ตอนที่ 15

2623 คำ
รสสุคนธ์เอ่ยชวนแพรพรรณอยู่นอนคุยเล่นด้วยกันสามคน แต่ถูกปฏิเสธ จึงมีเพียงใจเดียวที่นอนอยู่ข้างๆ นอกจากเรื่องทั่วไปที่พูดคุยกัน ก็มีเรื่องของปรายฝนซึ่งเป็นประเด็นใหญ่ทีเดียว “แพรพาสาวมายั่วเดียว รู้ตัวหรือเปล่าจ๊ะ” รสสุคนธ์พูดขึ้น “รสก็คิดไปเรื่อย” “รสคิดไม่เท่าไร นังหนูปรายคิดล่ะจะมีปัญหา” “นี่ก็ชอบพูดให้ใจไม่ดี” ใจเดียวพูดดุ “รสดีใจมากเลยที่รู้ว่าเดียวรู้สึกดีกับนังหนูปราย รอมานานมากเสียจนคิดว่า เพื่อนต้องอยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวเอกาเสียแล้ว” “ความรู้สึกมาเร็วจนเดียวเองยังแปลกใจ อยู่ๆ ก็หวงเขาขึ้นมา” “ไม่คิดหรือว่าเด็กเกินไป” รสสุคนธ์ถามด้วยความเป็นห่วง “เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่คนรอบตัวเขาน่ะสิ” ใจเดียวพูดขึ้น “ก็จริง แต่รสเชื่อว่า ถ้ารักกันมากพอคงช่วยกันหาทางที่จะใช้ชีวิตด้วยกันจนได้นั่นแหละ เนอะ นอนล่ะชักง่วง” รสสุคนธ์บอก ใจเดียวมานึกถึงบิดาของปรายฝนที่เคยโทรศัพท์มาและท่าทางคงอยากจะให้ลูกสาวกลับไปทำงานในกรุงเทพฯ หรือมีเรื่องอะไรที่เป็นปัญหาที่ทำให้ปรายฝนตัดสินใจมาทำงานเสียไกลขนาดนี้ ใจเดียว ดูประวัติมาบ้าง แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่สามารถรู้ได้ แต่เท่าที่ทราบ ปรายฝนอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวยบิดาเป็นนักธุรกิจ ตอนเห็นใบสมัคร ที่ส่งมาเกือบจะคัดแยกออก แต่ที่เลือกมาเป็นผู้ช่วย เพราะคิดว่าอาจทำให้ความเป็นลูกคุณหนูเปลี่ยนแปลงไปจนเป็นผู้ใหญ่ที่ดีคนหนึ่งได้ จันจิราเปิดคอมพิวเตอร์นั่งทำงานอยู่ที่ห้องรับแขก ซึ่งหากมีใครจะขึ้นไปชั้นบนต้องเดินผ่านตัวเองไป คนเป็นลูกสาวนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทำงานอย่างเอาจริงเอาจัง หลังจากไตรให้ต้นแบบงานเกี่ยวกับไร่เพื่อเอามาดูและปรับใช้กับไร่ของตัวเอง โดยจันจิรานำมาเปรียบเทียบและปรับเปลี่ยนให้ดูเหมาะสม “คุณจันจะเอาอะไรอีกไหมคะ” ทิวารีถาม “ไม่ล่ะ ไปนอนเถอะ แต่จะขึ้นไปข้างบนหรือเปล่า” “คุณจันอยากถามอะไรทิ หรือเปล่าคะ” “ไม่รู้เธอคิดอย่างไรกับแม่ของจัน แม่ไม่เคยรักใครจริงหรอกนะ” “ทิไม่รู้เหมือนกันค่ะ ว่าจะเป็นอย่างไร แต่ทิอยู่กับแม่นายแพรแล้วมีความสุข หากคุณจันไม่ชอบ ทิจะพยายามเลี่ยงค่ะ แต่คุณ จันคงต้องช่วยด้วย” ทิวารีไม่รู้ว่า จันจิราคิดอย่างไร “จันไม่ได้ห่วงแม่ กลัวเธอนั่นแหละจะเสียใจเกิดไปชอบแม่เข้าน่ะ” “ขอบคุณค่ะ คุณจัน” ทิวารีบอก จันจิราเงยหน้าไปเห็นมารดามองมาจากชั้นบนเลยยิ้มๆ ชวนทิวารีพูดคุยเรื่องงาน หากไม่ได้คิดเรื่องเงินทองหรือความมั่งมี คนเราจะพูดคุยและทำงานกันได้ง่ายขึ้น ไตรสอนไม่ให้พูด จาไม่ดีกับใคร โดยเฉพาะคนที่ทำงานให้เพราะใครๆ ก็อยากได้ยินการพูดจาด้วยดีๆ ทั้งนั้น จันจิราคิดตามและเริ่มนำมาใช้ โดยเริ่มด้วยการพูดคุยดีๆ กับทิวารีที่แสดงท่าทางอ่อนน้อมให้เห็น จันจิรายิ้มน้อยๆ เพราะเชื่อว่าทิวารีคงช่วยงานได้ดีทีเดียว ถึงแม้เพิ่งได้พูดคุยกันก็ตาม “ดูสิ จะลงมาตามไหม” จันจิราพูดยิ้มๆ ทิวารียิ้มน้อยๆ ปรายฝนกับแม่นายใจเดียวยืนมองดูคนงานที่กำลังตัดต้นไม้บริเวณที่ติดกับไร่ของแพรพรรณ โดยทิวารีกับจันจิรายืนดูอยู่อีกฟากหนึ่ง ไตรจัดการงานได้ดีเสมอและกำลังพูดคุยอยู่กับสองสาวอยู่ที่ไร่โน้น “เป็นทองแผ่นเดียวกันล่ะ ทีนี้” น้ำเสียงแปร่งๆ ของปรายฝนทำให้คนที่ได้ยินแอบยิ้มแต่ทำเป็นเฉย “ฉันไม่มีทอง” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น “ปรายมีใจ” ปรายฝนพูดแล้วหยุดยืนมองดูแม่นายใจเดียวที่เดินนำ หน้าไปและเมื่อครู่หันมามองสบตาด้วย “แล้วยังไงจ๊ะ” แม่นายใจเดียวถาม “ก็ไม่มีบ้านใหญ่โต ไร่กว้างขวางเหมือนใครเขาไงล่ะคะ” “ถ้าเอาชีวิตตัวเองไปเปรียบเทียบกับใครเขา เธอจะไม่มีความสุขเอานะ” แม่นายใจเดียวยิ้มจางๆ เมื่อนึกถึงตอนตรวจสอบ ข้อมูลเกี่ยวกับตัวของผู้ช่วยคนใหม่ ซึ่งทำให้อดแปลกใจไม่ได้ว่า ในเมื่อครอบครัวมีฐานะทำไมถึงเลือกมาใช้ชีวิตอยู่ที่ไร่แห่งนี้ “อดไม่ได้ เพราะปรายเกิดช้ากว่าตั้งเยอะนี่นา ตอนแม่นายเป็นสาวปรายน่าจะเพิ่งเกิดเองมั้ง” ปรายฝนบ่นกระปอดกระแปด “ฉันไม่ชอบเด็กงอแง ไปทำงานต่อกันได้แล้ว” แม่นายใจเดียวบอก “โห เขาเรียกอ้อนไหม ไม่ใช่งอแงสักหน่อย” ปรายฝนบ่นพึมพำมองตามแม่นายใจเดียวที่เดินดุ่ยๆ ไปบริเวณสวนมะม่วงที่อยู่ใกล้ๆ ปรายฝนมองดูผลมะม่วงที่สุกเหลืองอร่าม ซึ่งได้ยินแม่นายใจเดียวบอกว่าเป็นมะม่วงอกร่องที่ไตรสามารถทำให้ผลใหญ่ขึ้น ปรายฝนยิ้มๆ เมื่อคนงานนำมีดสำหรับปอกผลไม้มายื่นให้ จึงเดินไปเด็ดผลสุกแล้วนำมาปอกเปลือกหันแบ่งเป็นชิ้นให้แม่นายใจเดียวได้ชิมด้วย “อร่อยดีเหมือนกัน” แม่นายใจเดียวบอก “คงได้ราคาดีนะคะ ลูกใหญ่กว่าปกติ” ปรายฝนถาม “เป็นพันธุ์ใหม่ เพิ่งติดผลครั้งแรก” แม่นายใจเดียวมองดูคนที่ยื่นชิ้นมะม่วงสุกมาใกล้ๆ ปาก “แค่อ้าปากไม่ลำบากอะไรสักหน่อย” ปรายฝนยิ้มๆ “ฉันจะเคยตัวเอา” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น “ปรายไม่ได้ป้อนตลอดสักหน่อยค่ะ ปากเลอะแล้ว” ปรายฝนยิ้ม “ตรงไหน” แม่นายใจเดียวถาม แต่เมื่อจุมพิตของปรายฝนทาบทับมาที่ริมฝีปากจึงตอบรับสัมผัสนั้นอย่างอ่อนหวาน น่าจะหวานกว่ามะม่วงสุกเมื่อสักครู่เสียอีก “ปรายเช็ดให้แล้ว” ปรายฝนยิ้มรู้สึกเขินอายกับความใกล้ชิดที่ถึงแม้จะเคยได้จุมพิตกันมาก่อน แต่ริมฝีปากนุ่มๆ นั้นทำให้รู้สึก ร่างกายร้อนวูบวาบได้ทุกครั้ง “เคยเช็ดปากแบบนี้ให้คนอื่นมาก่อนหรือเปล่า” “ทำมาหลอกถาม ไม่หลวมตัวเล่าหรอกค่ะ” ปรายฝนยิ้มๆ “ไม่ตอบแสดงว่าเคย ไปล้างมือที่บ่อน้ำโน่นจะได้รีบไปที่อื่น” “ไม่เคยสักหน่อย ถ้าปรายถามเรื่องแม่นายแพรพรรณบ้าง แม่นายจะเล่าให้ปรายฟังไหม” ปรายฝนถามไปตามตรง “ฉันไม่มีความลับอะไร สงสัยแก่เกินจะมีเรื่องปิดบังมากกว่า” “เหรอ งั้นชอบปรายบ้างหรือเปล่าน้อ” ปรายฝนแกล้งลากเสียงยาว “ตอบไปแล้ว ไม่ได้พูด แต่เชื่อว่าปรายรู้สึกได้” แม่นายใจเดียวส่ายหน้ากับความช่างพูดช่างถามของปรายฝนซึ่งยิ้มอายๆ เพราะรู้ว่าคำว่ารู้สึกได้ คือ การจูบตอบเมื่อสักครู่ “ฉลาดเหลือเกินค่ะ แม่นายเจ้าขา” ปรายฝนมองดูคนที่ออกเดินไปยังบริเวณที่รถจักรยานจอดอยู่ ไตรพูดคุยกับทั้งทิวารีและจันจิรา ซึ่งท่าทางดูจริงจังกับการเริ่มต้นดูแลไร่ของตัวเอง การพูดคุยทำให้ไตรเชื่อมั่นว่า สองสาวจะ ทำให้ไร่มีพืชผลเจริญงอกงามได้ไม่ต่างจากไร่ใจเดียว “ถ้าอย่างนั้น วันอาทิตย์ผมเข้ามาดูไร่ให้นะครับ” ไตรบอก “จันกับทิลงไปตรวจไร่มาท่าจะเหนื่อยอีกนานเลยค่ะ เพราะปล่อยปะละเลยมาตั้งแต่คุณพ่อเสีย คนงานก็ทำกันไปไม่ได้คิดปรับปรุงหรือพัฒนาอะไรเลย ผลผลิตไม่ได้อย่างที่ควรจะเป็นด้วย” จันจิราบอกในสิ่งที่ตัวเองกับทิวารีพบเจอ “ต้องทำงานหนักเหมือนแม่นายไร่นี้ครับ คุณจัน ตรวจไร่ทั้งวัน” “อันนั้นก็จะไม่ไหวเอานะคะ ได้สักครึ่งของน้าเดียว จันว่าจันก็ได้ใจคนงานแล้วล่ะ” จันจิราหัวเราะ “มีอะไรตรงไหนที่ทิช่วยได้ พี่ไตรแนะนำด้วยนะคะ” ทิวารีบอก “ได้จ้ะ ขอตัวก่อนนะครับ” ไตรรับไหว้สองสาวที่บอกขอบคุณ “ทีพูดกับทิจ๊ะจ๋า กับจันล่ะก็เรียบร้อยเหลือเกิน” จันจิราพูดบ่นขณะมองดูชายหนุ่มที่เดินกลับเข้าไปในไร่ใจเดียวแล้ว “แปลกๆ นะคะ คุณจัน ตกลงอะไรยังไงกับพี่ไตรหรือเปล่า” “ทิว่า พี่ไตรน่าอะไรยังไงด้วยไหมล่ะ ดูสิมาช่วยงานไม่พูดเรื่องเงินค่าจ้างเลยสักคำ” จันจิราพูดยิ้มๆ “น่าสนใจนะ” ทิวารีบอก “ไม่ได้นะ จองแล้ว” จันจิราหัวเราะ “รับทราบค่ะ เจ้านาย” ทิวารีพูดยิ้มๆ “ทิไม่ต้องเรียกคุณแล้วแหละ เรียกจันเฉยๆ แต่จันควรเรียกทิว่าพี่ เพราะอายุมากกว่าจัน แม่จะได้สบายใจไปด้วย ดีปะล่ะ” จันจิ ราบอกทำให้ทิวารียิ้มกว้างมากขึ้น “ขอบคุณมากค่ะ คุณจัน เอ๊ะไม่สิ จัน เฉยๆ” สองสาวหัวเราะขึ้นพร้อมๆ กัน ปรายฝนถอนใจ เมื่อปลาบอกว่ามีโทรศัพท์มาจาก ดวงฤทธิ์ ซึ่งถ้าสะดวกอยากให้ปรายฝนติดต่อกลับ กลอยยิ้มจางๆ มองดู ปรายฝนที่ถอนใจเล็กน้อยและไม่คิดจะติดต่อกลับไป “ยังไงดีให้รับข้อความไว้เรื่อยๆ ไม่ติดต่อกลับ ก็คงโทรฯ มาอีก” “ปรายไม่อยากคุยกับเขา” ปรายฝนบอก “แม่นายรู้หรือเปล่า” ปลาถาม “รู้อะไร” ปรายฝนถามกลับ “เอ๊าก็เรื่องหนุ่มของปรายไง” กลอยพูดขึ้น “ไม่ใช่แล้ว ห้ามพูดนะ” ปรายฝนพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งขอร้อง “ไม่พูดหรอก แต่เป็นห่วง แม่นายใจเดียวจิตใจเด็ดเดี่ยวมากนะขอเตือนเอาไว้ก่อน” ปลาพูดลอยๆ ปรายฝนยิ้มจางๆ มองไป ทางบ้านพักของ แม่นายใจเดียวที่นั่งดื่มชาอยู่ “ที่พูดอยู่เป็นการขู่ปรายอยู่นะนั่นน่ะ” ปรายฝนพูดต่อว่า แต่ปลากับกลอยกลับหัวเราะออกมา “ตั้งแต่ปรายมาอยู่ แม่นายดูมีความสุขยิ้มสวยขึ้นมาก บางทีเห็นนั่งยิ้มคนเดียวด้วย พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน คนงานยังเคย แอบมาเล่าให้ฟังเลย” กลอยบอกเล่าเรื่องราวที่ได้เห็นและได้ยินมา “หวังว่าจะยิ้มไปเรื่อยๆ เนอะ” ปรายฝนบอกกับสองสาวที่พยักหน้าและชูนิ้วสองนิ้วขึ้นมาเป็นการให้กำลังใจ ความเข้าใจของคนรอบข้างทำให้ปรายฝนสบายใจ เพราะจูบแรกที่แม่นายใจเดียวจูบตัวเองทำเอาตกใจด้วยเพราะเป็นผู้หญิงด้วยกันและเฝ้าถามตัว เองว่า รู้สึกดีกับแม่นายใจเดียวมากขนาดไหน แม่นายใจเดียวหันมายิ้มให้กับคนที่นำผลส้มมาวางให้ ปรายฝนนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ อากาศเย็นๆ ในยามเย็นจนถึงค่ำไม่ได้ทำให้รู้สึกหนาวมากนักคงเพราะร่างกายปรับสภาพให้เข้ากับบรรยากาศ ณ ไร่แห่งนี้ได้ดีแล้ว “ปรายขอจับมือได้ไหมคะ อากาศเย็นจัง” ปรายฝนพูดขึ้น “อากาศเย็น ก็เข้าห้องไปนอนสิจะมานั่งอยู่ทำไม” แม่นายใจเดียวพูดดุปรายฝนที่หน้าจ๋อยทันที “อ้อนอยู่ไม่รู้จริงๆ หรือ” ปรายฝนพูดเสียงอ่อยๆ “รู้ แค่อยากแกล้ง” แม่นายใจเดียวยื่นมือซ้ายมาให้ด้านเดียวกับที่ปรายฝนนั่งอยู่ ส่วนมือขวาถือแก้วที่มีน้ำอุ่นซึ่งทำให้ร่างกาย รู้สึกสบาย ปรายฝนถูมือของแม่นายใจเดียวเบาๆ เพื่อช่วยให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นคนที่นั่งอยู่ยิ้มและชำเลืองดูมองเล็กน้อย ความสดใสของปราย ฝนทำให้รู้สึกหวั่นใจ แต่ความรู้สึกดีที่มีให้ทำให้แม่นายใจเดียวยอมเปิดเผยความรู้สึกที่มีอย่างรวดเร็ว “มือมีแผลด้วยค่ะ ปรายทำแผลให้นะ” ปรายฝนพูดขึ้น เมื่อหงายมือของแม่นายใจเดียวเห็นมีแผลระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วโป้ง ซึ่งคง เกิดระหว่างทำงานถึงแม้จะสวมถุงมือเอาไว้ก็ตาม “คงโดนกิ่งไม้ เดี๋ยวก็หาย” แม่นายใจเดียวบอก เพราะแผลจากการทำงานเล็กๆ น้อยๆ ถือเป็นเรื่องปกติ “ดื้อเหมือนกันเนอะ มือแม่นายจับแล้วอุ่นใจดี หยาบกร้านมาก” “มือคนทำงาน ก็หยาบเป็นธรรมดา แต่จับมือคนอื่นมาเยอะหรือไง ถึงรู้ว่ามือหยาบเป็นอย่างไร” แม่นายใจเดียวถาม “ฉลาดถามตลอดเลย แต่ล่ะคำถามตอบยากเหลือเกิน” “ก็ไม่ต้องตอบ” แม่ใจเดียวบอก “ก็จับมือผู้ชายบ้างอะไรบ้าง ผู้ชายมือนิ่มกว่าแม่นายอีกนะ” “แต่ไม่อุ่นใจเท่า” “มีความชมตัวเอง แปลกนะคะ อยู่ๆ ก็รู้สึกแบบนี้” ปรายฝนพูดขึ้น “ฉันก็เหมือนกัน” แม่นายใจเดียววางแก้วลงเอามือเท้าคางจ้องมองปรายฝนที่ยิ้มอายๆ จนไม่กล้าหันมามองสบตาด้วย “ปรายเป็นเด็กไม่เอาไหน พ่อยังว่าอยู่เลยค่ะ แอบกลัวว่าตัวเองจะทำให้แม่นายไม่สบาย เสียใจ” ปรายฝนนึกถึงความร้ายกาจของตัวเองที่เป็นเด็กเอาแต่ใจ “เป็นอยู่วันแรกๆ หลังๆ ก็ไม่เห็นเป็นเลย ใครก็ชมนะว่าคุณผู้ช่วยเก่ง ช่างพูด ช่างคุยด้วย” แม่นายใจเดียวอมยิ้มและยังคงจ้อง มองดวงหน้าด้านข้างของคนที่ไม่ยอมหันมามองสบตาด้วย “ปรายจะค่อยๆ เล่าเรื่องปรายให้แม่นายฟัง ถ้าอะไรเกี่ยวกับปรายที่แม่นายอยากรู้แม่นายถามได้นะคะ” ปรายฝนพูดขึ้นและมองฝ่าความมืดไปตรงหน้า เพราะกลัวว่า ถ้าหันไปมองแม่นายใจเดียวคงอดใจไม่ไหวที่จะขยับเข้าไปจูบยิ่งบรรยากาศเย็นๆ เป็นใจให้ โหยหาความอบอุ่นอยู่ด้วย “ฉันชอบนั่งตรงนี้นะ ได้เห็นไร่ในมุมกว้าง ไอ้เก้าอี้ตรงนี้แหละที่ทำให้ฉันวาดภาพไร่ของตัวเองได้เหมือนอย่างที่เห็นอยู่” แม่นายใจเดียวบอก “เปลี่ยนคำว่าฉันเป็นอย่างอื่นได้ไหมคะ ฟังดูหยิ่งๆ ยังไงก็ไม่รู้ค่ะ” ปรายฝนพูดเสียงอ่อยๆ “เปลี่ยนเป็นอะไรดี” “น้าไหม เหมือนน้ารส” ปรายฝนหัวเราะ “ไม่เอาดีกว่า เหมือนน้องแม่เลย” ปรายฝนทำท่าคิด เมื่อชำเลืองมองเห็นแม่นายใจเดียวยิ้มๆ และจ้องมองไม่วางตา “คุณ” ปรายฝนพูดขึ้น “กระดากปากไป” แม่นายใจเดียวบอก “น่ารักออกค่ะ นะ” ปรายฝนพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ “ขอขนาดนี้คงต้องลองดูแล้วล่ะ” “น่ารักที่สุดในชีวิตปรายเลย” ปรายฝนหันไปยิ้มให้แม่นายใจเดียวที่ยิ้มอายๆ กับแววตาที่ทำให้รู้สึกว่าหัวใจที่แห้งผากกลับมา ชุ่มชื่นได้อีกครั้ง “คุณง่วงแล้ว ขอตัวไปนอนนะคะ คุณผู้ช่วย” แม่นายใจเดียวบอก “ฝันดีค่ะ ฝันถึงปรายด้วยนะ” ปรายฝนจูบที่มือและรีบลุกขึ้นเพื่อช่วยพยุงแม่นายใจเดียวที่สวมกอดปรายฝนเอาไว้ “ขอบคุณนะ ปราย” “ไปนอนได้แล้วค่ะ พรุ่งนี้ตื่นสาย คุณผู้ช่วยดุเอานะ จะบอกให้”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม