ตอนที่ 20

2280 คำ
ปรายฝนมาอาบน้ำเข้านอนก่อนปล่อยให้ผู้ใหญ่ดื่มและพูดคุยกัน รอยยิ้มจางลงเมื่อนึกถึงรูปภาพผู้หญิงที่หน้าจอโทรศัพท์ของแม่นายใจเดียว ที่ได้เห็นตอนเข้าเมืองไปทำธุระด้วยกัน “ไม่คิดสิ เรื่องเก่านมนานแล้ว” ปรายฝนพูดบ่นกับตัวเอง แต่สายตาวาววับของแม่นายแพรพรรณนั่นทำให้กลับมาคิดมากทั้งๆ ที่ตัวเองมีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกับแม่นายใจเดียวมากขึ้น หรือเป็นเพราะความใกล้ชิดทำให้ยิ่งคิดมากกว่าเดิม โดยเฉพาะตอนกอดกันที่ปลายไร่ตรงทางเชื่อมระหว่างไร่ทั้งสอง ปรายฝนมองดูเพดานห้องคอยฟังเสียงประตูห้องแม่นายใจเดียว “ถ้าไม่กลับมานอนที่ห้องล่ะ” ปรายฝนบ่นพึมพำและทำหน้างอโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่เสียงประตูห้องของแม่นายใจเดียวก็ดังขึ้น ปรายฝนรีบลุกขึ้นนั่งทันทีและมีรอยยิ้มกว้างมากขึ้น เมื่อได้ยินเสียงปลดล็อกประตูกั้นห้องระหว่างตัวเองกับแม่นายใจเดียวดังขึ้น หัวใจกระโดดโลดเต้นแต่ทำเป็นนิ่งนั่งหน้าง้ำคิดว่าแม่นายใจเดียวจะเข้ามาดู หากแต่กลับได้ยินเสียงเปิดเข้าไปในห้องน้ำทำเอาคนที่หัวใจลิงโลดอยู่เมื่อครู่ทำหน้าจ๋อยล้มตัวลงนอนหันหลังให้ “เด็กขี้เซา” แม่นายใจเดียวพูดขึ้นและจูบเบาๆ ไปที่แก้มและล้มตัวลงนอนโดยโอบกอดปรายฝนจากทางด้านหลัง คนที่ทำเป็น แกล้งนอนหลับอมยิ้มเมื่อแม่นายใจเดียวกระชับอ้อมกอดอีกเล็กน้อยจนคางเชยอยู่ที่ไหล่ “ฝันดีค่ะ” ปรายฝนพูดพึมพำ “ฝันดีเด็กขี้เซา” แม่นายใจเดียวบอกและจูบเล็กๆ ไปที่ไหล่ ปรายฝนรู้สึกยังไม่อยากหลับ แต่อยากซึมซับอ้อมกอดของคนที่ท่า ทางคงจะหลับไปแล้ว เพราะกลับเข้าห้องมาค่อนข้างดึกและนึกขำตัวเองที่คิดฟุ้งซ่านบ้าบอเรื่องของแม่นายแพรพรรณ จนรู้สึกโกรธนอนหันหลังให้อยู่ตั้งแต่ได้ยินเสียงประตูห้องแม่นายใจเดียวเปิด โดยไม่รู้เลยว่าจะเปิดล็อกไอ้เจ้าประตูที่กั้นระหว่างทั้งสองห้องหรือไม่ แต่ ณ เวลานี้อ้อมกอดอันอบอุ่นทำให้ปรายฝนรู้สึกสบายใจ “ปรายรักแม่นายนะ” ปรายฝนพูดขึ้น “แอบพูดจะได้ยินไหม บอกกันตรงๆ ก็ได้” แม่นายใจเดียวยิ้ม “นอนได้แล้วค่ะ เดี๋ยวก็ไม่สบายเหม็นเหล้าจะแย่” ปรายฝนพูดบ่น “หันมาหน่อยอยากเห็นแววตาสวยๆ” แม่นายใจเดียวกระซิบบอก “แกล้งปรายใช่ไหมล่ะทำเป็นนอนเงียบเลย” “ปรายแกล้งคุณก่อนนี่ คุณยังอยากเป็นเพื่อนกับแพรเหมือนที่เป็นเพื่อนกับรส คุณอยากให้ปรายคิดแบบนั้น แม่นายมีแค่ใจเดียวชื่อก็ออกจะชัดเจน” แม่นายใจเดียวพูดด้วยน้ำเสียงงอนๆ จ้องมองแววตาของคนที่จ้องเขม็งอยู่ “ในใจมีใครล่ะคะ” ปรายฝนถาม “มีเม็ดฝนที่หยดลงพื้น ปรายๆ เม็ดฝนน่ะ” แม่นายใจเดียวยิ้ม “คิดไปเยอะแล้ว ตอนที่มาอาบน้ำนอนก่อน หวงมากด้วย” “รู้ว่าคิดมากไง ถึงได้มานอนเบียดอยู่นี่ ซื้อเตียงให้ใหม่ดีกว่าไหม” “แม่นายก็ไปนอนเตียงแม่นายสิคะ จะได้นอนสบาย” ปรายฝนบอก “หนาวตายพอดี” แม่นายใจเดียวพูดขึ้นแล้วยิ้มๆ “อยู่มาได้ตั้งนาน ไม่เห็นตายเลย” “ถ้าปรายไม่รักอาจจะตายก็ได้นะ” แม่นายใจเดียวจูบคนที่ยิ้มๆ อยู่ “ไปนอนห้องโน้นไหมจะได้นอนสบายๆ” “ก็ไม่ได้แก่ขนาดนั้นปะ เบียดๆ แบบนี้ดีแล้ว ปรายรำคาญไหม” “กล้าถามเดี๋ยวกัดปากเลย” ปรายฝนทำหน้างอ “ใจร้าย ดื่มเหล้าเยอะไปมึนหัวเลย มีแฟนเด็กเลยคิดว่าตัวเองอายุสามสิบ” แม่นายใจเดียวพูดยิ้มๆ “ทานยาไหม แล้วอีกสองคนล่ะคะ” ปรายฝนถาม “นอนกองรวมกันอยู่ ไตรช่วยพาเข้านอน” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น “อยากไปกองรวมอยู่กับเขาบ้างล่ะสิ” “ชอบหาเรื่อง คุณต่างหากที่ควรหึงปราย” “ก็บอกแล้วว่าปรายเป็นเด็กไม่น่ารัก ขี้หึง ขี้หวง รู้เอาไว้ด้วยล่ะ” ปรายฝนทำหน้างอจ้องมองแม่นายใจเดียว “คุณเป็นผู้ใหญ่ที่ชอบปราบเด็กขี้หึง ขี้หวง สมกันดีเนอะ” “ช่างพูดขึ้นนะคะ” ปรายฝนพูดยิ้มๆ “ถ้าเราไม่ช่างพูดช่างคุยกัน เราก็คงไม่บอกความรู้สึกและงอนกันไม่มีสาระ ซึ่งน่าอายสำหรับคนวัยคุณนะ” “น่ารักดีออกค่ะ นอนได้แล้ว ปรายกอดให้นะจะได้หลับสบาย” “ขอบคุณนะ ปราย” แม่นายใจเดียวบอกและขยับตัวเอาใบหน้าแนบชิดกันเนินอกของปรายฝนก่อนจะหลับไป ปรายฝนจัดเตรียมอาหารเช้าให้รสสุคนธ์กับแม่นายแพรพรรณที่ตื่นสายท่าทางคงดื่มกันหนักเมื่อคืน กาแฟหอมกรุ่นแบบเข้มข้น ทำให้ทั้งสองรู้สึกสดชื่นขึ้น แพรพรรณมองดูใจเดียวที่ขี่จักรยานเคียงข้างไปกับปรายฝนรอยยิ้มจางๆ นั้น รสสุคนธ์สังเกตเห็น “ปล่อยวางบ้างเถ๊อะ แก่งแย่งกันไปมาใช่ว่าจะมีความสุข ทำไมถึงไม่หาคนของตัวเองล่ะ ออกจะสวยสะพรั่งเสียขนาดนี้ ข้า ราชการชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัดถามถึงเธอตลอดเลยนะ แพร” รสสุคนธ์ถอนใจ “แพรไม่น่ายึดมั่นคำสัญญาที่ให้กับเดียวเลยนะ ว่าจะไม่มายุ่งเกี่ยววุ่นวายที่ไร่นี้อีก ถ้ามาก่อนหน้าบางทีเดียวอาจจะเห็นใจ” น้ำเสียงที่ได้ยินทำให้รสสุคนธ์แปลกใจ เพราะฟังดูเหมือนจะยอมแพ้เด็กสาวคนนั้น “เดียวปางตายเลยนะ ครั้งนั้น ดีที่การทำงานหนักช่วยเอาไว้แถมไร่ก็ขยายใหญ่ขึ้น ถ้ายังดันทุรังจะไม่เสียแค่อดีตคนรัก แพรจะ เสียเพื่อนรักไปด้วย รสเองก็จะเข้าหน้าลำบากด้วยกันทั้งสองฝ่าย หากเดียวไม่อยากมีแพรเป็นเพื่อน” รสสุคนธ์บอก แต่แพรพรรณรู้ดี ว่านั่นเป็นการขู่ด้วย “แพรยังไม่เลิกรักเดียวเลยนะ รส” แพรพรรณพูดขึ้น “รักของแพร กับรักของเดียวต่างกัน รสว่าคงกลับมาผสานให้เหมือน เดิมคงยาก แพรไม่สังเกตเห็นแววตาของเดียวหรือ เวลาที่ มองหรือยิ้มๆ ให้ นังหนูปรายฝน ความสุขออกจะชัดเจนขนาดนั้น” รสสุคนธ์พยายามาพูดจาหว่านล้อมหวังว่าแพรพรรณจะเข้าใจกับการที่ใจเดียวเลือกเดินไปข้างหน้ากับปรายฝน โดยทิ้งความรักครั้งเก่าที่เป็นอดีตไปแล้ว “รสคิดหรือว่า เด็กคนนั้นจะอยู่ที่นี่ได้นาน ไหนจะผู้ชายที่มาหายังมีพ่อแม่พี่น้องอีกเท่าไรก็ไม่รู้ ไม่ห่วงหรือว่า เดียวจะเป็นอย่างไร” “หน้าที่ของเพื่อน คือ ช่วยเหลือ ประคับประคองและปลอบโยนหรืออะไรก็ได้ที่ทำให้เดียวมีความสุข หากทุกข์เราก็หาวิธีให้เบา บางลงได้ รสเคยมีประสบการณ์ รสคงดูแลเดียวได้เหมือนตอนที่แพรแต่งงาน” “แพรไม่อยากให้พ่อกับแม่ไปวุ่นวายกับเดียว ตอนพ่อยายแพรเข้ามาทำให้เราคิดว่า ชีวิตคงดีกว่าหากแต่งงานกับผู้ชายสักคน ที่มีฐานะ” “เดียวลืมไปแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นอย่าได้หวังเลยว่าจะเข้ามาที่ไร่นี้ได้ อะไรที่มันแล้วก็ให้แล้วกันไป วันหนึ่งแพรก็จะเจอคนของแพรเอง หรือถ้าไม่มีก็ใช้เงินเดินทางท่องเที่ยวของเราไป เพราะยายจันท่าทางจะจริงจังเรื่องปรับปรุงดูแลไร่ต่อเห็นเดียวบอกอย่าง นั้น นายไตรด้วย" รสสุคนธ์บอกทำให้แพรพรรณนึกถึงทิวารีขึ้นมา “แพรกลับก่อนดีกว่า เดี๋ยวเย็นๆ จะแวะมากินฝีมือแม่ครัวใหญ่” “อ้าวนึกจะไปก็ไปซะงั้น” รสสุคนธ์มองตามแพรพรรณที่จู่ๆ ก็หุนหันออกไปทั้งๆ ที่คุยกันอยู่ดีๆ ปรายฝนมองดูมะเฟืองสีเหลืองทองท่าทางน่าอร่อย แม่นายใจเดียวหันมายิ้มๆ เด็ดและส่งให้ผลหนึ่ง ปรายฝนมองดูก่อนจะรับ มาและกัดกร้วมเสียคำใหญ่ ความหว่านชุ่มช่ำอร่อยเสียจนถึงกับทำตาลุกวาวเลยทีเดียว “เกิดมาไม่เคยกินมะเฟืองอร่อยเท่านี้มาก่อนเลยค่ะ” ปรายฝนพูดขึ้นทำเอาคนดูแลยิ้มกันเป็นแถว “คนตะกละ กินอะไรก็อร่อยไปหมดแหละ” แม่นายใจเดียวหัวเราะ แต่เมื่อได้ยินเสียงเรียกจากวิทยุติดต่อทำให้ปรายฝนยิ้มจางๆ เมื่อได้ยินว่ามีโทรศัพท์มาจากทางบ้าน “ปรายไปรับโทรศัพท์ก่อนนะคะ น่าจะเป็นพ่อโทรฯ มา” ปรายฝนยิ้มจางๆ มองสบตากับแม่นายใจเดียว “คุณไปด้วยดีกว่า ไปเร็วๆ ให้ผู้ใหญ่รอไม่ดี” แม่นายใจเดียวโอบไหล่ปรายฝนเพื่อเป็นการให้กำลังใจ บางทีอาจไม่มีเรื่องอะไร เพียงแค่โทรศัพท์มาถามไถ่เหมือนครั้งก่อน แต่ครั้งนี้ที่ทำให้ปรายฝนรู้สึกกังวลคงเป็นเรื่องที่ดวงฤทธิ์มาหาและคงโกรธมากไม่รู้ไป ฟ้องอะไรบิดาหรือเปล่า “สวัสดีค่ะ ปรายค่ะ” ปรายฝนพูดทักทายเพราะมั่นใจว่าเป็นบิดา “ปราย อาเอง” ปรายฝนหน้าถอดสี เมื่อได้ยินว่าคนที่โทรศัพท์มาเป็นใคร เพราะปกติไม่ค่อยได้พูดคุยกับเพื่อนสนิทของบิดาซึ่งเป็นแพทย์นักแม่นายใจเดียวมองดูด้วยความแปลกใจ เพราะสีหน้าปรายฝนดูกังวล “พ่อเป็นอะไรคะ อาหมอ” ปรายฝนถาม แต่ปลายสายเงียบไปยิ่งทำให้หวั่นใจ เพราะครั้งที่สูญเสียมารดาก็ได้รับโทรศัพท์ใน ลักษณะนี้เช่นกัน “ไม่ใช่อย่างที่ปรายคิดใช่ไหมคะ อาหมอ” ปรายฝนเริ่มมีน้ำตาไหลรินออกมาเพราะปลายสายไม่ยอมพูดอะไร “พ่อปรายหัวใจวายเฉียบพลันและเสียชีวิตแล้ว อาอยากให้ปรายรีบกลับมาทันที” ปรายฝนน้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย โทรศัพท์ที่ ถืออยู่หลุดล่วงจากมือเมื่อได้ยินว่า บิดาเสียชีวิตแล้ว แม่นายใจเดียวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และกอดปรายฝนที่ร้องไห้จนตัวสั่นและร้อง หนักขึ้นเรื่อยๆ แม่นายใจเดียวมองสบตากับปลาและกลอยที่พอจะรู้ว่าต้องทำอย่างไร จึงเดินเลี่ยงออกมาปล่อยให้แม่นายใจเดียว ปลอบโยนปรายฝนตามลำพัง “มีเรื่องอะไรกัน” รสสุคนธ์ได้ยินเสียงคนร้องไห้ดังไปถึงเรือนพักที่อยู่ใกล้ๆ กับสำนักงานจึงรีบมาดู “ยังไม่ทราบแน่ชัดค่ะ แต่หนักหนาอยู่ เพราะร้องไห้กอดแม่นายไว้แน่นเลยค่ะ” กลอยพูดเสียงอ่อยๆ “ปล่อยให้เขาปลอบกันไปก่อน เราออกไปนั่งรอที่โน่นดีกว่า” กลอยกับปลาทำตามที่รสสุคนธ์บอก “มีอะไรบอกคุณสิ” แม่นายใจเดียวถามปรายฝนที่กอดเอาไว้แน่น “พ่อเสียค่ะ ปรายคงต้องกลับกรุงเทพเดี๋ยวนี้” ปรายฝนบอก “คุณไปด้วย ถ้าหาตั๋วเครื่องบินไม่ได้ คุณจะขับรถพาปรายไปหาพ่อเอง ตอนนี้ตั้งสติให้ดีว่าต้องทำอะไรหรือโทรศัพท์หาใครจะ ได้จัดการก่อนออกเดินทาง “ปรายอยากไปเดี๋ยวนี้เลย” ปรายฝนยังคงร้องไห้อยู่ “ปรายฟังคุณนะ ไปล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดดำ ถ้าไม่มีไปเอาที่ตู้เสื้อผ้าคุณ ปรายจัดการตัวเองจัดกระเป๋าเสื้อผ้าให้เรียบ ร้อย คุณจะให้กลอยกับปลาจัดการเผื่อหาตั๋วเครื่องบินได้จะได้ไปถึงเร็วขึ้น ไปนะคนดีไปล้างหน้าแล้วแต่งตัวคุณจะไปกับปรายทุกที่” แม่นายใจเดียวพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงทำให้ปรายฝนอุ่นใจ เพราะถ้าไม่มีแม่นายใจเดียวยังไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะต้องทำอะไร อย่างไรบ้าง รสสุคนธ์เข้าไปในสำนักงานและโทรศัพท์หาแพรพรรณที่น่าจะพอหาตั๋วเครื่องบินให้ได้ ซึ่งเพียงไม่นานนักแพรพรรณก็จัดการ ให้เรียบร้อย “ยายปรายเอ๊ย” แพรพรรณถอนใจ “มีอะไรหรือคะ” ทิวารีถาม “พ่อปรายเสีย เจ้าตัวเลยต้องรีบกลับกรุงเทพ ฉันจัดการเรื่องตั๋วให้เรียบร้อยแล้ว น่าสงสารเสียจริงมาอยู่ไกลบ้าน” แพรพรรณ ถอนใจ ทิวารียิ้มน้อยๆ ดีใจที่ได้ยินแพรพรรณพูดคล้ายห่วงใยในตัวปรายฝน “แม่นายแพรสนิทกับแม่นายใจเดียว ไม่ตามไปช่วยงานศพล่ะคะ” ทิวารีพูดขึ้น แพรพรรณทำท่าคิด “ค่อยตามไปดีกว่า เดี๋ยวถามยายจันว่าจะไปด้วยหรือเปล่า ทิล่ะจะไปด้วยไหม” แพรพรรณถาม “ถ้าจันไป ทิอยู่ดูงานที่นี่ดีกว่า ถ้ามีอะไรจะปรึกษาหัวหน้าคนงานแต่หากตัดสินใจอะไรไม่ได้ ทิจะโทรฯ หาแม่นายแพรหรือจัน อีกที” แพรพรรณยิ้มๆ กับการจัดการที่ได้ยินทิวารีบอกออกมา “เอาอย่างนั้นก็ดี ขอบใจมากนะ ทิ” แพรพรรณเข้าสวมกอดทิวารีเอาไว้และรีบเดินไปที่ไร่ใจเดียวทันที เพราะถึงแม้ช่วยอะไรได้ ไม่มากนักแต่อยากไปเป็นกำลังใจให้ปรายฝนและใจเดียว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม