ตอนที่ 1
“จบเกียรตินิยมรัฐศาสตร์ ต้องมายืนงงอยู่ในดงวัว หรือเขาเรียกฝูงวัวกันนะ” หญิงสาวยืนงงๆ หลังลงจากรถสองแถว ซึ่งลุ้นมาตลอดทางว่าจะโดนพาเข้ารกเข้าพงไปก่อนถึงจุดหมายปลายทางหรือไม่ แต่เมื่อถึงที่หมายซึ่งป้ายเขียนเอาไว้ว่า ไร่ใจเดียวทำให้สบายใจขึ้น ส่วนไอ้เจ้าฝูงวัวที่ห้อมล้อมอยู่ไม่รู้ว่ามาต้อนรับพนักงานใหม่หรืออย่างไร หญิงสาวชะเง้อชะแง้มองเข้าไปภายใน ซึ่งมีต้นไม้ใหญ่เขียวขจีปกคลุมอยู่ โดยฝูงวัวยังคงหยุดยืนประหนึ่งว่าหญิงสาวเป็นพวกเดียวกัน สาวเจ้าค่อยๆ ขยับตัวเพื่อฝ่าวงล้อมโดยมีที่หมายก็คือ บ้านหลังใหญ่ที่อยู่ไกลสุดลูกหูลูกตา โดยไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาเดินนานขนาดไหน
“แค่เริ่มต้นก็เหนื่อยขนาดนี้ แล้วจะอยู่ได้นานสักเท่าไรกันว๊ะ” ไม่ทันขาดคำสายฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา
“เอา เอาเข้าไปจัดมาให้เต็มที่ ต้อนรับอย่างหนักหน่วงเลย นี่ยังไม่เจอแม่นายใจเดียวเลยนะเนี่ย” หญิงสาวเดินบ่นพึมพำตากฝนที่เริ่มลงหนาเม็ดขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องกึ่งเดินกึ่งวิ่งเพื่อจะได้ถึงที่หมายเร็วขึ้น เพราะไม่อย่าง นั้นมีหวังคงได้เป็นไข้ก่อนเริ่มงาน
กางเกงสีขาวที่สวมใส่มากลายเป็นสีเทากระดำกระด่างเต็มไปด้วยขี้โคลน หญิงสาวยืนหอบอยู่ด้านหน้าตัวบ้าน ซึ่งไม่มีผู้คนโดยมีป้ายบอกเอา ไว้ว่าเป็นสำนักงาน เสียงหัวเราะดังแว่วๆ พอได้ยินปะปนมากับเสียงฝนที่ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ อากาศหนาวเหน็บในความรู้สึกสำหรับคนที่เพิ่งมาถึง
“จะไหวไหมขอรับ คนงานมาใหม่ใส่กางเกงสีขาว เอ๊ะหรือควรเรียก ว่าสีโคลน เสียงของชายหนุ่มที่ดังขึ้นทำให้หญิงสาวรู้สึกขุ่นเคืองใจ แต่ด้วยเพิ่งมาใหม่ จึงเลือกที่จะสงบเสงี่ยมเจียมตัว
“มาถึงปากประตูแล้ว น่าจะไหวนะคะ” หญิงสาวบอกพร้อมกับรีบพนมมือไหว้ โดยไม่ได้สนใจเลยว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร แต่ดูท่าทางน่าจะอายุมากกว่าตัวเอง
“ตามมา” ชายหนุ่มพูดขึ้น ขณะมองดูหญิงสาวซึ่งแต่งตัวเหมือนสาวชาวกรุงที่เคยเห็นมาบ้างทำให้ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรนัก แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ไม่รู้ทำไมแม่นายถึงได้เลือกแม่สาวคนนี้เข้ามาทำงานมากกว่า
“ตามไปไหน” เมื่อน้ำเสียงห้วนมา จึงมีน้ำเสียงห้วนๆ ตอบกลับไป
“ไม่มาก็ตามใจ หรือจะยืนหนาวตายอยู่ก็เรื่องของคุณ” ชายหนุ่มบอกและรีบเดินนำหน้าไป
“ยังๆ เดินทางมาก็ลำบากจะแย่ ยังจะมาเจอคนแย่ๆ อีกหรือ ไม่อยากคิดเลยว่า แม่นายของที่นี่จะขนาดไหน” หญิงสาวบ่น
พึมพำ แต่รีบเดินตามชายหนุ่มที่พูดจาห้วนๆ ไป เพราะไม่อย่างนั้นมีหวังได้ยืนหนาวตายอยู่หน้าสำนักงาน เพราะมองไปไม่เห็นใครนอกจากชายหนุ่มหน้านิ่งที่พูดด้วยน้ำเสียงห้วนๆ แถมยังไอ้เจ้าเสียงหัวเราะกวนๆ กับสายตาที่มองมาแปลกๆ นั่นอีก
“ห้องเธอ ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและพักผ่อนตามสบาย มื้อเย็นพร้อมกันตอนห้าโมง อ๊ะๆ อย่ามาพูดโน่นนี่อะไรนัก กรุณาทำตาม ถ้าไม่มาก็ไม่มีอะไรให้กิน เข้าใจ๋” ชายหนุ่มยิ้มๆ รอยยิ้มนั้นแสนจะกวนในความรู้สึกของหญิงสาวที่เพิ่งมาใหม่
“กราบขอบพระคุณในความกรุณาค่ะ” หญิงสาวรับกุญแจห้องพักมาจากชายหนุ่มที่แกล้งดึงๆ เอาไว้ครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยมือ
ห้องพักสะอาดสะอ้านอย่างผิดความคาดหมาย หญิงสาวยิ้มๆ ก่อนจะรีบเปิดกระเป๋าเพื่อไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที เพราะใบหน้าซีดเผือดแถมมือยังเหี่ยวย่นค่อนข้างมาก ซึ่งนั่นคงเป็นผลของความหนาวเหน็บที่แทบจะกัดกินเข้าไปถึงกระดูก
“เปิดห้องน้ำจะเจอตุ่มน้ำหรือเปล่าว๊ะ ตายแน่แกเอ๊ย ถ้าต้องอาบน้ำเย็นๆ จากตุ่ม” หญิงสาวบ่นพึมพำ แต่ก็รีบเข้าห้องน้ำไปทันที ซึ่งเครื่องทำน้ำอุ่นคือสิ่งแรกที่เห็นทำให้คนที่รู้สึกหนาวอยู่สบายใจขึ้น
น้ำอุ่นที่พร่างพรมอยู่บนเรือนร่างเปลือยเปล่าทำให้ร่างกายที่อ่อนล้าจากการเดินทางสดชื่นขึ้นมาก การนั่งรถทัวร์มาหนึ่งคืนกับอีกค่อนวันและยังต้องนั่งปุเลงปุเลงมากับรถสองแถวอีกไกลโขจากตัวเมือง ซึ่งเมื่อนึกถึงยิ่งทำให้รู้สึกท้อ แต่ในเมื่อตัดสินใจแล้วอย่างไรคงต้องอยู่ให้ได้ บางทีคนเราก็ต้องแสวงหาพื้นที่ของตัวเอง ซึ่งนั่นจึงทำให้หญิงสาวเลือกที่จะมาเป็นผู้ช่วยเจ้าของไร่แห่งนี้ เสียงเคาะประตูด้านหน้าดังขึ้น คนที่อาบน้ำอยู่รีบออกไปโดยมีเพียงผ้าเช็ดตัวที่สวมใส่เอาไว้ เมื่อมองผ่านช่องประตูด้านหน้าเห็นว่าเป็นผู้หญิงยืนหันหลังให้อยู่ จึงเปิดแง้มประตูและโผล่หน้าออกไปเล็กน้อย เสื้อเชิ้ตลายสกอตกับกางยีนเก่าและขาด เมื่อดูแล้วคิดว่าไม่น่า
จะตามแฟชั่นทำให้หญิงสาวที่โผล่หน้าไปยิ้มๆ แต่เมื่อเธอคนนั้นหันมาทำเอาคนที่ยิ้มอยู่
เมื่อสักครู่นิ่งงันไป เพราะแววตาที่ได้เห็นดูน่าเกรงขามเสียจนแทบไม่กล้าจะสบตาด้วย
“หนูชื่อ ปรายฝน ค่ะ เป็นผู้ช่วยของแม่นายใจเดียว”
“มีคนบอกแล้วใช่ไหมว่าเวลาอาหารกี่โมง ถ้าเลยหกโมงเย็นจะไม่มีอะไรให้ทาน” น้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยนทำให้คนได้ยินสบายใจขึ้น
“ขอบคุณค่ะ” ปรายฝนบอกขอบคุณแล้วยิ้มๆ ให้
“ถ้าจะเปิดประตูคุยกับใคร กรุณาแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อน ถ้าเกิดเป็นคนงานจะทำอย่างไร” เสียงเข้มๆ ทำเอาคนได้ยินทำหน้าจ๋อยทันที
“ถ้าเป็นผู้ชายก็ไม่เปิดสิคะ ป้าก็” ปรายฝนพูดขึ้น
“เอ๊านี่ยา อ้อถ้าอยากได้เสื้อผ้าเหมือนชาวบ้านเข้าใส่ ก็ไปเบิกได้ที่สำนักงาน แต่ถ้าอยากเป็นชาวกรุงและเป็นจุดสนใจ หรือเป็นดาวเด่นล่ะก็แต่งตัวได้ตามอัธยาศัยของเธอเลยก็แล้วกัน”
“ยามีแล้ว ขอบคุณค่ะ แต่มีข้อสงสัยนิดหนึ่งค่ะ คนที่นี่พูดจาแย่ๆ เหมือนกันทุกคนหรือเปล่าคะ” ปรายฝนถาม
“ต้องไปทำความรู้จักเอาเอง อยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็กลับบ้านไป”
“โธ่ รบกันด้วยฝีปาก งานถนัดเลยค่ะ กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ ป้า อุตส่าห์เอายามาให้ ป่วยตายตำรวจไม่จับแม่นายหรอกมั้ง หรือว่าที่นี่มีคนตายแปลกๆ” ปรายฝนยิ้มๆ
“แปลกแบบไหน แบบหาศพไม่เจออย่างนั้นหรือเปล่า รีบไปแต่งตัวดีกว่า เดี๋ยวข้าวปลาจะไม่เหลือให้กิน”
“มากันแต่ละคน ไม่รู้แม่นายจะขนาดไหนเน๊าะ” ปรายฝนรำพึงแต่
ก็ยิ้มๆ ที่อย่างน้อยได้เห็นถึงความห่วงใยของคนที่เอายามาให้
“ปรายต้องอยู่ได้ ปรายต้องอยู่ได้ ปรายต้องอยู่ได้” ปรายฝนพูดเพื่อเป็นการปลุกขวัญและกำลังใจให้ตัวเอง
ปรายฝนยิ้มๆ มองดูอาหารในถาดหลุมเหมือนในโรงเรียนที่อยู่ตามต่างจังหวัด แต่อาหารไม่ได้น้อยนิดเหมือนที่เคยเห็น สิ่งที่ดีที่สุด คือ การได้เห็นรอยยิ้มของผู้คนบ้าง หลังจากได้เห็นคนหน้านิ่งมาสองคนแล้ว
“นั่งสิ” ผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้น เมื่อเห็นปรายฝนยืนงงๆ ถือถาดอาหารอยู่ในมือ
“ผู้ช่วยแม่นายล่ะสิ” ผู้หญิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถาม
“ค่ะ ชื่อ ปรายฝน”
“ร เรือ หรือ ล ลิง ล่ะ” ผู้หญิงที่เอ่ยชวนนั่งถาม ปรายฝนหัวเราะหึๆ
“ปราย ร.เรือ สิ หมายถึงปรายๆ น้ำฝนที่กระเซ็นออกไปน่ะ”
“นึกว่าปลายฤดูฝน เราชื่อ กลอย”
“ส่วนเราชื่อ ปลา ชื่อจริงไม่ต้องหรอกเนอะ”
“เรียกเรา ปราย สั้นๆ ก็ได้” ปรายฝนยิ้มๆ หลังจากได้พูดคุยกับคนที่น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับตัวเอง ซึ่งหลังจากพูดคุยกันได้ครู่
หนึ่งก็ทราบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ในส่วนสำนักงาน อาหารที่ดูธรรมดากลับสร้างรอยยิ้มให้กับคนที่คิดเอาไว้ล่วงหน้าว่า ถ้ามาอยู่กลางป่ากลางเขาคงได้ผอมบาง เพราะคงรับประทานอาหารไม่ได้แน่ แต่กลับกลายเป็นว่า ผัดผักซึ่งเป็นผักที่ปลูกเองทำให้สัมผัสได้ถึงความสดทำให้ผักกรอบหวานและอร่อยมาก
“ไข่ต้มยังอร่อยเลย ใช่ไหมล่ะ” ปลาพูดแล้วยิ้มๆ เมื่อปรายฝนยิ้มๆ และรีบพยักหน้าทันที
“ไม่ต้องเหยาะซอสหรือน้ำปลาเลย กินกับผัดผักดีงามมากๆ”
“ไม่อ้วนด้วย” กลอยบอก
“ผักกับไข่ และข้าวกล้อง” ปรายฝนอมยิ้ม
“แถมน้ำเต้าหู้ด้วยจ้ะ เด็กใหม่” ปลาพูดขึ้น ก่อนลุกไปตักน้ำเต้าหู้ ใส่แก้วมาวางให้
“ดีจัง จะได้หายหนาว” ปรายฝนยิ้มๆ
“มีเสื้อกันหนาวติดมาบ้างหรือเปล่า ที่นี่อากาศเย็น ถ้าฝนลงหนักๆจะหนาวกว่าปกติ” กลอยถามและบอกกับปรายฝน
“ไม่มีเลย หนาวมากเลยหรือ”
“อารมณ์บนดอยเลยล่ะ เธอเอ๊ย” ปลาพูดขึ้น
“ห่มผ้านวมก็เอาอยู่มั้ง” ปรายฝนพูดพึมพำ
“คืนนี้ก็รู้ เอาไว้พรุ่งนี้จะเอาเสื้อหนาๆ มาฝาก”
“ขอบใจจ้ะ แต่เดินไปเอาเลยก็ได้ จะได้รู้ว่ากลอยกับปลานอนที่ไหน”
“โน่นเดินไกลอยู่ ฝนยังตกพรำๆ ด้วย ไข้จะกินเอานา” ปลาพูดขึ้น แต่เงียบไป เมื่อเห็นปรายฝนโบกไม้โบกมือให้ใครบางคน จึงรีบหันไปมอง
“เอามือลง” คนนั่งอยู่ข้างๆ ดึงแขนของปรายฝน แต่เจ้าตัวยังคงดื้อดึงที่จะโบกไม้โบกมือขึ้นอีก จนกระทั่งหญิงสาวที่ดูสูงวัยสวมเสื้อเชิ้ตลายสกอตกับกางยีนขาดๆ เดินมาทำให้ทุกคนเงียบไป จนปรายฝนรู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน
“ป้ามาช้าไปนะ ห้าโมงจะครึ่งแล้ว เดี๋ยวก็ไม่มีอะไรกินหรอก”
“ไม่ต้องห่วง ฉันอยู่ที่นี่มานาน กินข้าวที่นี่มาตั้งแต่สาวจนแก่ เธอนั่นแหละ รีบกิน รีบเข้านอนแต่หัวค่ำ เพราะต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืด”
“สำนักงานที่ไหนเปิดแต่เช้ามืด แม่นายดุมากหรือ ป้า”
“ไอ้ปราย” กลอยพูดกระซิบกระซาบ
“คงดุมั้ง” หญิงสูงวัยพูดขึ้น
“แบบนั้นต้องแก่กว่าป้าเยอะแน่ๆ ถึงได้เป็นแม่นาย” ปรายฝนยัง คงพูดไปเรื่อย แต่ทุกคนเงียบมาก เมื่อมองไปรอบๆ ไม่มีใครรับประทานอาหารเลยมัวแต่มองมาที่ตัวเธอซึ่งกำลังสนทนาอยู่กับหญิงสูงวัย
“กับฉันเธอยังเรียกป้า แล้วแม่นายเธอต้องเรียกยายล่ะมั้ง ไปล่ะเสีย เวลาฉันกินข้าวกินปลา” หญิงสูงวัยบอก
“เดี๋ยวค่ะ ป้าไม่บอกชื่อหน่อยเหรอ เราคุยกันตั้งเยอะแล้วนา”
“บรรลัยมาก ไอ้ปรายเอ๊ย” กลอยรำพึงออกมาเบาๆ ไม่กล้าที่จะมองไปทางหญิงสูงวัย ซึ่งหันกลับมาหยุดยืนอยู่ที่เดิม
“ฉันชื่อ ใจเดียว จ้ะ ฉันไปกินข้าวได้หรือยัง เดี๋ยวเลยเวลาอดกินกันพอดี” หญิงสูงวัยพูดจบรีบไปหยิบถาดอาหารและเดินไปเข้าแถวเหมือน กับคนอื่นที่เพิ่งมาถึงเช่นกัน
“ใจเดียว ตายล่ะ ฉัน” ปรายฝนหันมามองสบตากับกลอยและปลาที่ทำหน้าเจื่อนๆ ก่อนจะพยักหน้าพร้อมๆ กัน
“ป้านั่นน่ะ แม่นาย” ปลาหัวเราะเล็กๆ เมื่อเห็นปรายฝนหน้าจ๋อยไปทันที เมื่อหวนนึกถึงสิ่งที่ตัวเองได้พูดคุยและแถมยังต่อปาก
ต่อคำไปกับเจ้าของไร่โดยไม่รู้ตัว
“พรุ่งนี้จะโดนไล่กลับเลยไหมล่ะ ฉัน” ปรายฝนพูดเสียงอ่อยๆ แต่นั่นได้สร้างรอยยิ้มให้กับทุกคนที่บางคนถึงกับหัวเราะออกมาเลยทีเดียว