เกื้อกลับไปแล้ว เพียรกับอินจึงรั้งหลานสาวเอาไว้ก่อน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะหนี
“จะไปไหนแม่ตัวดี” อินพูดแล้วค้อนหลานสาวเสียหนึ่งที ท่าทีของอินทำให้ดอกแก้วเข้าไปบีบนวดเอาใจผู้เป็นอาอีกครา
“ไม่ต้องมาบีบนวดเอาใจอาเลย ถ้าเราตกลงมาแข้งขาหักจะทำอย่างไร เราเคยคิดถึงเรื่องนี้บ้างหรือไม่”
“หลานขอโทษเจ้าค่ะ”
“นังแพง เอ็งดูแลหลานข้าอย่างไร ถึงปล่อยให้ปีนป่ายต้นมะม่วงเช่นนี้ ถ้าหลานข้าเป็นอันใดไป เอ็งจักรับผิดชอบไหวหรือไม่ ข้าอยากจักเฆี่ยนเอ็งให้หลังลายนัก”
“คุณอาอย่าดุพี่แพงเลยหนา หลานผิดเองที่ดื้อ ปีนป่ายขึ้นไปเก็บมะม่วงเสียเอง พี่แพงห้ามแล้วก็ไม่ฟังเจ้าค่ะ”
“หลานต้องระมัดระวังตัวเอง รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี ถ้าหลานเป็นอันใดไป อากับอาเพียรจะมีหน้าไปบอกพ่อกับแม่หลานว่าอย่างไรเล่า อีกอย่างเราน่ะเป็นหญิงหนาแม่ดอกแก้วอย่าลืมตระหนักข้อนี้ให้จงดี ไปปีนป่ายต้นไม้แบบนั้นมันมิงาม ใครเห็นเข้าได้เอาไปนินทาว่าหลานสาวบ้านนี้มิมีความเป็นกุลสตรีเลยหนา ต่อไปจักมิมีชายใดขอไปเป็นเมียตบเมียแต่ง” อินดุแต่ก็เต็มไปด้วยความห่วงใย ทำให้ดอกแก้วสำนึกผิดอยู่ไม่น้อย
“หลานขอโทษเจ้าค่ะ ต่อไปจักระวังให้มากกว่านี้”
“ไม่ใช่จักระวังให้มากกว่านี้ แต่ห้ามปีนต้นไม้อีกเด็ดขาด ถือว่าอาขอ แม่ดอกแก้วให้อาได้หรือไม่” อินยื่นคำขาด ไม่อยากให้หลานสาวตกต้นไม้แข้งขาหัก ดีไม่ดีเกิดตายขึ้นมาจะมีหน้าไปบอกพ่อแม่ของดอกแก้วว่าอย่างไรกัน ขอลูกเขามาเลี้ยงบอกว่าจักดูแลให้ดี แต่กลับทำไม่ได้
“รับปากก็ได้เจ้าค่ะ”
“นี่ต้องขอบใจพ่อเกื้อเขานะเจ้าคะคุณพี่ ถ้าพ่อเกื้อไม่รับแม่ดอกแก้วเอาไว้ มีหวังตกลงมาแข้งขาหักเป็นแน่”
“พี่เกื้อนี่เขาเป็นลูกของคุณลุงศักดิ์กับคุณป้าอุ่นจริงๆ หรือเจ้าคะ” ดอกแก้วเอ่ยถาม
“จริงซิ ทำไมรึ”
“ก็คุณลุงศักดิ์กับคุณป้าอุ่นน่ะดูใจดี แต่อีตาพี่เกื้อนี่หน้าตาดุ๊ดุ ตีหน้าอย่างกับยักษ์แน่ะเจ้าค่ะ”
“ตายแล้วไปว่าพี่เขาแบบนั้นได้อย่างไรกัน น่าหยิกเสียให้เนื้อเขียวนัก” อินยกมือขึ้นทาบอก
“ก็จริงนี่เจ้าค่ะ”
“จริง ๆ น่ะ พี่เกื้อเขาเป็นคู่หมั้นของเรานะ” อินบอกหลานสาว
“คู่หมั้นหรือเจ้าคะ หลานไปหมั้นกับเขาตอนไหนหรือเจ้าคะ ทำไมหลานไม่เห็นรู้เลย” ดอกแก้วทำหน้าเหลอหลา
“คืออาเพียรกับอาเคยสัญญากับลุงศักดิ์และป้าอุ่นเอาไว้ว่าถ้ามีลูกจะให้หมั้นหมายกันน่ะจ้ะ”
“หลานมิใช่ลูกของคุณอานี่เจ้าคะ จะหมั้นกับพี่เกื้อได้อย่างไรกัน”
“แต่อาทั้งสองเอาดอกแก้วมาเลี้ยงเป็นลูก ก็เท่ากับเป็นลูก ดอกแก้วเลยต้องหมั้นกับพี่เขานะจ๊ะ”
“อาอินอาจจะมีลูกก็ได้นะเจ้าคะ รอน้องมาเกิดก่อนดีไหมเจ้าคะ”
“อาคงไม่มีลูกแล้วละ อยู่กินกันมาสิบกว่าปียังไม่มีวี่แววว่าจะมีเลย แต่ถึงมีจริงอายุก็ห่างกันมากจนเกินไป ออกเรือนกันไปมันจะไม่เหมาะ” อินพูดอย่างหมดหวัง
“หลานขอคิดแลตัดสินใจก่อนได้หรือไม่เจ้าคะคุณอา ให้หลานโตกว่านี้เสียก่อน ในเพลานั้นพี่เกื้ออาจจะชอบพอกับหญิงอื่น แลหลานเองก็อาจจะมีคู่รักที่ชอบพอกันอยู่ไม่ต่างจากพี่เกื้อ เช่นนี้คุณอาว่าดีหรือไม่เจ้าคะ จักได้ไม่เป็นการหักหาญน้ำใจแลบังคับใจกันด้วยหนา” เหตุผลของหลานสาวทำให้คนทั้งสองมิมีสิ่งใดมาแย้งอีก
หลังจากนั้นไม่นานอินก็ตั้งครรภ์ แต่ปรากฏว่าคลอดออกมาเป็นลูกชาย การหมั้นหมายที่ผู้ใหญ่คุยกันเอาไว้ ศักดิ์กับอุ่นก็ยังรอฟังคำตอบว่าเพียรกับอินจักว่ากระไร เพียรกับอินเองก็ไม่ได้บังคับหลานโดยให้เหตุผลไปว่าดอกแก้วยังเล็กนัก เอาไว้ถึงเพลาค่อยเจรจากันอีกคราก็ยังไม่สาย
เพียรกับอินพาหลานไปเยี่ยมบิดามารดา พร้อมทั้งแจ้งเรื่องนี้ให้ทราบ แต่ดอกแก้วยังเด็ก ผู้ใหญ่จึงยังมิได้เร่งรัด อีกหลายปีกว่าจะอายุสิบแปด แลหากในเพลานั้นมีชายอื่นที่เหมาะสมคู่ควรแลดอกแก้วตกลงปลงใจด้วย ก็จะได้มิผิดคำกับครอบครัวของเกื้อว่าหมั้นหมายกันเอาไว้แล้ว เหตุใดยังไปรับหมั้นชายอื่น
ดอกแก้วที่ได้พบบิดามารดาก็โผเข้ากอดทั้งสองอย่างแสนดีใจ ด้วยว่าอินมีลูกเล็ก จึงมิใคร่จะพาดอกแก้วเดินทางมาเยี่ยมโมกข์กับเพ็ญเหมือนเช่นเคย อาศัยเขียนจดหมายโต้ตอบกันเสียมากกว่า พอได้เจอหน้ากันจึงทำให้คิดถึงเป็นอันมาก
“เรื่องหมั้นหมายน้องคงต้องบอกกันก่อนน่ะเจ้าค่ะ น้องไม่มีลูกผู้หญิง มีพ่อเทพก็เป็นลูกชายอีก ฝั่งโน้นเขาก็เรียนจบแล้ว อายุอานามก็มากขึ้นทุกวัน กว่าแม่ดอกแก้วจะโตเป็นสาวเขาก็มีความเป็นผู้ใหญ่พอสมควรแก่วัยจะออกเรือนได้แล้ว ฐานะเขาก็มั่นคง แถมยังเป็นลูกชายคนเดียวเสียอีก แม่ของเขาเป็นญาติกับน้องนี่แหละเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าท่านพี่ทั้งสองจะว่ากระไรเรื่องหมั้นหมายในครั้งนี้”