“ฉันจะกลับแล้ว”
“เจ้าค่ะ” แพงทำเสียงอ่อย ซึ่งดอกแก้วก็แอบฟังอยู่ที่ประตูห้อง หล่อนอมยิ้มอย่างขบขัน ในขณะที่เกื้อเดินหน้าบึ้งกลับเรือนไป
“เป็นกระไรรึ เหตุใดถึงได้เดินหน้าบึ้งตึงกลับมาเช่นนี้”
“เปล่าขอรับคุณแม่”
“ไปกินข้าวบ้านโน้นมาเป็นอย่างไรบ้าง” อุ่นเอ่ยถามลูกชายพลางยิ้มกว้าง
“ผมขอตัวก่อนนะขอรับคุณแม่ มีงานต้องทำน่ะขอรับ” เกื้อไม่ตอบมารดา ทำให้อุ่นถึงกับอ้าปากค้าง
“ลูกเราเป็นกระไรคะคุณพี่ ดูอารมณ์ไม่ดี”
“จะกระไรเสียอีกล่ะ ก็หลานสาวของแม่อินเขาไม่ชอบลูกเรา น้องก็ยังจะบังคับให้ลูกชายของเราไปออกเรือนด้วย นี่ถ้าเป็นแม่สายบัวก็ได้ออกเรือนกันไปแล้ว” ศักดิ์สนับสนุนหลานสาวของตัวเองเพราะของกำนัลมากมายที่ฝ่ายโน้นส่งมาให้ซื้อใจคนได้ไม่มากก็น้อย
“แต่น้องเคยสัญญากับแม่อินเอาไว้แล้ว พี่ศักดิ์เองก็ชอบแม่ดอกแก้วมิใช่หรือคะ”
“เมื่อก่อนน่ะใช่ แต่เล่นตัวเหลือเกิน ลูกเราอายุสามสิบกว่าแล้วหนาแม่อุ่น จะให้รอไปถึงไหนกัน” ศักดิ์พูดแล้วเดินหนีภรรยาไปอีกคน นั่นทำให้อุ่นหนักใจยิ่งนัก
กลับมาในเย็นนั้นเพียรกับอินก็ได้รู้เรื่องราวทั้งหมด ฟังดูแล้วก็หนักใจค่อนข้างมากเมื่อเห็นว่าเกื้อทำเช่นนั้น
“หลานเสียใจมากเจ้าค่ะคุณอา ดูสิเจ้าคะ หลานสู้อุตส่าห์ทำอาหารเลิศรส แต่พี่เกื้อกลับพูดจาทำร้ายจิตใจหลานถึงเพียงนี้ ต่อไปหลานทำกระไรไม่ถูกใจคงตำหนิให้อับอายบ่าวไพร่ในเรือน หลานจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะเจ้าคะ” ดอกแก้วแกล้งร้องไห้สะอึกสะอื้น พลางเอ่ยฟ้องคุณอาทั้งสอง
“จริงด้วยเจ้าค่ะ บ่าวเป็นพยานได้” แพงรีบเอ่ยสนับสนุน
“ความจริงพ่อเกื้อมิใช่คนเช่นนั้นเสียหน่อย เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นไปได้” อินไม่ค่อยอยากเชื่อแต่เมื่อเห็นหลานสาวกับบ่าวไพร่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเกื้อทำเช่นนั้น เลยทำให้อินเริ่มคล้อยตาม
“จะกระไรอีกล่ะเจ้าคะ ก็เดี๋ยวนี้พี่เกื้อผู้แสนดีของอาอินน่ะมีสาว ๆ มาชอบพอมากมาย ยิ่งแม่สายบัวนั้นยิ่งถึงเรือนเช้าเย็น พี่เกื้อคงเอนเอียงไปทางโน้น มีใจให้แม่สายบัวนั่นอย่างแน่นอน ดีไม่ดีจะรับแม่สายบัวมาเป็นเมียอีกคน หลานไม่ชอบไปเป็นเมียน้อยใครดอกเจ้าค่ะ”
“แต่อาเพิ่งพูดกับลุงศักดิ์กับป้าอุ่นเรื่องออกเรือนไปเมื่อวันมะรืน คิดว่าจักให้หลานออกเรือนเร็ว ๆ นี้ ทางโน้นเขาเร่งรัดมา แบบนี้จักทำอย่างไรกันเล่า” อินพูดอย่างเป็นกังวล
“หลานยังไม่พร้อมนี่เจ้าคะ ถ้าไม่มั่นใจหลานไม่ออกเรือนดอกเจ้าค่ะ” หล่อนไม่พร้อมจริงๆ ก็เห็นว่าสายบัวไปมาหาสู่เกื้อไม่ขาด แถมชายหนุ่มก็ยังมีไมตรีจิต ไม่ปฏิเสธอีกด้วย หล่อนจะมั่นใจได้อย่างไรว่าแต่งกันหม้อข้าวไม่ทันดำ เขาจะไม่มีเมียน้อยหรือรับผู้หญิงคนอื่นมาเป็นเมียอีกคน
พูดกันตามตรงเกื้อก็ไม่ได้เป็นผู้ชายขี้ริ้วขี้เหร่ แถมยังมีฐานะร่ำรวย ออกเรือนกันในคราแรกอาจจะไม่มีเมียเล็กเมียน้อยจริงก็ได้ แต่พออยู่กันไปนาน ๆ หล่อนจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาจะไม่มีกันเล่า เพราะศักดิ์ผู้เป็นบิดาของเกื้อก็ยังมีบ้านเล็กบ้านน้อยเลย ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้นอยู่แล้ว ไม่เหมือนกับอาเพียรกับบิดาของหล่อน ที่รักเดียวใจเดียวมีแค่เมียเดียว
มีเมียน้อยว่าร้ายแล้ว ยิ่งถ้าหลงเมียน้อยเข้าไปอีก หล่อนมิน้ำตาเช็ดหัวเข่ารึ ไม่รู้ละ หล่อนจักต้องมั่นใจเสียก่อนว่าเขาจักรักเดียวใจเดียวกับหล่อนไปตลอดชีวิต หล่อนถึงจักยอมออกเรือนด้วย
“ผู้หญิงล้อมหน้าล้อมหลังเหลือเกินเจ้าค่ะ หลานไม่อยากน้ำตาเช็ดหัวเข่าดอกนะเจ้าคะ” ประโยคนั้นกระแทกใจอินอย่างจัง เพราะในอดีตถึงแม้ว่าหล่อนจะมีลูกให้สามีไม่ได้ แต่ก็ไม่อยากให้สามีต้องมีเมียน้อย แต่ตอนนี้หายห่วงเพราะหล่อนมีทายาทเอาไว้สืบสกุลแล้ว ถึงดอกแก้วจักไม่ใช่ลูก แต่เมื่อรับมาเป็นลูกแล้ว ก็จักแบ่งทรัพย์สมบัติให้เท่ากับเทพซึ่งเป็นลูกแท้ ๆ เพราะหล่อนถือว่าดอกแก้วคือลูกอีกคน และการที่จะให้ดอกแก้วออกเรือนไป ก็ต้องให้มีความสุข ได้อยู่กินกับผู้ชายดี ๆ ถึงจะเบาใจได้ หล่อนกับสามีตระหนักในเรื่องนี้เป็นสำคัญ และคิดว่าเกื้อก็เป็นคนดีใช้ได้
“ถึงจะมีสาว ๆ มาชอบแต่พ่อเกื้อก็มิได้สนใจหญิงใด อาเห็นพ่อเกื้อมาแต่เล็กแต่น้อย พ่อเกื้อมิมีกระไรเสื่อมเสียเลยนะแม่ดอกแก้ว”
“ถ้าหลานทำให้คุณอาเห็นได้ว่าพี่เกื้อไม่ดีจริง คุณอาจะยกเลิกงานแต่งให้หลานหรือไม่เจ้าคะ”
“ได้ ถ้าหลานหาข้อเสียมากๆ ของพ่อเกื้อเจอ อาจะเป็นคนบากหน้าไปบอกเขาเองว่าเขาไม่คู่ควรกับหลาน ดีหรือไม่” อินเองก็พูดคำไหนคำนั้นเหมือนกัน นั่นทำให้ดอกแก้วพึงพอใจไม่น้อย
“แต่ถ้าพ่อเกื้อไม่มีข้อเสียอันใด หลานจักต้องออกเรือนกับพ่อเกื้อโดยไม่มีข้อแม้อีก”
“หลานรับปากเจ้าค่ะ”
“คุณพี่เพียรว่าอย่างไรเจ้าคะ เรื่องข้อเสียของพ่อเกื้อ” เมื่ออยู่กันสองคน อินก็เอ่ยถามสามี
“พี่ไม่อยากบังคับหลาน แต่ก็ไม่เห็นข้อเสียของพ่อเกื้อเลยสักน้อย แต่เอาเถิดพี่เข้าใจหลาน แม่ดอกแก้วมิอยากออกเรือน ไปบังคับก็มีแต่จะทำให้ยิ่งแย่ เราเลี้ยงหลานมาด้วยความรักไม่เคยบังคับเลยสักครั้ง ถ้าเขาสองคนเป็นคู่กันจริง อย่างไรเสียก็จักได้ร่วมหอกันอย่างแน่นอน”