รสสุคนธ์หลังจากจอดรถก็หันไปมองบริเวณโดยรอบ ซึ่งเขียวชอุ่ม ลมพัดเย็นสบายรู้สึกทึ่งในความสามารถของผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่พยายามสร้างอาณาเขตเสียกว้างใหญ่ไพศาล แม้จะได้ยินมาว่าค่อยๆ ซื้อที่ซึ่งอยู่ติดกัน แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์มากมายขนาดนี้
“ยายเดียวเอ๊ย ฉันล่ะทึ่งเธอจริงๆ ไม่ได้มาเสียนาน ไร่กว้างใหญ่มองดูสุดลูกหูลูกตาเลยเธอเอ๊ย” รสสุคนธ์หัวเราะและยังนึกชื่นชมความขยันของเพื่อนรัก
“สวัสดีค่ะ คุณรส” ปรายฝนพนมมือไหว้ทักทาย
“ดูแลแม่นายดีล่ะสิเรา เดี๋ยวนี้ยิ้มเก่งขึ้นมาก” รสสุคนธ์พูดแหย่
“มาถึงก็แซวเพื่อนเลย” ใจเดียวยิ้มๆ
“ยิ้มสวยกว่าครั้งก่อนด้วย อะไรยังไงมีอะไรลับลมคมนัยหรือเปล่า” รสสุคนธ์ถาม เพราะจากครั้งก่อนที่ได้เห็นรอยยิ้มจางๆ ของ
ใจเดียว แต่ครั้งนี้กลับยิ้มสวยและดูสดใส
“อะไร ไม่มีอะไรสักหน่อย” ใจเดียวพูดขึ้น
“แววตามันฟ้องจ้ะ แม่นาย ฉันดีใจด้วยเห็นไร่แล้วก็ชื่นใจ พ่อกับแม่คงมีความสุขที่เห็นไร่เล็กๆ ของท่านขยับขยายจนกว้างใหญ่ด้วยฝีมือของ ลูกสาวคนเดียว
“ไปหาอะไรดื่มดีกว่า มีกระเป๋ามาหรือเปล่าล่ะ” ใจเดียวถาม
“มีซี้ ไตรชวนเมามาหลายรอบแล้ว ฉันขออนุญาตมาพักผ่อนสักวันสองวันนะนังหนูปราย” รสสุคนธ์หัวเราะ
“เชิญที่เรือนรับรองเลยค่ะ นังหนูของน้ารสยินดีรับใช้” ปรายฝนทำให้ทั้งรสสุคนธ์และแม่นายใจเดียวยิ้มกว้างมากขึ้น
“ดีนะที่เรียกน้า เรียกป้าเคืองตายเลย” รสสุคนธ์บอก บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เพราะรสสุคนธ์เป็นคนร่าเริง การมา
เยี่ยมเยียนเกิดจากความห่วงใยที่มีต่อใจเดียว แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสและแววตาที่ดูมีความสุขทำให้มั่นใจได้เลยว่า นังหนูปรายคงไม่
ได้ปฏิเสธเหมือนที่ใจเดียวเข้าใจ
“บอกแพรหรือเปล่าว่าจะมา” ใจเดียวถามรสสุคนธ์
“เกรงใจเดียวนั่นแหละ รสไม่มีปัญหาอะไรเลย” รสสุคนธ์มองสบตากับปรายฝนที่ยิ้มๆ ให้
“วันนี้เห็นจันมาดูงานกับพี่ไตรนะคะ เดี๋ยวปรายลองถามพี่ไตรให้หรือว่าโทรฯ ไปดีคะ” ปรายฝนถาม
“มาๆ ฉันคุยกับไตรเอง ไม่ยักรู้ว่ายายจันมาป้วนเปี้ยนแถวนี้”
รสสุคนธ์รับเครื่องมือสื่อสารภายในมาและใช้พูดคุยติดต่อกับไตรแค่เพียงครู่เดียวชายหนุ่มก็รีบมาที่เรือนรับรองพร้อมกับจันจิรา
“สวัสดีค่ะ น้ารส” จันจิราพนมมือไหว้ทักทาย
“ยังไงเรา จะยึดไร่คืนจากแม่หรือไง ถึงได้มาตามเป็นเด็กฝึกงานของไตรเขาน่ะ” รสสุคนธ์ถาม เพราะจากที่เคยได้ยินและ
สัมผัสมา จันจิรามักจะชอบเที่ยวไปๆ มาๆ กรุงเทพฯ กับไร่อยู่เป็นประจำแต่ทำไมจู่ๆ ถึงได้ทำเหมือนขยันขึ้นมา
“อันที่จริงแผงต้นไม้กั้นไร่ไม่เห็นต้องมีเลยนะคะ ได้เดินข้ามมาได้เลยไม่ต้องขับรถ เผื่อมีโอกาสได้รวมไร่กัน” จันจิราหัวเราะ
ถึงแม้ไม่ได้ตอบคำถามชัดเจนนัก แต่เชื่อว่าคนฉลาดอย่างรสสุคนธ์น่าจะเข้าใจ
“รวมยังไงของเธอ ยายจัน” รสสุคนธ์ถาม เพราะสีหน้าของปรายฝนเปลี่ยนไปทันที เมื่อได้ยินสิ่งที่จันจิราบอก
“ไหนๆ ก็มาขนาดนี้แล้ว น้าเดียวนั่นแหละต้องเป็นคนตอบ”
“เกี่ยวอะไรกับน้าล่ะ จัน” ใจเดียวถาม รสสุคนธ์ยิ้มๆ กับความเถรตรงของหลานสาว
“น้าเดียวยังชอบแม่นายแพรอยู่ไหมล่ะคะ” ปรายฝนรอยยิ้มที่จางๆ อยู่เมื่อครู่ ตอนนี้ไม่มีแล้วและยังแอบกังวลกับคำตอบของ
แม่นายใจเดียว
“แม่บอกอะไรไปกับจันบ้าง” ใจเดียวถาม
“แม่บอกว่า แม่รักน้าเดียว จันไม่รู้ว่าเรื่องนี้หรือเปล่า แม่กับพ่อถึงได้เย็นชากัน แต่จันไม่ได้โทษน้าเดียวนะคะ แค่สงสัยทำไมแม่
ถึงได้แต่งงานกับพ่อทั้งๆ ที่ไม่ได้รัก” จันจิราอธิบายสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจมาตลอด
“พ่อแม่ไม่รักกันจะมีเราออกมาหรือ ยายจัน” รสสุคนธ์ถาม
“แม่จันมีสิทธิ์เลือกในสิ่งที่ต้องการได้ คนทุกคนอยากได้ในสิ่งที่ต้อง การด้วยกันทั้งนั้นแหละ เหมือนน้ารสรักการทำอาหาร ส่วน
น้ารักไร่ รักต้นไม้ รักธรรมชาติ แม่ของจันเขาก็มีสิ่งที่เขารัก จันเป็นลูกที่รักแม่หน้าที่ของจันก็คือ ดูแลแม่ให้มีความสุข ส่วนเรื่องรั้วต้นไม้ ถ้าจันอยากจะตัดออกน้าก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ก็เสียดายอยู่นะ เราควรตัดแค่พอผ่านไปมาได้ก็พอแล้วมั้ง”
ใจเดียวเอามือทาบทับไปที่ศีรษะของจันจิราอย่างเอ็นดู
“ปรายล่ะว่าไง เรื่องรั้ว” จันจิราถามปรายฝนที่ทำหน้าตาแปลกๆ
“จันมาถามปรายทำไม” ปรายฝนพูดขึ้น ไตรกับรสสุคนธ์พยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้
“ทำมาเป็นใสซื่อนะ นังหนูปราย” ไตรหัวเราะ ใจเดียวยิ้มๆ กับความช่างยั่วช่างแหย่ของรสสุคนธ์
“คนอื่นยังรู้เลย ปรายยังไม่รู้อีกหรือเนี่ย” จันจิราหัวเราะ ปรายฝนยิ้มอายๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ผมจัดการให้ได้ครับ ถ้าแม่นายอนุญาต เพราะต้นไม้แถวนั้นเราเป็นคนปลูก แต่คุณจันไปถามแม่นายแพรพรรณก่อนก็ดีนะครับ”
ไตรบอก
“ตกลงเอาจริงหรือยายจันที่จะดูแลไร่น่ะ” รสสุคนธ์ถาม
“พี่ไตรรับปากจะเป็นที่ปรึกษาให้ค่ะ ได้ไหมคะ น้าเดียว” จันจิราพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ
“ไตรว่าไง” แม่นายใจเดียวถามไตร
“ผมไม่มีปัญหาอะไรครับ ไร่โน้นเท่าที่รู้ก็ดูแลดีอยู่นะครับ แต่ถ้าคุณจันอยากเรียนรู้หรือปรับปรุงตรงไหน ผมไปช่วยดูได้ ถ้าคน
งานทางโน้นไม่มีปัญหาอะไร” ไตรอธิบาย
“ตกลงแค่เรื่องไร่ หรือมีอะไรแอบแฝงเห๊อะ ยายจัน” รสสุคนธ์ทำหน้าดุใส่หลานสาว
“รู้ทันทุกเรื่องเลย หลานอยากทำงานไม่ดีหรือคะ น้ารส”
“ก็ดี แต่ให้มันถาวรนะ แม่เราอายุเยอะขึ้นทุกวัน แล้วไอ้ที่จะให้ลงไปทำไร่น่ะ ไม่มีทาง” รสสุคนธ์บอก
“เดี๋ยวจะไปฟ้องแม่” จันจิราพูดขึ้น ซึ่งสร้างเสียงหัวเราะให้กับทุกคน แม่นายใจเดียวจับมือปรายที่วางเอาไว้ที่ตัก ถึงแม้เจ้าตัวไม่ได้พูดอะไรเรื่องที่จันจิราถาม แต่การไม่ปฏิเสธทำให้แม่นายใจเดียวยิ้มกว้างมากขึ้น
“ไอ้เรามาเพราะความเป็นห่วง แต่กลับกลายเป็นว่า ความรักมันฟุ้งกระจายไปทั่วไร่เลยเว๊ย” รสสุคนธ์หัวเราะทำเอาทุกคนที่นั่ง
อยู่หัวเราะตาม
“ขอบใจนะรสที่เป็นห่วง ขับรถมาหาตั้งไกล” ใจเดียวเข้าสวมกอดรสสุคนธ์เอาไว้
“ห่วงเหิ่งอะไร๊ แค่มาดูผักว่าปลอดสารพิษจริงหรือเปล่า”
“โน่น พ่อไตรของรสพร้อมพาชมสวนผักแล้วล่ะ” ใจเดียวยิ้มๆ มอง ดูไตรที่ไปจูงจักรยานมาให้แล้ว
“รักกันไม่ยากหรอกนะ นังหนูปราย แรกๆ อะไรๆ ก็ดี แต่มันจะยากตรงคนแวดล้อม รวมถึงการประคับประคองให้คงอยู่”
รสสุคนธ์ยังไม่รู้จักปรายฝนมากนัก ส่วนเรื่องที่พูดถึงคนแวดล้อมเป็นเพราะเคยเกิดขึ้นกับ ใจเดียว เพราะทางครอบครัวของแพร
พรรณไม่ค่อยพอใจนักกับการที่สองคนคบหากัน แต่เมื่อมีบิดาของจันจิราเข้ามาในชีวิต จึงพูดเกลี่ยกล่อมให้ลูกสาวเห็นความดีงาม
ของผู้ชายที่มีพร้อมทุกอย่างและทำให้แพรพรรณเอนเอียงไปกับสิ่งล่อตาล่อใจ โดยเฉพาะหน้าตา ชื่อเสียง เงินทอง ข้าวของต่างๆ จนยอมปล่อยความรักกลับคืนให้กับใจเดียว
“ปรายไม่รู้เหมือนกันค่ะ ว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร แต่ปรายอยากยืนอยู่ตรงนี้อยู่ข้างๆ และดูแลแม่นายใจเดียว ปรายรู้ว่าปรายเป็นเด็กคงสร้างความเชื่อมั่นให้ไม่ได้ แต่ปรายจะพิสูจน์ให้เห็นค่ะ น้ารส” ปรายฝนพูดขึ้น
“ดูแลยังไง เป็นแฟนกันแล้วเหรอจ๊ะ” รสสุคนธ์ถามแล้วหัวเราะ
“ใครจะกล้าล่ะคะ” ปรายฝนพูดเสียงอ่อยๆ
“นี่ก็ช่างแหย่เสียจริง ไปหนุ่มหล่อรออยู่โน่นแล้ว” ใจเดียวบอก
“แน่ะ มีไล่เพื่อนนะ เดียว”
“ไม่ได้ไล่จ๊ะ” ใจเดียวหัวเราะ
“เออ นังหนูปราย ไปบอกแม่ครัวที่โรงอาหารด้วยนะ เดี๋ยวน้าจะไปช่วยทำกับข้าว รับรองความอร่อยเหมือนเดิม” ปรายฝนยิ้มๆ
กับความน่ารักของรสสุคนธ์ที่ดูเหมือนจะทำความรู้จักและเรียนรู้ผู้คน แต่ใช่ว่าจะปล่อยปะละเลยเห็นดีเห็นงามไปกับทุกเรื่อง ซึ่งยังพูด
ปรามๆ เอาไว้ไม่ว่าจะกับตัวเธอหรือแม้แต่กับจันจิรา
“เพื่อนสามคน แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยนะคะ” ปรายฝนบอก
“รสร่าเริงสดใสแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ เรียนรู้ที่จะเข้าใจทุกคนเสมอ เวลาฉันมีทุกข์ยังไม่ทันจะเล่าหรือจะพูดอะไร รสก็รู้แล้วว่า ฉันมีเรื่องไม่สบายใจและรอว่าพร้อมจะเล่าให้ฟังหรือไม่” แม่นายใจเดียวบอกเรื่องราวของเพื่อนรักที่กำลังขี่จักรยานไปกับไตรและจันจิรา
“แล้วอีกคนล่ะคะ” ปรายฝนยิ้มน้อยๆ มองสบตากับใจเดียว
“เจ็บปางตาย แต่ไร่นี้ช่วยเอาไว้ งานหนักเหนื่อยมาก หลับเร็ว”
“แล้วหายเจ็บหรือยัง น๊อ” ปรายฝนพูดลอยๆ
“ยัง รอยาใจดีๆ อยู่ ไปวิ่งไปแจ้งแม่ครัวที่โรงอาหารเร็วๆ”
“เจ้าค่ะ แม่นายใจเดียว เจ้าขา” ปรายฝนพูดจบชะเง้อมองไปด้านสำนักงานไม่เห็นใคร จึงแอบหอมแก้มแม่นายใจเดียวแล้วรีบ
วิ่งไปทันที
“จะหาย เพราะเด็กชอบแกล้งนี่แหละ” แม่นายใจเดียวมองตามคนที่รีบวิ่งแจ้นไปที่โรงครัวอย่างรวดเร็ว
จันจิรามารายงานให้มารดาทราบ เรื่องที่ได้พูดคุยกับทางไร่ใจเดียว ซึ่งทำให้แพรพรรณแปลกใจ เพราะจันจิราไม่เคยสนใจเรื่องงานไร่มาก่อนด้วยความที่ถูกเลี้ยงเป็นคุณหนู โดยบิดาตามใจทุกอย่าง
“ฉันหูฝาดไปหรือเปล่าเนี่ย” แพรพรรณถามลูกสาว
“ไม่ฝาดหรอกค่ะ แม่นายแพรพรรณขา เพราะพรุ่งนี้จันจะให้พี่ไตรจัดการเปิดช่องทางผ่านที่รั้วต้นไม้ ตกลงตามนี้นะคะ ได้เดิน
ไปได้เลยไม่ต้องขับรถออกไป” จันจิราบอก ขณะมองดูทิวารีที่นำน้ำส้มมาให้
“เอาการเอางานก็ดี อ้อแม่จะให้ ทิช่วยอีกแรง” แพรพรรณพูดขึ้น
“ไม่มีปัญหาค่ะ อ้อน้ารสมานะคะ อยู่ที่ไร่โน้น” จันจิราบอก
“ไม่คิดจะมาพักที่ไร่นี้” แพรพรรณพูดคล้ายบ่น
“นั่น น้าเดียวโทรฯ มาแล้วมั้ง” เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้จันจิรารีบหายตัวทันที ทิวารียิ้มน้อยๆ และออกไปปล่อยให้แพร
พรรณได้คุยโทรศัพท์ตามลำพัง
แพรพรรณหันมามองดูทิวารี หลังจากรับสายซึ่งเป็นใจเดียวเหมือนที่ลูกสาวบอก
“อารมณ์ไหนของยายรส แวะมาเยี่ยมเยียนเพื่อนถึงไร่”
“ต้องมาถามเจ้าตัวเขาเอง แพรมาทานมื้อเย็นด้วยกันดีไหม รสกับไตรเห็นว่าจะดื่มกันนิดหน่อย” ใจเดียวบอก
“พาคนไปด้วยได้ไหม” แพรพรรณถามและมองดูทิวารีซึ่งขมวดคิ้วจ้องมองอยู่
“ได้สิ เดี๋ยวเย็นๆ เจอกันนะ” ใจเดียวแปลกใจที่ได้ยินว่า แพรพรรณจะพาใครมาด้วย
แม่ครัวเอกนอกจากช่วยทำอาหารให้คนงานแล้วยังทำอาหารมื้อค่ำสำหรับมิตรสหาย ไตรเอ่ยชมไม่หยุดปากทั้งๆ เข้าเมืองทีไร
ก็แวะไปชิมฝีมือของรสสุคนธ์ที่ร้านทุกครั้ง
“ตลกบริโภคนะเรา นายไตร” รสสุคนธ์หัวเราะ ทุกคนไปรวมตัวกันอยู่ที่เรือนรับรอง จันจิรามาตั้งแต่บ่ายแก่ๆ และอยู่จนเย็นเพื่อ
อยู่รับประทานอาหารด้วย เพราะรู้ว่าอีกสักพักมารดาคงมา
แพรพรรณมาพร้อมกับผู้หญิงอีกคน ซึ่งมีเพียงจันจิราเท่านั้นที่รู้ว่าเป็นใคร แต่ทุกคนก็ยิ้มต้อนรับเป็นอย่างดี โดยเฉพาะเจ้า
บ้านอย่างใจเดียวที่อาสาจัดการเรื่องเครื่องดื่มให้กับทั้งสองคน โดยมีปรายฝนเป็นผู้ช่วย
“ปลากับกลอยนั่งกินเถอะ ไม่ใช่เวลาทำงาน พวกเราใช้แม่นายกันเสียบ้างนานๆ ที” รสสุคนธ์พูดก่อนจะหัวเราะออกมา
แพรพรรณแนะนำทิวารีให้รู้จักกับทุกคนในฐานะผู้ช่วยจันจิราที่ทำเอาเจ้าตัวทำหน้างงๆ หันไปมองสบตากับไตร
“จริงจังถึงขนาดมีผู้ช่วยเลย หลานสาวชั้น” รสสุคนธ์ยิ้มๆ
“หลานน้ารส เวลาเอาจริงก็ไม่ธรรมดานะคะ” จันจิราบอก
แพรพรรณยิ้มน้อยๆ มองสบตากับใจเดียวที่ยิ้มให้เช่นกันและยิ้มเลยไปถึงทิวารีที่นั่งเงียบไม่ค่อยได้พูดจานัก ปรายฝนนั่งอยู่กับปลาและกลอยที่สนใจอาหารมากกว่าสิ่งอื่นใด ถึงกับเงียบไปเลยทีเดียวเมื่อได้ลิ้มลองอาหารทะเลแสนอะไร แต่สองสาวก็ยังคงช่วยทำโน่นนี่ระหว่างแม่ครัวพูดคุยอยู่กับคนอื่นๆ อาหารทะเลเผาที่อยู่บนเตาส่งกลิ่นหอมฉุย ใจเดียวมองสบตากับรสสุคนธ์ เมื่อเห็นแพรพรรณแกะกุ้งเผาวางลงในจานของทิวารีที่ท่าทางดูจะอึดอัดกับการดูแลเอาใจใส่
“ยายทิช่างมีบุญเสียเหลือเกินนะเนี่ย ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมา แม่นายของเราน่ะไม่เคยแม้แต่จะตักกับข้าวใส่จานให้” รสสุคนธ์พูด
แหย่
“ไม่เห็นจะแปลกเลย” แพรพรรณพูดขึ้น
“รสก็ชอบไปแหย่” ใจเดียวพูดคล้ายดุรสสุคนธ์ที่ยิ้มๆ ให้
“ยายจันเคยได้กินไหมล่ะ” รสสุคนธ์ถามจันจิรา
“ไม่ล่ะคะ นั่งใกล้ๆ ทีไรถูกหยิกทุกที นั่งห่างๆ ดีกว่ากับข้าวตักกินเองได้ จันมีมือ” จันจิราพูดคล้ายเหน็บแนมทิวารี
“จัน” ใจเดียวพูดดุจันจิรา ปรายฝนจึงเอ่ยชวนออกไปเปลี่ยนหน้าที่กับปลาและกลอยที่ยังยืนอยู่หน้าเตา
“ไม่ชอบคุณทิจะทำงานด้วยกันยังไงล่ะ จัน” ปรายฝนถาม
“ไม่เกี่ยวกับเรื่องงานสักหน่อย” จันจิราบอก
“เอากุ้งกับปูใส่จานดีกว่า งั้น” ปรายฝนหัวเราะเล็กๆ ไม่อยากพูดคุยเรื่องของคนที่เพิ่งรู้จัก แต่ดูท่าทางจันจิราไม่ค่อยชอบสักเท่าไร ซึ่งน่าแปลกทั้งๆ ที่ทิวารีจะมาเป็นผู้ช่วยตัวเองแท้ๆ ปรายฝนคิด