บทนำ ชีวิตใหม่ในเมืองหลวง (1)
กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงที่ไม่มีวันหลับใหล…
ขณะนี้เป็นเวลากว่าสีทุ่มแล้ว แต่ผู้คนก็ยังคงขับรถขวักไขว่อยู่เต็มท้องถนนไม่มีที่ท่าว่าจะลดลงเลย ท้องฟ้ามืดสนิทไร้ซึ่งหมู่ดาวคงจะเหมือนกับชีวิตของ ‘มัฑ’ หรือ มัฑนา สาวน้อยที่ระหกระเหินจากบ้านต่างจังหวัดตัดสินใจเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงเพียงเพราะเหตุผลเดียวที่ใครหลายคนใฝ่ฝันนั่นคือ…หางานทำ!
รถแท็กซี่ที่โดยสารมาจากสถานีขนส่งกำลังแล่นไปบนถนนใหญ่ที่มีแสงไฟสีส้มคอยส่องสว่างอยู่ตลอดทาง ภายในรถเสียงดังด้วยเพลงประจำท้องถิ่นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยที่คนขับวัยสี่สิบเป็นคนเปิดพร้อมกับร้องคลอไปด้วยความสบายใจ
หญิงสาวทอดสายตาไปนอกหน้าต่างด้วยความเหม่อลอย โชคชะตาเล่นตลกอะไรกับเธอกันแน่ทั้งๆที่เธอเพิ่งจะเรียนจบมาได้ไม่นานคิดว่าจะหางานทำที่บ้านเพื่อจะได้ดูแลพ่อที่ป่วยไปด้วย แต่อยู่ๆไร่นาที่พ่อแม่อุตส่าห์ตรากตรำสร้างมาทั้งชีวิตต้องมาถูกยึดไปเพราะหนี้นอกระบบ การหันหน้าเข้าสู่เมืองหลวงจึงเป็นวิธีเดียวที่เธอสามารถหาเงินเผื่อไถ่ที่นากลับให้พ่อแม่ได้
“ถึงแล้วหนู” แท็กซี่วัยสูงอายุเอ่ยขึ้นเมื่อรถแล่นเข้ามาจอดตรงบ้านสองชั้นหลังเล็กๆ ที่ถูกสร้างไว้ตรงสุดซอย
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงราบเรียบก่อนจะส่งค่าโดยสารให้แล้วเก็บสำภาระรุงรังลงจากรถ
นี่มันยิ่งกว่าพจมานซะอีก หญิงสาวคิดในใจพลางทอดสายตาไปยังบ้านตรงหน้าซึ่งเธอจะต้องมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ตลอดระยะเวลาที่ทำงานในเมืองหลวงแห่งนี้
ร่างบางยืนถอนหายใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจกดออดเพื่อบอกให้คนในบ้านทราบว่าตนมาถึงแล้ว
เป็นเพราะรถที่เธอโดยสารมาจากต่างจังหวัดเกิดอุบัติเหตุจึงทำให้เวลาคลาดเคลื่อนไปพอสมควร
“ใครกัน มาดึกๆดื่นๆ” หญิงสูงวัยแต่ร่างยังคงบางระหงใบหน้ายังสวยเปล่งปลั่งเหมือนสาวแรกรุ่นเดินออกมาเปิดประตูรั้วพร้อมกับบ่นด้วยความไม่พอใจที่โดนปลุกมากลางดึก
“คุณป้า สวัสดีค่ะ” หญิงสาวร่างเล็กกล่าวทักทายผู้มีพระคุณในอนาคตเบื้องหน้าอย่างนอบน้อม เพราะสจีเป็นป้าสะใภ้และเป็นญาติผู้ใหญ่ที่มีบ้านอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ซึ่งเป็นที่พึ่งเดียวที่เธอจะหวังได้
“ทำไมมาถึงเอาป่านนี้”
“เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยค่ะ” มัฑนาตอบกลับอย่าเกรงๆเธอรู้ดีว่าผู้เป็นป้าของเธออารมณ์ร้ายมากแค่ไหน
“ไป ๆเข้าบ้าน” หญิงสูงวัยทำหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นักก่อนจะเดินนำหน้าเข้าไปในบ้านที่ยกสูงตระหง่านอยู่เบื้องหน้า นี่ถ้าไม่ติดว่าเธอรับปากน้องชายของสามีผู้ล่วงลับว่าจะรับมัฑนายู่ด้วยละก็เธอไม่มีวันเปิดประตูรับหลานนอกไส้คนนี้เข้ามาแน่ๆ
มัฑนา เดินตามเข้าไปอย่างเงียบๆ กวาดสายตาไปรอบๆบ้านที่เธอเคยมาอยู่เมื่อสมัยที่ยังมีลุงพี่ชายแท้ๆของพ่อยังอยู่ มันช่างแตกต่างกับตอนนี้มากเหลือเกิน บ้านหลังใหญ่แต่กับดูเงียบเหงาอึมครึมแปลกพิกล เฟอร์นิเจอร์ก็ดูบางตาข้าวของเครื่องใช้ที่ถูกตั้งโชว์ก็หายไปราวกับมันไม่เคยอยู่ตรงนั้นมาก่อน หญิงสาวรู้ดีว่าของเหล่านั้นหายไปไหนถ้าไม่ใช้ป้าสะใภ้ของเธอแอบเอาไปขายเพื่อเอาเงินไปเข้าบ่อนอยู่เป็นประจำ แต่เธอเลือกที่จะอยู่เงียบๆที่นี่อย่างผู้อาศัยไม่อยากรับรู้อะไรจะดีกว่า
“อ่ะ เธออยู่ห้องนี้ละกัน” สจีเปิดประตูห้องนำเข้าไปห้องหนึ่งติดกับบันไดทางขึ้นชั้นสองของบ้าน ภายในห้องดูทรุดโทรมมีแค่เตียงกับตู้เสื้อผ้าที่ฝุ่นเกาะหนาเตอะและห้องน้ำเท่านั้น
“ค่ะ” หญิงสาวผู้เป็นหลานตอบรับอย่างว่าง่ายก่อนที่ผู้เป็นป้าจะแยกตัวไปพักผ่อน
“เห้อ”มัฑนาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ที่ต้องหันมาจัดการทำความสะอาดที่นอนเสียใหม่แทนที่จะได้พักผ่อนเร็วๆ
เตียงเดี่ยวขนาดกะทัดรัดถูกร่างบางยกขึ้นพิงฝาผนังด้วยความยากลำบากก่อนที่มันจะถูกจัดการฝุ่นที่เกาะอยู่ออกจนหมดสิ้น หลังจากนั้นหญิงสาวจึงหันไปจัดการกับตู้เสื้อผ้าที่อยู่ข้างๆต่อ ก่อนจะรื้อเสื้อผ้าจากกระเป๋าเดินทางใบเก่าจัดเก็บไว้ด้านใน สุดท้ายจึงเข้าไปจัดการกับห้องน้ำที่ไร้ซึ่งคนดูแลมาเป็นแรมปี เพราะแต่ก่อนห้องนี้คือห้องของคนใช้ที่บ้านนั่นเอง นับตั้งแต่ผู้เป็นลุงเสียไปป้าสะใภ้จึงเอาแต่เข้าบ่อนเพื่อหวังรวยทางลัด แต่เหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเพราะตั้งแต่หันหน้าเข้าบ่อนก็มีแต่เสียกับเสียจนต้องขายทุกอย่างในบ้านที่พอจะขายได้ไปแลกเป็นเงินเพื่อไว้เข้าบ่อนในครั้งถัดไปหรือไม่ก็เอาไว้ขัดดอกเบี้ยของเงินที่ไปกู้เขามาเพื่อลงทุนในบ่อน จนสุดท้ายก็ไม่มีเงินที่จะจ้างแม่บ้านคอยทำความสะอาดบ้าน ซึ่งมัฑนาพอจะรู้แล้วว่าต่อไปหน้าที่นั้นเธอจะต้องเป็นคนทำ
ร่างบางทิ้งตัวลงบนเตียงหนานุ่มอย่างเหนื่อยล้าความคิดมากมายแล่นเข้ามาในหัว เธอจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่กับป้าที่ไม่ถูกชะตากับเธอได้จริงๆเหรอ ไหนจะ แคท พี่สาวลูกพี่ลูกน้องของเธออีกคนล่ะ
ผ้าม่านตรงหน้าต่างพัดปลิวไสวตามแรงลม ร่างบางหลับตาพริ้มด้วยความเหนื่อยล้าก่อนจะหลับไหลสู้ห่วงนิทราเพื่อเก็บแรงไว้สู้ในวันถัดไป