“ฉันก็ไม่ขัดดอกหนา ถ้าเด็กมันรักใคร่ชอบพอกัน แต่แม่ดอกแก้วอายุเพิ่งจะสิบกว่าขวบ ให้ฝั่งโน่นเขารออีกสักหน่อยไม่ดีกว่าหรือ แต่ยังมิต้องไปรับหมั้นเขาดอก ให้เหตุผลไปตามนี้ แลแม่ดอกแก้วก็มิใช่ลูกแท้ ๆ ของแม่อิน เหตุผลเช่นนี้คงทำให้เขาไม่มาเร่งรัดกระไรอีก”
“อิฉันกับคุณพี่เพียรก็คิดเช่นนั้นเจ้าค่ะ แต่พ่อแม่ฝ่ายชายเขาก็รักและเอ็นดูแม่ดอกแก้วเหลือเกิน มาถามไถ่อยู่เนือง ๆ ว่าจะให้หมั้นจองตัวกันก่อนจะได้ไหม อิฉันก็แบ่งรับแบ่งสู้ ผัดผ่อนเวลาไปเรื่อย ๆ เพราะไม่อยากบังคับหลานน่ะเจ้าค่ะ แต่ในครั้งกระโน้นก็ได้รับปากกันเอาไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะ สัจจะวาจาถือว่าสำคัญ อิฉันกับคุณพี่เพียรจึงมิอยากผิดคำพูดน่ะเจ้าค่ะ”
“ฉันเข้าใจที่แม่อินพูดทุกประการ แต่ฉันยึดถ้อยคำที่ว่าปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ปลูกอู่ตามใจผู้นอน ถ้าเขารอได้แลมีใจรักแม่ดอกแก้วจริง เมื่อแม่ดอกแก้วเจริญวัยขึ้นพร้อมจะออกเรือน ค่อยมาเจรจากันอีกคราก็ยังมิสายมิใช่หรือ” โมกข์ให้เหตุผลที่ทำให้สองสามีภรรยามีทางออกกับปัญหานี้เช่นกัน
“เจ้าค่ะ” อินรับคำ
“คุณหญิงแม่เจ้าขา ไปอยู่ทางใต้กับคุณอาลูกพูดได้ตั้งหลายภาษาแน่ะเจ้าค่ะ” ดอกแก้วที่เดินเข้ามาหาผู้ใหญ่ ตรงเข้าไปกอดมารดาด้วยความคิดถึง ก่อนจะคุยจ้อว่าอยู่ทางโน้น นอกจากเรียนหนังสือหนังหาแล้ว ได้ทำอันใดบ้าง ก็เหมือนเล่ามาในจดหมายนั่นแหละ
“แม่ดอกแก้วดูคล้ำไปมากเลยนะลูก”
“สงสัยจะซนเหมือนลิง” โมกข์พูดขึ้น เพราะรู้นิสัยบุตรสาวดี
“ทางใต้อากาศร้อน แดดแรงเหลือเกินเจ้าค่ะ อีกทั้งดอกแก้วยังชอบไปเที่ยวทะเลอีกด้วย ก็เลยดูคล้ำไปนิด” อินตอบด้วยความเอ็นดู
“ลูกไปเที่ยวทะเลจับกุ้งหอยปูปลาได้เยอะเชียวเจ้าค่ะ อาเพียรกับอาอินมีเรือหาปลาของตัวเองด้วยนะเจ้าคะ”
“ดูสิคะคุณพี่ น้องนึกว่าแม่ดอกแก้วเป็นเด็กผู้ชายเสียอีก” เพ็ญหันไปเจรจากับสามี หลังจากดอกแก้วย้ายไปอยู่ทางใต้ได้ไม่กี่เดือนหล่อนก็ตั้งครรภ์ ก่อนจะคลอดลูกชายออกมา จึงตั้งชื่อว่ายศ
ยศเป็นที่รักของบิดาและมารดาเป็นอันมาก อาจเพราะเป็นลูกชายคนแรกและคนเดียว เพราะก่อนหน้านั้นมีแต่ลูกสาว ส่วนดอกรักนั้นได้เข้าไปเรียนวิชาการบ้านการเรือนในรั้วในวังกับผู้เป็นป้าซึ่งเอาไปอยู่แต่เล็ก นาน ๆ จะกลับมาเยี่ยมบ้านสักครั้ง และหากตรงกับวันหยุด โมกข์ก็จักพาครอบครัวไปหัวหินเพื่อเยี่ยมเยียนน้องชายและน้องสะใภ้ พลางแวะไปดูลูกสาวคนเล็กด้วย
“พี่ดอกรักไปเรียนการบ้านการเรือนในรั้วในวังมิเบื่อแย่หรือเจ้าคะ แค่คิดว่าต้องนั่งร้อยมาลัยแลแกะสลักผักผลไม้ อีกทั้งยังต้องนั่งเย็บปักถักร้อยทั้งวัน น้องก็รู้สึกเบื่อหน่าย ถ้าให้ไปทำเช่นนั้นน้องคงอกแตกตายเป็นแน่เจ้าค่ะ”
“เราน่ะเป็นหญิง การเย็บปักถักร้อย ทำกับข้าวกับปลาแล ร้อยมาลัย แกะสลักเป็นเรื่องของธรรมดานะจ๊ะ” พี่สาวตอบด้วยรอยยิ้ม เมื่อมานั่งสนทนากับน้องสาวให้หายคิดถึง
“น้องไม่ชอบกฎระเบียบอยู่ในรั้วในวัง แลมิได้ไปไหนเลย เอาแต่นั่งหลังขดหลังแข็งแบบนั้นน้องไม่เอาดอกเจ้าค่ะ น้องอยากไปท่องเที่ยว ได้พบเจอผู้คนมากมาย แลที่สำคัญได้เรียนรู้ภาษา ได้ลิ้มรสอาหารแปลก ๆ ที่ไม่เคยกินมาก่อน คุณอาทั้งสองพาน้องไปค้าขายทางใต้ เลยจากสงขลาลงไปยังปัตตานี ยะลา นราธิวาส คนทางโน้นพูดภาษามลายู แลน้องได้เรียนภาษาพวกนั้นด้วย เป็นภาษาท้องถิ่น ทางใต้มีสมุนไพรเครื่องเทศที่นำมาประกอบอาหารรสชาติเผ็ดร้อนถูกปากนักแล คุณอาพาไปเที่ยวปีนังเสียก็หลายครั้ง” ดอกแก้วเล่าอย่างเพลิดเพลิน ทำให้ดอกรักพลอยยิ้มตามน้องสาวไปด้วย
“ดีจริง คุณอาดูรักน้องเหมือนลูกในไส้”
“น้องก็รักคุณอาเจ้าค่ะพี่ดอกรัก แลคิดถึงเจ้าคุณพ่อกับคุณหญิงแม่กับพี่ดอกรักเป็นที่สุดเจ้าค่ะ”
“ปากหวานเสียจริงน้องสาวของพี่”
“หากพี่ดอกรักมีปัญหาหรือเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอันใดน้องจะมาหาในทันที จำเอาไว้นะเจ้าคะ” ดอกแก้วกุมมือพี่สาวเอาไว้แน่น พลางให้คำมั่นสัญญาว่าจะช่วยเหลือพี่สาวทุกอย่าง
“พี่มิมีเรื่องเดือดร้อนอันใดดอกหนา วันๆ ก็เอาแต่ทำงานรับใช้เสด็จ น้องเองก็เหมือนกันหากมีกระไรให้พี่ช่วยก็ให้รีบแจ้งพี่มาได้เลย” ประโยคของพี่สาวฟังดูอบอุ่นหัวใจยิ่งนัก
“น้องไม่มีกระไรให้พี่ดอกรักช่วยดอกเจ้าค่ะ น้องเอาตัวรอดได้” ประโยคนั้นทำให้ดอกรักยิ้มกว้าง
“เห็นคุณอาบอกเจ้าคุณพ่อกับคุณหญิงแม่ว่าจักให้น้องหมั้นหมายกับญาติของอาอินรึ”
“โหย...” ดอกแก้วร้องครางออกมาในทันที
“น้องเป็นอันใดรึ” เห็นสีหน้าของน้องสาวก็ทำให้ดอกรักนึกห่วงใยไม่น้อย
“ก็อีตาพี่เกื้อน่ะสิเจ้าคะ ขี้เก๊กจะตายไป น้องไม่ชอบขี้หน้าเอาเสียเลย คอยดูเถิดเจ้าค่ะพี่ดอกรัก หากคุณอาทั้งสองบังคับให้ต้องออกเรือนไปกับพี่เกื้อ น้องจักหนีไปให้ไกลเลย”
“เขาเป็นคนไม่ดีรึ” ดอกรักนึกห่วงใยน้องสาวจึงเอ่ยถาม