แม่นายใจเดียวถอนใจ แต่ความรู้สึกจากสัมผัสอ่อนโยนทำให้ยอม คล้อยตามโดยปล่อยให้ปรายฝนคลอเคลียชิดใกล้ แม้ก่อนหน้าจะห้ามใจเอาไว้ได้ แต่ครั้งนี้หัวใจที่เคยว่างเปล่าได้มีสาวน้อยเข้าไปยึดครองพื้นที่ในหัวใจเอาไว้ ถึงจะรวดเร็วแต่ความรู้สึกผูกพันแน่นแฟ้นมีมากมายเสียจนลืม ความเป็นผู้ใหญ่ในตัวไปเลยทีเดียว
“ปรายถอดเสื้อให้นะคะ” ปรายฝนกระซิบบอกแล้วจูบเบาๆ ที่แก้ม แม่นายใจเดียวพยักหน้าเล็กน้อย
เรือนร่างเปลือยเปล่าเคลิ้มไหวไปกับสัมผัสของหญิงสาวที่จ้องมองอย่างไม่วางตาคล้ายอยากบันทึกทุกสัดส่วนเอาไว้ จุมพิตที่กำลังทาบทับที่หน้าท้องทำเอาแม่นายใจเดียวถึงกับหยุดหายใจ ปรายฝนคลอเคลียไม่ยอมออกห่าง โดยค่อยๆ จุมพิตไปตามเรือนร่าง จนแม่นายใจเดียวรู้สึกร่างกายอ่อนแรง แต่หญิงสาวตัวเล็กๆ ซึ่งมีเรือนร่างแสนน่ารักน่าเอ็นดูเสียจนทำให้แม่นายใจเดียวพลิกตัวให้ปรายฝนนอนลง โดยเอาตัวเองทาบทับเอาไว้ไม่ ให้ถอยห่างไปไหน สายตาของทั้งคู่ผสานกันปรายฝนค่อยๆ บรรจงเขี่ยเส้นผมแม่นายใจเดียวที่ลงมาปรกหน้าและนำไปทัดไว้ที่หู จุมพิตร้อนแรงเริ่มเบียดชิดเข้าหาโดยปรายฝนตอบรับอย่างร้อนแรงปนเปกับอ่อนหวาน ซึ่งนั่นชวนให้หลงใหลมากยิ่งขึ้น เสียงครวญครางเบาๆ ทำให้แม่นายใจเดียวจุมพิตไปบนเรือนร่างที่ไร้อาภรณ์ของปรายฝนอย่างทะนุถนอม โดยค่อยๆ ทาบทับริมฝีปากไปบนผิวอันอ่อนนุ่มและอบอุ่น ก่อนกดทับลงไปอีกเล็กน้อย โดยเฉพาะบนเนินอกที่สมสัดส่วนกับเรือนร่างผอมบาง แม่นายใจเดียวใช้ปลายลิ้นลูบไล้ไปจนถ้วนทั่วเสียงหอบหายใจแรงๆ ของปรายฝนยิ่งทำให้แม่นายใจเดียวอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น ยอกย้อนยั่วเย้าอยู่ที่เนินอกอย่างหลงใหล ปรายฝนยิ้มและถอนใจปิดหน้าปิดตาด้วยความเขินอาย เมื่อเห็นแม่นายใจเดียวจ้องมองปฏิกิริยาของตัวเองคงอยากสำรวจความรู้สึก ปรายฝนไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเนินอกเมื่อถูกสัมผัสอ่อนโยนผ่านเข้ามาจะทำให้รู้สึกดีมากมายขนาดนี้ จึงขยับร่างกายเบียดชิดเข้าหาจุมพิตของแม่นายใจเดียว ยิ่งถูกบีบเค้นจากมืออันร้อนผ่าวยิ่งยั่วเย้าให้รุกเร้ามากขึ้น โดยปรายฝนเองก็รุกเร้าด้วยการใช้ปรายนิ้วหยอกล้อไปที่จุดเล็กๆ บนเนื้อเนินนูนที่หน้าออก ซึ่งบางครั้งทำเอาแม่นายใจเดียวหยุดชะงักไปชั่วครู่ หยดน้ำเม็ดเล็กๆ เริ่มผุดบนเรือนร่างของทั้งสองที่ไม่ยอมออกห่างจากกัน โดยผลัดกันมอบความสุขให้ด้วยการโล้มเล้าเว้าวอนอย่างอ่อนหวาน ปรายฝนปล่อยให้ความสุขแทรกผ่านเข้าไปในเรือนร่างที่ขยับร่างกายเพื่อสอดผ่านเป็นหนึ่งเดียว โดยมอบความสุขที่น่าหลงใหลให้กับแม่นายใจเดียวที่จ้องเขม็ง จนสัมผัสเข้ากับเจ้ารอยยิ้มที่มุมปากอันทรงเสน่ห์ ความซุกซนที่สอดแทรกเข้าไปสำรวจภายในเริ่มบอกเล่าความรู้สึกของกันและกัน ด้วยการเคลื่อนไหวไปตามจังหวะรักที่กำลังทำให้ร่างกายรู้สึกเสียวซ่านไปในทุกอณูบนเรือนกาย ถึงแม้จะเปลือยเปล่าแต่ความหนาวเย็นไม่สามารถแทรกผ่านเข้ามาได้ เพราะความอบอุ่นที่มอบให้กันและกันทำให้ร่างกายถูกไฟรักเผาผลาญจนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ปรายฝนจุมพิตอย่างอ่อนหวาน เมื่อรู้สึกว่า ความสุขได้แผ่ซ่านไปทั่วร่าง แววตาอ่อน หวานทำให้ปรายฝนยิ้มอายๆ ค่อยๆ ประคองตัวแม่นายใจเดียวให้ล้มตัว ลงนอน ก่อนเอาตัวแนบชิดเอาไว้อยากอยู่แบบนี้ให้เนิ่นนาน ถึงแม้ห่วงเวลาแห่งความสุขจะผ่านไปแล้วก็ตาม แต่เสน่ห์ของการได้ตะกองกอดกันและกัน ถึงจะไม่ได้มอบความตื่นเต้นเร้าใจ แต่ได้ทำหัวใจอบอุ่นสุขสงบได้อย่างน่าประหลาดใจทั้งที่ความเย้ายวนอันตื่นเต้นเพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่วนาที จุมพิตอ่อนโยนของแม่นายใจเดียวทาบทับไปที่หน้าผากของปรายฝนที่หลับตาพริ้ม ด้วยอยากซึบซับความรู้สึกทั้งหมดที่ได้รับเอาไว้ในส่วนที่เรียกว่า ความทรงจำ
“แม่นายสวยมาก” ปรายฝนพูดพึมพำทั้งๆ ที่ยังไม่ลืมตา
“ริ้วรอยเหี่ยวย่นเต็มไปหมดแล้ว” แม่นายใจเดียวพูดขึ้นและดึงตัวปรายฝนมากอดเอาไว้
“แต่ปรายชอบ” ปรายฝนพูดยิ้มๆ เมื่อเห็นแม่นายใจเดียวยิ้มอายๆ ขณะมองสบตากัน
“แต่คุณหลงรักปรายเข้าให้แล้ว” แม่นายใจเดียวบอก
“จริงนะ ถ้าอย่างนั้นอย่าไล่ปรายไปไหนสิ” ปรายฝนพูดเสียงอ่อยๆ
“บางที่อาจจะไม่เหมาะกับเราก็ได้นะ ปราย” แม่นายใจเดียวบอก
“ปรายขี้เหวี่ยงจะตายไป แต่อยู่ที่นี่ไม่เห็นเป็นกลายเป็นคนดีเฉยเลย แม่นายรู้ไหมไม่เคยมีใครมองปรายเหมือนที่แม่นายมอง ยิ่งสายตาชื่นชมกับคำพูดที่ได้รับจากคนงานทำให้ปรายเกิดความภูมิใจในตัวเอง แม่นายไม่คิดหรือว่าที่นี่เป็นที่ของปราย คนก็เป็นของปรายด้วย” ปรายฝนพูดบ่นพึมพำโดยเฉพาะคำว่า คนของปราย
“เรื่องขี้เหวี่ยงก็มีบ้าง เอาแต่ใจตัวเองดูมือสิ ถ้าไม่เปิดคงเคาะจนนิ้วหักเลยมั้ง เด็กดื้อ” แม่นายใจเดียวแกล้งดุ แต่ก็ยิ้มออก
“แต่เมื่อกี้ไม่ดื้อเลยนะ” ปรายฝนพูดขึ้น
“จะนอนนี่หรือกลับไปนอนที่ห้องล่ะ”
“กว่าจะได้มานอนกอดยากเย็นแสนเข็ญ เรื่องอะไรจะกลับไปนอนที่ห้องล่ะคะ แม่นายต้องกอดเอาไว้จนหลับเลยด้วย ตอนแม่นายโกรธปรายจะตรอมใจตายอยู่แล้ว” ปรายฝนยิ้มเขินอายกับคำพูดของตัวเอง
“ถอดเสื้อเข้ามาหาเนี่ยน่ะ บอกว่าตรอมใจ ซุกซนจะตาย”
“ถ้าปรายไม่ถอด แม่นายจะยอมถอดก่อนไหมล่ะ ตอนถอดก็ไม่ยอมทำไรยังเอาเสื้อมาใส่กลับคืนอีก” ปรายฝนพูดด้วยน้ำเสียง
งอนๆ
“จริงๆ แล้ว คุณแอบกลัว แค่คิดว่าไม่มีปรายหัวใจก็โหว่งๆ เลย”
“พี่ฤทธิ์ไม่ใช่แฟนปราย ส่วนเขาจะพูดอะไรเรื่องของเขา ปรายยืน ยันว่าไม่เคยโกหก ปรายบอกเลิกไปก่อนที่ปรายจะมา เพราะ
ฉะนั้นแม่นายจำใส่ใจเอาไว้ด้วยล่ะว่า คุณผู้ช่วยโสด ยกเว้นคนแก่จะบอกรัก” ปรายฝนยิ้ม
“บอกไปแล้ว นอนได้แล้ว คุณเหมือนโดนเด็กดูดพลังเลย” แม่นายใจเดียวยิ้มก่อนจะหัวเราะออกมา ปรายฝนเบียดตัวเข้าหา
แล้วยิ้มๆ เมื่อนึกถึงมารดาที่เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว ท่านคงมีความสุขถ้าได้รู้จักแม่นายใจเดียวคนที่ลูกสาวของท่านหลงรัก
“แม่นายนั่นแหละดูดพลังไปเยอะกว่า อยากเป็นสาวสองพันปีล่ะสิถึงได้ร้อนแรงดูดพลังไปจนหมด” ปรายฝนหัวเราะเล็กๆ แต่เมื่อได้ยินเสียงเต้นของหัวใจแม่นายใจเดียวทำให้ยิ้มออกและตั้งใจฟังไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหลับไป
เสียงเคาะประตูห้องนอนของแพรพรรณดังขึ้น รอยยิ้มเปร่งประกายออกมาทันที เพราะรู้ดีว่าคนที่ยืนอยู่ด้านนอกเป็นทิวารี
“เข้ามา” แม่นายแพรพรรณพูดเสียงเรียบ
“ล็อกประตูด้วย” เสียงเรียบนิ่งกว่าเดิมทำเอาทิวารียืนนิ่ง
“ให้ทิออกไปก่อนไหมคะ” ทิวารีถามเสียงอ่อยๆ
“เข้ามาสิ” แม่นายแพรพรรณตบเบาๆ ที่เตียงด้านข้างตัวเองที่ว่างเปล่าอยู่ ทิวารียิ้มน้อยๆ และเริ่มปลดกระดุมเสื้อนอนของตัวเอง แต่คนที่ยิ้มให้จับมือเอาไว้
“แค่กอดก็พอแล้วล่ะ” แม่นายแพรพรรณพูดขึ้น ทิวารีถอนใจ
“กลัวแม่นายไร่โน้นรู้หรือคะ ว่าเลี้ยงทิเอาไว้” ทิวารีถาม
“อยากให้ฉันเลี้ยงเธอหรือ”
“ใครๆ รู้เข้าคงคิดอย่างนั้นค่ะ” ทิวารีพูดขึ้น
“ฉันรู้สึกดีกับเธอมาก คืนนั้น แต่ฉันยังรักแม่นายใจเดียวอยู่”
“ทิทราบค่ะ ทิไม่ได้เรียกร้องอะไร ถ้าแม่นายแพรเรียก ทิจะขึ้นมา แต่ถ้าไม่ ทิจะอยู่แค่ในที่ของทิ” ทิวารีบอก ขณะแนบใบหน้า
ไปกับหน้าอกของแม่นายแพรพรรณที่กระชับอ้อมกอดเล็กน้อย
“ทำตัวเป็นนางทาส เธอไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นเลย ไม่ต้องยอมฉันก็ได้” แม่นายแพรพรรณพูดขึ้น
“ทิไม่คิดว่าจะรู้สึกอะไร แต่คืนนั้น”
“น่าแปลกทั้งๆ ที่เป็นความใคร่ล้วนๆ สิ เธอคิดอย่างนั้นหรือหวังว่าจะได้อะไรตอบแทน” แม่นายแพรพรรณถาม
“งานที่ได้ทำกับจัน ก็ดีเกินตัวทิแล้วล่ะค่ะ ป้าดีใจใหญ่เลยที่ไม่ต้องทำงานแต่ได้เงินเดือน แม่นายแพรไม่ต้องรักทิก็ได้ แต่ทิขอรักได้ไหมคะ”
“เพราะเธอเจียมตัว ฉันถึงได้เอ็นดู ถ้ายายจันรู้แล้วขึ้นมานอนเสียข้างบนทุกวันเลยดีกว่าเนอะ” แม่นายแพรพรรณหัวเราะ
“เผื่อวันไหนอยากพาแม่นายใจเดียวมาล่ะคะ”
“ไปที่ไร่โน้นสิ ไร่นี้มีไว้สำหรับเธอ ดีไหมล่ะ นอนได้แล้วแม่คนเจียมเนื้อเจียมตัว ขอบใจที่มาช่วยทำให้ฉันไม่รู้สึกโดดเดี่ยว” แม่
นายแพรพรรณยิ้มๆ และกระชับอ้อมกอดด้วยอยากให้คนที่ถูกกอดอยู่รู้สึกดีเหมือนที่ตัวเองกำลังรู้สึกอยู่
ปรายฝนเดินยิ้มออกมาจากห้องพัก ปลากับกลอยเห็นเข้าถึงกับขมวดคิ้วจ้องมอง เพราะเมื่อวานหน้าตาดูบูดบึ้งเสียจนเป็นห่วง
“หรือว่าเมื่อคืนนอนที่เรือนรับรองแขก” ปลาพูดขึ้น กลอยรีบปิดปากปลาเอาไว้เพราะเกรงว่า แม่นายใจเดียวจะมาได้ยินเข้า
“พูดซะดังเลย เดี๋ยวแม่นายได้ยินเข้าหรอก” กลอยพูดดุ
“ซุบซิบอะไรกัน” เสียงของแม่นายใจเดียวที่ดังมากจากบ้านพักทำให้ทั้งปลาและกลอยยิ้มเจื่อนๆ ปรายฝนได้ยินเข้าเลยหยุด
ยืนยิ้มอยู่บริเวณด้านหน้าสำนักงาน
“คุยงานกันนิดหน่อยค่ะ แม่นาย” ปลารีบบอก
“เหมือนนินทาใครนะ เราน่ะ อย่าให้รู้ล่ะ” แม่นายใจเดียวพูดว่าแต่เมื่อหันไปมองสบตากับปรายฝนสองคนก็ยิ้มๆ ให้กัน ปรายฝนส่ายหน้ากับเจ้านายที่แกล้งดุลูกน้องแต่เช้า
“สวัสดีตอนเช้าครับ แม่นาย” เสียงของดวงฤทธิ์ทำให้ปรายฝนหันไปมอง เพราะไม่คิดว่าจะเข้าไปทักทายพูดคุยกับแม่นายใจเดียว
“ดื่มกาแฟหรือชาดีคะ” แม่นายใจเดียวถาม ดวงฤทธิ์ยิ้ม เมื่อเห็นแม่นายใจเดียวท่าทางดูเป็นมิตรกว่าเมื่อวานที่มาถึง
“กาแฟครับผม” ดวงฤทธิ์ยิ้มให้
“เดี๋ยวปรายจัดการให้ค่ะ” ปรายฝนอาสารีบเดินเข้าไปในสำนักงาน โดยมีปลากับกลอยเดินเลี่ยงตามเข้าไปทันที
“จะกลับวันเช้านี้เลยหรือคะ ไม่อยู่พักผ่อนสักวันสองวันให้ปรายพาเที่ยวให้ทั่วไร่ก่อนล่ะคะ” แม่นายใจเดียวพูดคุยกับดวงฤทธิ์
ที่เงยหน้ามายิ้มให้ปรายฝนซึ่งนำกาแฟมาให้
“พ่อปรายไม่ค่อยสบายครับ เลยให้พบมาตามและพากลับ”
“คุยกันแล้วหรือคะ” แม่นายใจเดียวถามทำเอาดวงฤทธิ์นิ่งไป
“ยังครับ แค่เกริ่นๆ บอกไป แต่ปรายไม่ได้บ่ายเบี่ยงนะครับ”
“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นไปทานอาหารเช้ากันดีกว่าค่ะ เชิญที่โรงอาหารได้เลยนะคะ เดี๋ยวปรายคงมาพาไป” แม่นายใจเดียวบอกแล้ว
เอ่ยขอตัว
“เดี๋ยวครับ ผมมีเรื่องรบกวนอยากให้แม่นายช่วยเป็นพยานให้ผมหน่อย” ดวงฤทธิ์พูดขึ้น เมื่อมองเห็นคนเดินไปมากันอยู่พอ
สมควร จึงเดินไปหาปรายฝนที่งงๆ เมื่อมองเห็นดวงฤทธิ์เดินมาหาและกำลังคุกเข่าลงตรงหน้าพร้อมกับหยิบแหวนเพชรออกมา
จากกระเป๋าเสื้อ
“จะบ้าหรือพี่ฤทธิ์” ปรายฝนพูดเสียงอ่อยๆ คนเริ่มเดินเข้ามาดูเมื่อเห็นชายหนุ่มคุกเข่าแล้วหยิบแหวนมาให้ปรายฝนดู แม่นาย
ใจเดียวก็เช่นกันที่จ้องมองไม่วางตา แม้มีรถยนต์ขับเข้ามาจอดจนมีคนลงมายังไม่มีใครสนใจเลยว่าเป็นใคร
“ไม่บ้า แต่งงานกับพี่นะ พ่อรับทราบแล้วก่อนที่พี่จะมาขอปราย”
“พี่ฤทธิ์ปล่อยมือปรายเดี๋ยวนี้นะ” ปรายฝนพูดดุแล้วพยายามดึงมือออกจากการเกาะกุมของดวงฤทธิ์
“อย่าให้เขาสวมนะ นังหนูปราย เพราะต้องมาแก้ไขทีหลัง คนอื่นเขาไม่เข้าใจหรอก” เสียงตะโกนที่ดังแว่วๆ ทำเอาดวงฤทธิ์
รู้สึกไม่พอใจเลยหันไปจ้องเขม็ง
“ปล่อยค่ะ” ปรายฝนพยายามดึงมือออก แต่ดวงฤทธิ์ไม่ยอม จนเจ้าของไร่เดินมา แล้วดึงมือของปรายฝนออกจากมือของดวง
ฤทธิ์ที่ลุกขึ้นยืนด้วยความไม่พอใจสักเท่าไรนัก เพราะการปฏิเสธเหมือนเป็นการหักหน้า
“มีคนสวมแหวนให้ปรายแล้ว พี่ฤทธิ์จะมาบังคับปรายแบบนี้ไม่ได้” ปรายฝนยื่นมือให้ดวงฤทธิ์เห็นที่นิ้วนางข้างซ้ายมีแหวนสวม
อยู่ เพชรเม็ดเล็กแต่ส่องประกายแวววาวยามเมื่อโดนแสงสาดส่อง
“ไอ้หนุ่ม เขาปฏิเสธแล้ว ถือว่าจบนะ” รสสุคนธ์เดินเข้ามาขวางทั้งใจเดียวและปรายฝนเอาไว้
“ไม่จบครับ เพราะยังไงปรายก็ต้องแต่งกับผม” ดวงฤทธิ์พูดขึ้น
“แต่ปรายหมั้นไปแล้ว”
“ก็ถอดวงนั้นออก ใส่ของผมถึงจะจบครับ” คนที่ได้ยินถึงกับหันมามองสบตากัน เมื่อได้ยินความเอาแต่ใจของดวงฤทธิ์ ซึ่งเคย
จำภาพพระเอกแสนดีเอาไว้
“นังหนูปรายจะถอดไหม” รสสุคนธ์ถาม
“ไม่ค่ะ” ปรายฝนพูดเสียงดังฟังชัด เพราะหากไม่ชัดเจนมีหวังคงถูกบังคับให้กลับบ้าน
“แม่นายเราร้ายกว่านะ ว่าไหมพี่ไตร” กลอยหัวเราะ เมื่อไตรมายืนสมทบอยู่ข้างๆ เพราะเห็นคนมามุงดูกันอยู่ไม่ไปรับประทาน
อาหารเช้ากัน
“แหวนที่ใส่น่ะ หรือ”
“จะของใครอีกล่ะ พี่ไตร วงที่แม่นายใส่อยู่ประจำไงน่ะ แค่เปลี่ยนไปอยู่ที่นิ้วนางปราย พระเอกของเราไปไม่เป็นเลยทีเดียว คุณ
รสก็ชั่งเลือกเวลามาดีแท้” กลอยพูดขึ้น
“ตกลงไอ้หนุ่มรูปหล่อเป็นแฟนปรายหรือเปล่า” รสสุคนธ์ถาม
“เปล่าค่ะ น้ารส” ปรายฝนพูดชัดเจน
“ได้ยังไง ปรายเป็นแฟนกับพี่มาตั้งหลายปีแล้วนะ” ดวงฤทธิ์บอก
“แต่ปรายบอกเลิกไปแล้ว ก็น่าจะจบนะคะ พี่ฤทธิ์กลับไปก่อนเรื่องพ่อเดี๋ยวปรายคุยกับพ่อเองค่ะ” ปรายฝนยิ้มน้อยๆ เมื่อแม่
นายใจเดียวจับมือเอาไว้
“แหวนแกล่ะสิ ไอ้หัวหน้าคนงาน” ดวงฤทธิ์พูดพาลไปที่ไตร
“เออแล้วไงแหวนผม แต่ปรายยอมให้สวม” ไตรเดินเข้าไปเผชิญหน้า เมื่อคนงานได้ยินดวงฤทธิ์พูดจาไม่ดีจึงตรงเข้าไปล้อม
เอาไว้
“อย่าพาลค่ะ คุณ แหวนฉันเอง ฉันสวมให้เองกับมือ คุณมีอะไรอีกไหม” รอยยิ้มปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของทุกคน ยกเว้นดวง
ฤทธิ์ที่ฮึดฮัดทำ ท่าจะตรงเข้าหาแม่นายใจเดียว
“ถ้าแตะนิดเดียว นายโดนฝังอยู่ที่นี่แน่ๆ หาศพไม่เจอด้วย” รสสุคนธ์ทำให้ทุกคนหัวเราะออกมากับคำขู่ที่ได้ยิน เพราะทำ
เหมือนเป็นมาเฟียทั้งๆ ที่เป็นเจ้าของร้านอาหารที่จิตใจดีและโอบอ้อมอารี
“จะรุมว่างั้น ปรายจะเอาอย่างนี้ก็ได้ พี่จะกลับมาพร้อมกับพ่อปราย
ดูสิหน้าไหนจะกล้าอีก อย่าคิดนะว่าจะได้ไป พ่อปรายไม่ได้พูดง่าย ถ้าจะให้เลือกใครสักคนมาดูแลลูกสาวท่าน ผมว่าท่านคงเลือกผม
มากกว่าผู้หญิงแก่อย่างคุณ” ดวงฤทธิ์พูดจบก็รีบไปขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที
“เมื่อวานยังเป็นพระเอกอยู่เลย วันนี้เป็นผู้ร้ายไปซะแล้ว” คนงานคนหนึ่งพูดขึ้น ก่อนจะแยกย้ายกันไปที่โรงอาหาร ปรายฝนจึง
หันไปกอด แม่นายใจเดียวเอาไว้แน่น
“มาได้จังหวะพอดีเลย เพื่อนฉัน” ใจเดียวยิ้มๆ ให้รสสุคนธ์
“แม่นายไร่โน้นโทรฯ ไปบอกตั้งแต่เมื่อวาน เช้านี้เลยรีบมาเพราะเมื่อวานค่ำมืดขับรถลำบาก เกือบได้รุมพระเอกซะแล้ว” รสสุคนธ์หัวเราะ
“ขอบคุณค่ะ น้ารส” ปรายฝนบอก
“ไปล่ะ หาข้าวกินก่อน ยืนตรงนี้คงจะเกะกะเกินไป” รสสุคนธ์ยิ้มๆ และรีบเดินตามคนงานไปที่โรงอาหาร