาจากไหนภายในเวลาสามวัน
ร่างสูงนัยน์ตาคมเข้มที่สะกดรอยตามคนตัวเล็กมา กำลังมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่างภายในบ้านหลังนั้นอย่างไม่คลาดสายตา โดยที่หญิงสาวไม่รู้เลยว่าชายหนุ่มที่พูดคุยกับเธออย่างเป็นมิตรเมื่อตอนเย็นที่จริงแล้วเขาเป็นดั่งซาตานที่กลับมาพร้อมกับไฟแค้นสุมหัวใจเขาให้ลุกโชนพร้อมจะแผดเผาเธออยู่ทุกเวลา